สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย - บทที่ 237 ไม่ใช่เพราะข้าช่วยเจ้าหรอกหรือ?
บทที่ 237 ไม่ใช่เพราะข้าช่วยเจ้าหรอกหรือ?
ประตูถูกผลักเปิดออก หยากไย่ใยแมงมุมที่เกาะอยู่บนประตูเปื้อนมือมู่ซืออวี่ นางใช้ผ้าเช็ดหน้าของตนเช็ดมือแล้วมองฝุ่นที่ปกคลุมบ้านด้วยความรังเกียจ
“ดูเหมือนวันนี้ทุกคนคงต้องพักผ่อนช้าหน่อยแล้ว พวกเขาไม่ได้กลับมาเป็นเวลานาน ทุกที่มีแต่ฝุ่น ต้องทำความสะอาดสักหน่อย”
“ไม่มีปัญหา ทำตอนนี้เลยเถอะ” จือเชียนกล่าว
ทุกคนในครอบครัวลู่ทำความสะอาดห้อง ส่วนอันอี้หางและน้องสาวกลับไปยังบ้านตนที่อยู่ข้าง ๆ
อวี้ซื่อที่นั่งทำรองเท้าอยู่ใต้ชายคาได้ยินคนมาเคาะประตู เมื่อเปิดประตูออกมาก็เห็นอันอี้หางเป็นคนแรก ใบหน้านางจึงผุดรอยยิ้มขึ้นมา แต่เมื่อเห็นอันอวี้ รอยยิ้มนั้นก็เลือนหายไป
“เจ้ายังเต็มใจกลับมาอีกหรือ? ไม่ใช่ว่าไปใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวลู่อี้แล้วหรือไร เช่นนั้นก็กลับไปที่บ้านลู่เถอะ ไฉนจึงกลับมาที่บ้านของข้าเล่า?”
อันอวี้ตะโกนอย่างร้อนใจ “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะไป!”
“เจ้าไม่ได้ตั้งใจจะจากไปรึ แล้วก่อนหน้านี้มีคนมาลักพาตัวเจ้าไปหรือ? เช่นนั้นเจ้าบอกข้ามา ผู้ใดที่กล้าลักพาตัวคุณหนูอันไป?” อวี้ซื่อเหน็บแนม
“ท่านแม่” อันอี้หางเอ่ยขัดอวี้ซื่อที่ทำให้เรื่องเริ่มยุ่งยาก “ข้าเหนื่อยแล้วจริง ๆ ให้ข้าพักผ่อนก่อนได้หรือไม่ อีกอย่างข้าตัดสินใจที่จะให้น้องสาวแต่งงานเร็วขึ้นกว่าเดิม ไม่ต้องรอปีหน้าแล้ว เปลี่ยนเป็นเดือนหน้าเถอะ!”
“อะไรนะ?” อวี้ซื่อจ้องมองลูกชาย “สัญญาไว้แล้วว่าปีหน้า เหตุใดต้องรีบร้อนเช่นนี้ หรือว่าเจ้าเด็กคนนี้…”
“ท่านแม่” อันอี้หางขัดนางขึ้นมาทันที “ท่านรู้หรือไม่ว่ากำลังจะเอ่ยอะไรออกมา?”
ครอบครัวลู่กลับมาแล้ว คนในหมู่บ้านที่สงสัยเรื่องคดีของหลินต้าจ้วงคงกำลังสอดแนมอยู่ละแวกนี้ ทว่าอวี้ซื่อยังเอ่ยออกมาเสียงดัง ราวกับกลัวคนอื่นจะไม่รู้ว่าลูกสาวของนางอยู่กับคนนอกตามลำพังมากกว่าสิบวัน
อวี้ซื่อลากอันอวี้เข้าไปข้างใน
อันอวี้มองไม่เห็น เมื่อถูกลากถูลู่ถูกังไปเช่นนี้ เท้าของนางจึงสะดุด
“อ๊ะ…” อันวี้ล้มลงบนพื้น
อวี้ซื่อมองด้วยความเกลียดชัง “ไร้ประโยชน์จริง ๆ กระทั่งเดินยังเดินดี ๆ ไม่ได้”
อันอี้หางช่วยพยุงอันอวี้ขึ้นมา จากนั้นจึงปิดประตูบ้านเพื่อปิดกั้นสายตาที่กำลังสอดส่องเหล่านั้น
เขาหันกลับมาหาอวี้ซื่อ แล้วมองนางด้วยสีหน้าไม่พอใจอย่างมาก “ท่านแม่ อย่าได้สร้างความยุ่งยากอีกเลย อันอวี้เป็นลูกสาวของท่านก็จริง แต่อย่างไรอีกไม่นานนางก็จะเป็นภรรยาของผู้อื่นแล้ว ระหว่างนี้ท่านอยู่อย่างสงบสุขได้หรือไม่?”
“ข้าไม่อยู่อย่างสงบตรงไหน? เห็น ๆ อยู่ว่าเป็นนางที่อยู่ไม่สุข หางเอ๋อร์ เจ้ากำลังทำให้นางเคยตัว! ใช่ นางมองไม่เห็น นางน่าสงสารมาก เช่นนั้นใครเล่าสงสารข้า? พ่อเจ้าไม่อยู่แล้ว ข้าต้องเลี้ยงดูพวกเจ้าสองพี่น้องมาเพียงลำพัง เจ้าต้องเรียนหนังสือ ข้าต้องรับใช้นาง ข้าไม่ลำบากยากเย็นหรือไร?”
“ท่านย่อมลำบาก ไม่มีใครกล่าวว่าท่านไม่ลำบาก ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องเงินใช้จ่ายในบ้าน นอกเหนือจากเวลาเรียน ข้าก็หาเงินข้างนอกไปด้วย คำขอเดียวของข้าคือขอให้ท่านดูแลน้องสาวให้ดี แต่ท่านลองถามใจท่านดู หลายปีมานี้ท่านดูแลเอาใจใส่นางหรือไม่? นางออกไปเดินข้างนอกเพียงลำพัง ท่านเคยเป็นห่วงเป็นใยความปลอดภัยของนางหรือเปล่า?”
อันอี้หางเห็นอวี้ซื่อยังคิดจะแย้งจึงยกมือห้าม “เรื่องนี้ไม่ต้องพูดแล้ว เดือนหน้าอันอวี้จะแต่งงาน ต่อไปท่านไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว”
สิ่งที่เขาไม่ได้บอกก็คือ ขณะที่ทานข้าวอยู่ที่บ้านลู่นั้น ท่านหมอลี่มองเข้าไปในดวงตาของอันอวี้แล้วกล่าวว่าดวงตาของนางรักษาได้ ขอเพียงแค่เต็มใจจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเท่านั้น
แน่นอนว่าอวี้ซื่อย่อมไม่ยอมจ่ายเงินจำนวนนี้ ถึงแม้เขาจะหาเงินได้บ้าง แต่เขาก็ไม่สามารถหาเงินมากเพียงนั้นได้ในเวลาสั้น ๆ
ทว่าไม่คิดว่าครอบครัวลู่จะยินดีรักษาอันอวี้
“น้องสาว เจ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถอะ” อันอี้หางลูบหัวของอันอวี้เบา ๆ “ไม่ต้องกลัว ตอนนี้พี่สอบได้ซิ่วไฉแล้ว ถึงอย่างไรเจ้าก็นับว่าเป็นน้องสาวของซิ่วไฉ รอพี่สอบได้ตำแหน่งขุนนางแล้ว จะไม่ให้ผู้ใดรังแกเจ้าอีก”
อันอวี้พยักหน้าเบา ๆ “เจ้าค่ะ สองสามวันนี้ท่านก็ผ่อนคลายลงบ้างนะเจ้าคะ อย่าได้อ่านหนังสือดึกดื่นจนเกินไป”
…
หัวหน้าหมู่บ้านเคาะประตูครอบครัวลู่
ลู่ฉาวอวี่เดินมาเปิดประตู เมื่อเห็นว่าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านจึงเชิญเขาเข้าไป
มู่เจิ้งหานมาช่วยชงชา ส่วนลู่จื่ออวิ๋นวางผลไม้แห้งที่ซื้อมาจากในเมืองลงข้าง ๆ หัวหน้าหมู่บ้าน
ลู่อี้รู้จุดประสงค์ที่หัวหน้าหมู่บ้านมาเยือน จึงอธิบายให้มู่ซืออวี่ฟังสั้น ๆ จากนั้นจึงออกไปรับเขา
“หัวหน้าหมู่บ้าน ยังไม่ทานข้าวมากระมัง ข้าจะให้ภรรยาของข้าทำกับแกล้มเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกเรามาดื่มสุราสักสองสามจอกเถอะ”
หัวหน้าหมู่บ้านตอบรับอย่างกระตือรือร้น “ได้สิ ไม่ได้ดื่มสุรากับเจ้านานแล้ว เดี๋ยวนี้เจ้ายุ่งยิ่งนัก กว่าจะได้พบเจ้าก็ยากเหลือเกิน”
หัวหน้าหมู่บ้านอยู่ดื่มสุราถึงหนึ่งชั่วยาม ตอนที่เขาจากไปก็หน้าแดงก่ำและพูดจาอ้อแอ้แล้ว
ชาวบ้านที่อยู่ข้างนอกเห็นหัวหน้าหมู่บ้านก็รีบเข้ามาถามสถานการณ์ของครอบครัวลู่อี้
หลินต้าจ้วงคนนั้น ลู่อี้เป็นคนฆ่าใช่หรือไม่?
เหตุใดจึงกลับมาแล้ว? หรือว่าใต้เท้านายอำเภอปกป้องเขา?
ทุกคนล้วนรู้จักนิสัยของพวกขุนนาง ขุนนางย่อมปกป้องซึ่งกันและกัน ชาวบ้านธรรมดา ๆ ไม่สามารถต่อกรขุนนางได้แม้แต่น้อย
“เอาล่ะ พวกเจ้าหยุดคาดเดาได้แล้ว” หัวหน้าหมู่บ้านกล่าว “หลินต้าจ้วงคนนั้นถูกหูซานฆ่า หูซานสารภาพผิดแล้ว”
หัวหน้าหมู่บ้านบอกกล่าวภาพรวมของคดีให้ชาวบ้านฟัง
เขาดื่มหนัก ถ้อยคำที่ใช้อธิบายชวนสับสนมึนงงเล็กน้อย แต่ชาวบ้านก็ยังพอเข้าใจ
“ข้าบอกแล้วว่าลู่อี้ไม่มีทางฆ่าคน พวกเจ้ายังไม่เชื่อข้า” เหยาซื่อพูดขึ้น “เขาจะทำลายอนาคตที่สว่างรุ่งโรจน์เพื่อเจ้าคนชั่วช้าคนนั้นไปเพื่ออะไรกัน?”
“แยกย้าย แยกย้าย”
หลังจากรู้ว่าในหมู่บ้านไม่มีผู้ร้ายฆ่าคนตาย ทุกคนจึงสบายใจแล้ว
ทุกคนในครอบครัวลู่สาละวนอยู่กับการทำความสะอาดกระทั่งพลบค่ำ
“ที่เหลือข้าจัดการเอง พวกเจ้าไปพักกันก่อนเถอะ” มู่ซืออวี่บอกกับลู่ฉาวอวี่และคนอื่น ๆ “วันนี้ไม่ต้องอ่านหนังสือแล้ว ประเดี๋ยวจะเสียสายตา”
ลู่ฉาวอวี่รับผ้ามาจากมือของมู่ซืออวี่ “ท่านทำคนเดียวต้องถูอีกนานเท่าไหร่?”
“หากทำไม่เสร็จ พรุ่งนี้ก็ค่อยทำต่อ อย่างไรเสียสองสามวันนี้ข้าจะไม่เข้าร้าน” มู่ซืออวี่กล่าว “เป็นนายของตนเองก็ดี อยากหยุดพักก็หยุดได้”
“หากท่านพักไปสองสามวัน ร้านของท่านยังจะอยู่อีกหรือ?” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยด้วยวาจาเผ็ดร้อน
มู่ซืออวี่บีบแก้มของลู่ฉาวอวี่เบา ๆ “ไปเรียนกับท่านอาจารย์นานเพียงนี้แล้ว เหตุใดปากเล็ก ๆ ของเจ้ายังพูดจาไม่รื่นหูเหมือนเดิมเล่า?”
ลู่จื่ออวิ๋นที่อยู่ข้าง ๆ หัวเราะออกมา “ฮ่า ๆ ท่านพี่กลายเป็นลูกแมวน้อยแล้ว”
ลู่ฉาวอวี่ไม่ได้เช็ดฝุ่นบนหน้าออก เพียงแต่มองมู่ซืออวี่ด้วยสีหน้าโมโห “นิสัยเด็ก ๆ”
มู่ซืออวี่ “…”
ถูกเด็กนี่สบประมาททำให้หัวใจของนางเจ็บช้ำยิ่งนัก
จะว่าไปแล้วนางก็อยู่ที่นี่นานกว่าครึ่งปีแล้ว
นางมองลู่ฉาวอวี่และลู่จื่ออวิ๋นก็พบว่าเด็กน้อยสองคนนี้ เมื่อเทียบกับเด็กผอมโซตอนที่พบกันครั้งแรก ตอนนี้พวกเขาราวกับเป็นเทพบุตรเทพธิดาหน้าที่ประทับของพระโพธิสัตว์ ช่างงดงามสบายตาจริง ๆ
ลู่อี้โบกมืออยู่ตรงหน้านาง “น่ามองหรือ?”
มู่ซืออวี่พลันรู้สึกตัว “เด็กที่ข้าคลอดออกมา ต้องน่ามองแน่อยู่แล้ว”
ลู่อี้เลิกคิ้ว จากนั้นจึงกระซิบข้างหูนาง “ไม่ใช่เพราะข้าช่วยเจ้าทำให้เกิดมาหรือ?”
แก้มของมู่ซืออวี่ร้อนผ่าว นางหยิกเขาอย่างขุ่นเคือง
“อ๊ะ”
ลู่เซวียนที่อยู่ข้าง ๆ ทนดูไม่ได้ “พวกท่านหยอกล้อกันพอหรือยัง กลับไปหยอกล้อกันที่ห้องเถอะ”
ตรงนี้ยังมีเด็กนะ!
ถึงแม้เด็ก ๆ จะไม่เห็นแต่ก็ยังมีเขา น้องชายสามีคนนี้ไม่รู้ว่าควรรู้สึกอย่างไรแล้ว
ลู่อี้คว้าผ้ามาจากมือของมู่ซืออวี่ พร้อมกับบอกกับคนอื่น ๆ ว่า “เอาล่ะ ไม่ต้องทำแล้ว พรุ่งนี้ค่อยจัดการ”
อย่างไรเสียห้องนอนก็เป็นอย่างแรกที่ทำความสะอาด ตอนนี้ก็เกือบจะแห้งสนิท สามารถเข้าไปนอนได้แล้ว ส่วนอย่างอื่นไม่จำเป็นต้องรีบร้อน พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน
“ข้าจะไปต้มน้ำร้อน” มู่ซืออวี่ถูกสายตาของลู่อี้แผดเผา นางจึงหนีเข้าไปในห้องครัวแทน