สายตาที่เหมือนโคลนนั่น กำลังคาดหวังสิ่งใด? (Nigoru Hitomi de Nani wo Negau) - ตอนที่ 13
ในที่ราบด้านนอกเมืองหลวงไอเดเบิร์กของราชรัฐไมยาร์ด การต่อสู้ที่จะตัดสินประเทศกำลังจะเริ่มขึ้น
เฟอร์เรียสและไมยาร์ดได้แบ่งออกเป็นสองค่ายคร่าวๆ ตามตำแหน่งของนักยุทธศาสตร์ของพวกเขา ที่หนึ่งเป็นกองทัพเฟอร์เรียส 14000 นาย ที่ส่งมาจากอาณาจักรเฟอร์เรียส และอีกหนึ่งก็เป็นทหารประจำการ 4000 นายและกองทหารอาสาสมัคร 7000 นายของราชรัฐไมยาร์ด
แม้จะแยกเป็นสองค่าย แต่พวกเขาก็อยู่ในตำแหน่งที่พวกเขาสามารถสนับสนุนกันและกันได้ นอกจากนี่พวกเขายังอยู่บนเนินเขาเล็กๆสองแห่งที่พูดได้เลยว่าได้เปรียบในที่ราบ
บวกด้วยรอบๆฐานได้รับการป้องกันโดยรั้วกันม้า มันจะทำให้ยากที่จะจัดการผู้บัญชาการด้วยการบุกโจมตีเพียงครั้งเดียวและทำให้สายบังคับบัญชาอยู่ในความยุ่งเหยิง
บวกด้วยความกลัวที่จะโดนทั้งสองเนินประกบแล้วก็ยังมีกองทหารระดับกองพันสองกองที่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับการป้องกันที่ด้านล่างเนิน ดังนั้นสายการป้องกันที่แข็งแกร่งจึงได้ถูกสร้างขึ้น
ในทางกับกันกองทัพจักรวรรดิไฮเซิร์คก็กำลังหลบอยู่ที่ด้านข้างเนินเขาที่ทหารไมยาร์ดอยู่
จาก9กองพัน มี4กองพันได้กระจายกันเป็นแถว ด้านหลังพวกเขามีอีกสามกองพันและหลังจากนั้นอีกก็มีกองพันทหารม้าจาฟฟ์และกองพันลิกูเรีย
ตามข้อมูลที่ได้รับมาก่อนหน้า วอล์มได้รับการบอกมาว่า ดูเหมือนสี่กองพันแรกจะโจมตีเนินเขา และอีกสามกองพันจะไปขัดขวางกองทัพของเฟอร์เรียส ไมยาร์ดควรถูกทำลายก่อนเป็นอย่างแรก
กองพันทหาราบเบาลิกูเรียและกองพันทหารม้าจาฟฟ์ต้องบดขยี้ไมยาร์ดด้วยกับบุกโจมตีในครั้งเดียวหลังจากที่แนวหน้าจัดการกับอุปสรรคเช่นรั้วกันม้า วอล์มรู้สึกหดหู่ใจเมื่อเขาจินตนาการถึงความยากลำบากในหน้าที่ของกองพันที่ได้รับ
การต่อสู้เต็มรูปแบบได้เริ่มขึ้นโดยไม่มีการเตือนล่วงหน้า เสียงแหวกสายลมและเสียงระเบิด เสียงกรีดร้องของผู้คนและม้าก็ดังมาจนถึงที่ที่วอล์มอยู่ แม้แต่จักรวรรดิไฮเซิร์คที่มีชื่อเสียงด้านการทหารที่แข็งแกร่งแต่มันก็เป็นเรื่องยากมากที่จะโจมตีเนินเขาด้วยกองทัพขนาดเล็ก
วอล์มกำลังรออยู่ ในขณะที่พันธมิตรของเขากำลังต่อสู้เสี่ยงตายในแนวหน้า ความหงุดหงิดที่ไม่สามารถร่วมต่อสู้และความโล่งใจที่ไม่ได้ถูกวางไว้ในพื้นที่แห่งความตายและความกังวลของการต่อสู้ที่จะต้องเข้าร่วมในอีกไม่ช้า แล้วพวกมันก็ผสมปนกันไปหมด
หัวหน้าหน่วยดูเวย อ้าปากพูดออกมาในขณะที่ทุกคนรู้สึกประหม่า
“…ไม่ว่าจะยังไงนี่มันช้าเกินไป”
“หรือแนวรับของศัตรูอาจแข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้”
สำหรับจักรวรรดิไฮเซิร์ค ที่มีกองกำลังเพียงน้อยนิดความเร็วเป็นส่วนสำคัญ มันควรจะเป็นกองทหารมากประสบการณ์ ที่จะออกไปปะทะในสงครามและเล็งทำลายจุดอ่อน
เสียงของสนามรบที่วอล์มได้ยินมันยากที่เชื่อว่า4กองพันกำลังโจมตีอยู่ แม้โมเมนตัมจะมาก แต่แนวป้องกันก็ไม่ได้พังทลายลงเลย แน่นอนว่าวอล์มก็รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน
“เราอยู่ที่ด้านข้างมากเกินไป”
วอล์ม ปล่อยความคิดของเขาออกมาตอนเขาเห็นการตั้งกอง หากใช้เวลานานมากเกินไปในการเอาชนะกองทัพไมยาร์ด เราจะต้องหยุดกองทัพเฟอร์เรียสที่จะโจมตีจากด้านข้างหรือด้านหลังที่จะตามมาอีก ตอนนี้การขัดขวางกำลังดำเนินต่อไปด้วยอีกสามกองพัน และเฟอร์เรียสกำลังยุ่งอยู่กับทั้งสามกองพัน แล้วกองพันทั้งสามก็รวมกันโดยสมบูรณ์
“มันเป็นเรื่องจริงที่แค่สองกองพันก็พอแล้วที่จะถ่วงเวลา”
โจเซ่เห็นด้วยกับความคิดเห็นของวอล์ม
“ใช่ แต่ถึงจะอย่างนั้นฉันก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทหารม้าและทหารราบเบาถึงไม่ถูกส่งไปสักที”
ทหารราบเบามักจะถูกปฏิเหมือนคนคอยแก้ปัญหา ถ้ามันยากเกินไปที่จะฝ่าไปพวกเขาก็จะถูกโยนให้ไปเปิดทางให้ทหารม้า
ช่องว่างและระยะห่างเป็นปัจจัยสำคัญมนสงคราม และวอล์มก็เข้าใจว่าถ้าเข้าให้ความสำคัญต่อการบุกเข้าไปลึก ทหารราบเบาสามารถใช้ตามเข้าไปได้ แต่ถ้าไม่สามารถทำพื้นฐานก่อนหน้าได้มันก็ไม่มีประโยชน์
“ฉันไม่คิดหลอกว่าผู้บัญชาการ เบเกอร์ จะอ่านพลาด…”
สุนทรพจน์ในเมืองซาร์เรียได้เข้ามาในหัวของวอล์ม เขาเป็นผู้บัญชาการที่เป็นแรงบันดาลใจให้ทหารและก็ยุติการสู้รบที่ชายแดนในเวลาสั้นๆ วอล์มไม่คิดว่ามันจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญ
จากนั้นก็มีเสียงก้องของดาบดังมาจากทางซ้ายของเนินดังมาที่หูของ วอล์ม
“เอ่อ เป็นกองทัพหลักของเฟอร์เรียส”
มีสี่กองพันที่วอล์มมองเห็นได้ มีสองกองพันตรงกลางและที่เหลือที่ปีกซ้าย มันเป็นจำนวนเกือบสองเท่าและมันจะยากสำหรับพวกเขาที่จะถ่วงเวลา
“ยังไม่มีคำสั่งมาอีกเหรอ”
บาริโต้พูดออกมาอย่างท้อแท้
“แบบนี้มันไม่ดีแล้ว…”
นัวร์ที่มีประสบการณ์ในหน่วยน้อยพูดอออกมาอย่างกังวล
“กองกำลังสำรองของไมยาร์ดได้ออกมาจากเนินเขาด้านขวาแล้ว บ้าเอ้ยมันมีขนาดเท่ากับกองพัน”
สิ่งที่แย่ที่สุดที่คาดไว้ว่ากองกำลังสำรองเพียงกองเดียวของไมยาร์ดจะถูกส่งออกมาจากเนินเขาด้านขวา ได้เกิดขึ้น
“ฉันเห็นอีกกองพันของเฟอร์เรียสมาจากด้านนอกและมันกำลังจะล้อมเรา”
ตอนนี้การล้อมกำลังเกิดขึ้น วอล์มรู้สึกว่าเราจำเป็นที่จะต้องจัดทัพใหม่
ในขณะที่ทหารคนอื่นๆร้องออกมา มีเพียงหัวหน้าหน่วยเท่านั้นที่กำลังอยู่ในห้วงแห่งความคิด
“หัวหน้าดูเวย?”
โจเซ่ที่เห็นอย่างนั้นก็เรียกหัวหน้าหน่วย
“ตอนนี้มันวิกฤตแล้ว…แต่แนวหน้าก็ยังไม่หมดแรงอย่างมีนัยยะ กองกำลังที่ถูกส่งไปขัดขวางเฟอร์เรียสก็อุทิสตัวเต็มที่เพื่อถ่วงเวลา แต่ฉันว่ามันต้องมีบางอย่างอยู่แน่ๆฉันเชื่ออย่างนั้น”
มันเป็นช่วงเวลาที่กองพันของศัตรูจากไมยาร์ดกำลังลงจากเนินด้านขวา ก็ได้มีผู้ส่งสารวิ่งไปรอบๆกองพันลิกูเรีย วอล์มก็คิดว่าถึงเวลาแล้ว
จากนั้นวอล์มก็เอามือกุมหน้าแล้วก็หายใจออกมา เขารู้สึกได้ถึงความอุ่นที่ออกมาที่มือของเขา
มันมักจะเป็นนิสัยที่วอล์มชอบทำก่อนการต่อสู้
บางทีอาจได้รับคำสั่งของผู้บัญชาการเบเกอร์จากผู้ส่งสารแล้ว ทันใดนั้นก็มีเสียงของผู้บัญชาการกองพันลิกูเรียดังออกมา
“จัดแถววว!! เป้าหมายคือค่ายของเฟอร์เรียส เราจะบุกไปทางปีกขวาและผ่านเนินเขาไปด้วยความเร็วเต็มที่ และจัดการให้เฟอร์เรียสต้องยอมแพ้ ทหารม้าก็จะออกแล้ว เตรียมตัว”
” ” ” ฮะ? ” ” ”
ทหารที่ได้ยินคำสั่งส่วนใหญ่กำลังตกใจเพราะสถานการณ์ที่ได้รับ แล้ววอล์มก็ได้จัดการความคิดในหัวของเขา
จากกองพันทั้ง9กองพัน ในตอนนี้ที่อยู่ในสถานการณ์ที่ด้อยกว่า ได้มีสองกองพันพยายามจะบุกไปที่ค่ายหลักของศัตรู
แม้ว่าจะเป็นเนินเขาที่อยู่ติดกัน แต่ก็ยังมีระยะห่าง4ถึง5 กม. ทหารที่ฝึกโดยไม่ได้สวมใส่อุปกรณ์จะทำได้โดยไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้พวกเขาทั้งหมดได้สวนอุปกรณ์และพวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องจัดการศัตรูไปด้วยจนถึงปลายทาง
ที่ด้านหน้ามีเนินเขาที่ไมยาร์ดตั้งอยู่ และที่ด้านขวากองพันของไมยาร์ดก็เริ่มลงมาจากเนินเขา
วอล์ม ไม่คิดว่านี่จะเป็นสิ่งที่คนมีสติจะทำ ทำให้เขานึกถึงกองทัพพันธมิตรที่ไม่สามารถโจมตีได้
“ไม่จริงน่า…เป็นกลลวง…?”
หัวหน้าหน่วยพยักหน้าให้วอล์มที่พึมพำออกมา
“แสร้งทำเป็นว่าการโจมตีหยุดชะงักและล่อศัตรูออกมา นอกจากนี้ทหารของไมยาร์ดที่กำลังไปด้านหน้าก็ถูกกันไว้ที่นั่นจากเนินเขา กองกำลังสำรองสุดท้ายก็กำลังไปที่ค่ายของเราด้วย และการเปลี่ยนแปลงคำสั่งกระทันหันมันจะยากที่จะไปถึงพวกเขาทั้งหมด”
“ถึงอย่างนั้น ก็ยังมีกองพันเหลืออยู่หนึ่งกองพันที่ค่ายเฟอร์เรียส และส่วนหนึ่งของกองพันใน 6 กองพันที่ถูกส่งออกไปก็อาจกลับมาและล้อมเราจากปีกซ้าย”
เพื่่อตอบกลับความคิดเห็นด้านลบของโจเซ่ วอล์มก็ได้พูดข้อมูลล่าสุดที่ได้จากสนามรับที่เขากำลังมองอยู่
“ไม่ กองทหารศัตรูที่สามารถกลับมาช่วยได้ง่ายที่สุด ได้เข้าร่วมการรบแล้ว”
หกกองพันของเฟอร์เรียสกำลังพยายามปิดปีกซ้ายของกองกำลังไฮเซิร์คเพื่อที่จะปิดล้อมให้สมบูรณ์ วงของมันกว้างมากและอยู่ไกลเนินเขาที่ค่ายอยู่เพราะตั้งใจจะปิดล้อม มันจะเป็นเรื่องยากและใช้เวลาที่จะส่งสารไปยังกองกำลังเหล่านั้นและหันหลังกลับ ในระยะไกลออกไปวอล์มกำลังมองไปที่ กองกำลังพันธมิตรที่อยู่กลางวงล้อมที่ได้รับคำสั่งให้ขวางพวกมันที่ซึ่งสามารถกลับมายังค่ายหลักได้เร็วที่สุด
“ค่ายหลักศัตรู้จะถูกทำลาย เร็วหรือช้า มันจะเป็นตัวกำหนด ชัยชนะครั้งใหญ่หรือพ่ายแพ้ครั้งใหญ่”
เมื่อนึกถึงเส้นทางข้างหน้าแล้ว วอล์มหวังให้การคาดเดาของเขาพลาด
“เอ่อ กลยุทธ์ที่เหมือนการพนันนี่――”
นัวร์พูดอะไรไม่ออกทันที
แต่ก่อนที่วอล์มจะคิดไปมากกว่านี้
“ฉันคิดว่าผู้บัญชาการเบเกอร์มีวิธีคิดเป็นของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นจงเตรียมตัวให้พร้อม ถ้านายคลายความระวังลงอาจตายได้”
ทุกคนหยุดพูด แล้ววอล์มก็รอเวลา
ไม่มีกลองหรือแตรที่จะประกาศการเคลื่อนพล กองทหารรวมกันอย่างหนาแน่น ในตอนแรกมันแน่นสำหรับแต่ละหมวดและกองร้อย แต่เมื่อพวกเขาเริ่มออกวิ่งช่องว่างก็ค่อยๆมากขึ้น
กองพันทั้งสองได้เริ่มออกเดินทัพเต็มกำลังอย่างเงียบๆ วอล์มถีบพื้นอย่างสิ้นหวังและออกวิ่ง
่กองทหารม้าได้ออกวิ่งราวกับลูกศรแล้วก็ได้ทำลายกองกำลังศัตรูที่ด้านล่างเนิน
เมื่อวอล์มมาถึงในไม่กี่นาที ศัตรูก็อยู่ในความวุ่นวายและมันก็เป็นโอกาสที่ดีจะจัดการศัตรู แต่ก็ต้องปล่อยผ่านและให้ความสำคัญกับแผน
“วิ่ง!!วิ่ง!!วิ่งต่อไปอย่าได้หยุด!!”
หัวหน้าหมวดที่สิ้นหวังโคซูรุตะโกนออกมาเสียงดัง วอล์มสังสัยว่าหัวหน้าหมวดไปเอาแรงมาจากไหน แต่ตอนนี้เขาต้องจดจ่อกับศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเขา
ขณะที่วิ่งเขาก็ได้เหวี่ยงฮาลเบิร์ดไปที่ศัตรูที่ขวางทาง มันได้เหวี่ยงลงที่ไหล่และตัดกระดูกไหปลาร้า แล้วก็ศัตรูคนต่อไป เขาก็ฟันไปที่ลำตัวพร้อมกับเกราะของศัตรู
บาดแผลทั้งสองนั่นเป็นไปได้พี่พวกเขาจะสามารถกลับมาสนามรบได้ถ้าห้ามเลือดทัน วอล์มต้องการจะโจมตีปิดฉาก แต่เขาก็ตัดสินว่ามันไม่จำเป็นสำหรับตอนนี้
เป็นเรื่องง่ายที่วอล์มจะจินตนาการว่าพวกเขาจะถูกจัดการโดยกองกำลังที่ตามหลังมา กองกำลังศัตรูที่ถูกกองทหารม้าบุกไปนั้นเปราะบางและอยู่ในความโกลาหลและหวาดกลัว
ในพวกนั้นมีบางกลุ่มที่พยายามจะฟื้นตัว
วอล์มเดาะลิ้นของเขาโดยคิดว่าพวกหัวหน้าหน่วยและทหารที่ไม่ได้รับคำสั่งนั้นยอมเยี่ยมแค่ไหน TNแบบเสียง จิ๊ clicked tongue ไม่รู้จะเขียนไงเอาเดาะลิ้นไปก่อนละกัน
ศัตรูจำนวนมากได้มารออยู่ด้านหน้าของวอล์ม บางทีมันอาจมีประมาณร้อยคน
“วิลลาร์ท!! วอล์ม!!”
หัวหน้าดูเวย เรียกวอล์มและวิลลาร์ทออกมา ระยะห่างของศัตรูกำลังน้อยกว่า50เมตร พวกมันได้ตั้งหอกขึ้น และถ้าหากทหารไฮเซิร์คเข้าปะทะแบบตรงไปตรงมามันจะได้รับความเสียหายอย่างเลี่ยงไม่ได้
วอล์มเข้าใจถึงความตั้งใจของหัวหน้าดูเวยทันที และจดจ่ออยู่กับมานาของเขาขณะวิ่ง
วิลลาร์ทได้ปล่อยเวทมนตร์ไปก่อนหน้าเล็กน้อย มีศัตรู5หรือ6นายได้รับบาดเจ็บสาหัสและได้เปิดช่องว่างส่วนหนึ่งที่ด้านหน้า
วอล์มได้สร้างลูกไฟแบบเดียวกับวิลลาร์ท แล้วพวกศัตรูที่พยายามกลับมาตั้งรับอีกครั้งหลังจากได้รับความเสียหาย แต่ลูกไฟที่ปล่อยไปที่ตำแหน่งเปราะบางของศัตรูทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ที่ตรงกลางศัตรู
“บุก!!!”
หัวหน้าดูเวยและเหล่าทหารผ่านศึกไฮเซิร์ค ไม่สามารถมองผ่านจุดอ่อนนั้นไปได้และได้รีบบุกเข้าไปเป็นทรงของลิ่มที่ได้เกิดขึ้นเอง
คมมีดได้ตัดเข้าไปที่หัวที่ใส่หมวกแล้วก็แตกทะลุผ่านกะโหลกเข้าไปด้วยการโจมตีครั้งเดียว
ศัตรูอีกคนที่พยายามจะหยุดวอล์ม ก็ได้ถูกแทงด้วยหอกที่ไหล่ขาด้วยหอกของบาริโต้และนัวร์ ที่อยู่ข้างๆ และล้มลงกับพืเน
สิ่งที่รอศัตรูที่พยายามจะลุกก็คือเท้าของทหารไฮเซิร์คนับไม่ถ้วน ดังนั้นความตายจึงได้ถูกตัดสิน TN And so, the death agony was immediately cut off.ใครรู้ข้อวิธีแก้ด้วยครับ
ทหารไฮเซิร์คที่บุกไป ได้ทำลายศัตรูลงโดยสมบูรณ์ และหาได้ยากที่จะมีหน่วยฟื้นขึ้นมาจากการโจมตีของทหารม้าได้ แต่พวกเขาก็ถูกพบและพุ่งเข้าใส่ในพริบตา
ผลกระทบแพร่กระจายไปรอบๆกองกำลังศัตรู เป็นที่รู้กันดีในตอนนี้รวมถึงวอล์มด้วย ที่ว่าไมยาร์ดที่สูญเสียกองกำลังประจำการจำนวนมากที่ชายแดนกำลังระดมกองกำลังอาสาสมัคร
เมื่อได้เห็นส่วนมากของกองกำลังประจำการถูกทำลายและถูกบุกรุกโดยวอล์มและคนอื่นๆ
กองกำลังอาสาสมัครก็รีบไปที่เนินเขาที่ซึ่งมีตำแหน่งได้เปรียบกว่าในการป้องกัน
“อย่าได้หนี่!!ยื้อเวลาไว้ ถ้าเราหยุดพวกมันไว้ที่นี่ได้เราจะชนะ――อัคค!!!”
มีทหารที่พยายามสร้างขบวนขึ้นมาอีกครั้งแต่เขาโดดเด่นมากเกินไป วอล์มรู้ว่าทหารไฮเซิร์คไม่ได้เป็นมัตรขนาดจะวิ่งต่อไปโดยทิ้งความเป็นไปได้ที่จะถูกโจมตีไว้ข้างหลัง
เหล่าทหารอาสาที่เห็นทหารผ่านศึกที่ว่องไวโดนเสียบอย่างจังก็ได้ล้มลง TN The militias, who saw veteran and nimble soldiers literally skewered, collapsed. แปลได้บอกด้วยครับ
“อย่าไปสนใจไอ้พวกมดปลวก วิ่งต่อไปที่เนินเขา!!”
หัวหน้าหน่วยได้ตะโกนปลุกใจคนอื่นๆ และหน่วยรอบๆก็ตามเขาไป
บางทีการวิ่งและสู้ไปด้วยได้กินพลังงานของหัวหน้าหมวดทำให้สามารถตอบโต้ได้ด้วยเสียงเบาๆเท่านั้น ถึงอย่างนั้นเมื่อได้เห็นเขาฟันทหารไมยาร์ดสองคนด้วยเทคนิคดาบเหล่านั้น นึกไม่ถึงเลยว่ามันจะออกมาจากก้อนไขมันเหล่านั้น วอล์มประหลาดใจและก็ได้เปลี่ยนความคิดเกี่ยวกับหัวหน้าหมวด
เสียงของชุดเกราะเสียดกันและกระจายฝุ่นไปทั่ว มันแกว่งไปแกว่งมา บนล่างซ้ายขวา ดังก้องไปรอบๆ ได้มีทหารบางคนได้ถอนตัวเนื่องจากอาการบาดเจ็บหรืออาจเพราะร่ายกายถึงขีดจำกัด แต่ส่วนใหญ่ยังคงวิ่งต่อไป
เนินเขาได้เข้ามาในสายตาของวอล์ม และทหารม้าก็ได้เข้าโจมตีทหารศัตรูที่ออกมารอบๆเนินเขา
ที่เหลืออยู่คือกองพันที่อยู่บนเนินเขาและเหล่าหัวกะทิภายใต้กองกำลังหลักของศัตรูที่ปกป้องค่าย
สายตาของวอล์มเริ่มเห็นความแตกต่างของความสูงของความกว้างของเนินจากตำแหน่งของเขาอาจอีก20ถึง20เมตร เขาเริ่มรู้สึกได้ถึงความชันของเนินจากขาที่เหนื่อยล้าของเขา
ด้วยธนูและลูกธนูหรือเวทย์ดินหรือทุกสิ่งที่มีพวกเขาพยายาจะหยุดทหารไฮเซิร์คที่พยายามบุกเข้ามา
ขาของวอล์มในตอนนี้นั้นหนักราวกับหิน แต่จิตวิญญาณต่อสู้ที่บ้าคลั้งได้กระจายไปทั่ว
ไม่มีโล่หรือเกราะที่สามารถป้องกันการโจมตีจากระยะกลางหรือไกลได้และให้พวกเขาสนใจไปที่การเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว แต่หลังจากได้รับลูกไฟจากศัตรู ทหารหลายคนก็ถูกไฟลุกแล้วก็กรีดร้องและกลิ้งลงจากเนินเขา
ทหารที่ถูกลูกธนูปักที่เข่าก็ร้องออกมาขณะที่คลานอยู่บนพื้น โดยปกติแล้วขวัญกำลังใจของกองกำลังจะลดลงอย่างมาก
“บุกต่อไป!!”
อย่างไรก็ตามความเหนื่อยล้าและความเจ็บปวดได้ทำลายเหตุผลและเปลี่ยนพวกเขาให้กลายเป็นดั่งเครื่องจักรสังหารที่มีจุดมุ่งหมายเพียงอย่างเดียวคือบุกไปที่กองบัญชาการศัตรู
เมื่อเห็นค่ายหลักของเฟอร์เรียสที่มีรั้วกันม้าบวกด้วยพื้นที่ที่สูงแล้ววอล์มก็รู้สึกตกใจ
“ทำลายพวกมันซะ!!เปิดทางให้ทหารม้า!!ไม่งั้นมันจะเป็น”จุดจบของพวกเรา”!!!”
เป็นความจริงจากสิ่งที่หัวหน้าดูเวยพูดออกมา และมันได้ผลักดันคนอื่นๆและคุกคามศัตรู หากพวกเขาไม่สามารถทำลายพวกมันที่นี่ได้ กองทัพหลักและกองพันลิกูเรียจะถูกทำลาย
วิธีเดียวที่จะรอดได้คือชิงเนินเขามาและจัดการผู้บัญชาการศัตรู
“ดึงงงง!!!”
” “อ้ากกก” ”
โจเซ่ร้องออกมาขณะที่เขาไปที่รั้วม้าตามมาด้วยเสียงของบาริโต้และนัวร์ รั้วกันม้าที่ฝังอยู่ที่พื้นยังคงต้านพวกเขาอย่างหนัก แต่ก็เริ่มมีคนอื่นเข้ามาช่วย
แน่นอนว่าทหารเฟอร์เรียสไม่ได้นิ่งเฉยเช่นกัน พวกมันแทงหอกไปที่ทหารไฮเซิร์คหรือยิงด้วยธนูเพื่อกันไม่ให้พวกเขาจัดการสิ่งกีดขวางที่ป้องกันฐานของพวกมัน
วอล์มดึงรั้วกันม้าด้วยแรงทั้งหมดที่เขามีเพื่อเอามันออกมา
ขณะเดียวกันนั้นก็ได้มีลูกธนูผ่านหน้าของวอล์มไป เมื่อเขาก้มลงพร้อมกับเสียงแหลมสูงนั้น ความเจ็บปวดก็ได้แล่นผ่านมาจากหมวกของเขา
“แก! รออยู่นี่ เดี่ยวฉันไปเอง”
เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดแล้ว วอล์มก็โกรธ บางทีนักธนูอาจรำคาญจากนั้นเขาก็ยิงอีกครั้ง
แต่มันก็แค่ผ่านหัวของวอล์มไป
“มันออกมาแล้ว เปิดทางได้!!”
ในไม่ช้ารั้วกันม้าก็ถึงขีดจำกันและถูกดึงออกมา เช่นเดียวกันกับอันอื่นๆก็ถูกดึงออกมาทีละรั้ว
หัวหน้าหมวดออกคำสั่ง ทั้งร่างของเขาเปื้อนไปด้วยเลือดและเหงื่อและเขาก็หายใจอย่างแรง
ทหารรีบเรงมือและเข้าใจทันทีว่าอะไรกำลังมา จากเสียงก้องที่กำลังเข้าใกล้จากด้านหลัง
“ทหารม้าจาฟฟ์มาแล้ว ถ้าไม่อยากถูกเหยียบก็หลบไป!!!”
จากคำพูดของโจเซ่ ทหารก็หลบออกไปทางซ้ายและขวา คล้ายกับกำลังต้อนรับพวกเขา
ในสถานที่ที่เต็มไปด้วยเลือด ศพ เสียงกรีดร้องและเสียงคำรามของความโกรธ กองพันทหารม้าที่เรียกได้ว่าบ้าการต่อสู้ก็พุ่งเข้าไปเป็นเส้นตรง
ทหารเฟอร์เรียสที่ตั้งรูปขบวนเป็นหัวหอกเพื่อที่จะหยุดพวกเขาก็ถูกทำลายโดยเวทมนตร์ของนักเวทย์ที่ขี่ม้าและถูกจัดการจากการโจมตี
ศัตรูที่ยิงธนูใส่วอล์ม ก็ถูกแแทงด้วยฮาลเบิร์ดและได้มีรูที่เกราะและหน้าท้องจากนั้นเขาก็ได้กลายเป็นหนึ่งในศพที่กระจัดกระจายไปทั่ว
การโจมตีครั้งสุดท้ายของทหารม้าได้ลากศัตรูไปสู่ความโกลาหล
จากนั้นทหารคนอื่นๆก็โค่นรั้วกันม้าที่เหลือลงและเริ่มบุกเข้าไป
“อย่าได้พลาดผู้บัญชาการศัตรูไป ฆ่ามันซะ”
ในสงครามของโลกนี้ที่ขั้นตอนการปฏิบัติหลังจากสูญเสียสายบังคับบัญไปไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อเสียไปมันจะยากที่จะจัดการ หากจัดการผู้บัญชาการศัตรูได้กองทัพทั้งหมดก็จะไม่สมบูรณ์อีกต่อไป
แต่ถ้าหากพลาดผู้บัญชาการศัตรูไป กองทัพศัตรูก็สามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้
เป็าหมายต่อไปได้โผล่มาต่อหน้าวอล์มที่ได้เข้าไปในค่ายของศัตรูขณะที่กวัดแกว่งฮาลเบิร์ดของเขา
มันเป็นกลุ่มที่มีเครื่องสวมใส่แตกต่างจากทหารธรรมดาอย่างชัดเจน น่าจะเป็นองคลักษณ์ของค่ายนี้
“หลบไป! หรือจะให้ฉันจัดการแกลงตรงนี้?!!”
องคลักษณ์ตะโกนกลับมาทันทีจากการยั่วยุของวอล์ม
“หุบปาก!!!”
ศัตรูถือดาบยาวด้วยมือทั้งสองข้างแล้วก็ฟันใส่วอล์ม ตรงข้ามกับน้ำเสียงของเขา การเคลื่อนไหวของเขาและการฟันนั้นเฉียบคม แล้ววอล์มได้ฟันฮาลเบิร์ดจากด้านล่างขึ้นบน
เสียงกระทบแหลมสูงของโลหะดังออกมา ด้วยทักษะ วอล์มได้เปิดใช้งาน《จู่โจม》และตัดข้อมือข้างหนึ่งของศัตรู
“อัคคค”
น่าแปลกใจที่เขาไม่สนใจแม้จะมีแผลและเลือดออก เขายังคงถือดาบด้วยมือข้างที่เหลือของเขาแล้วพุ่งเข้าหาวอล์ม
วอล์มก้าวถอยหลังแล้วจากนั้นก็แทงฮาลเบิร์ดใส่เขาหลายครั้ง ศัตรูสามารถรับได้จนถึงครั้งที่สอง แต่เมื่อการโจมตีครั้งที่สามมันก็ได้เข้าไปที่คอของเขาและตัดคอส่วนหนึ่งของเขาออก
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้ล้มลงโดยทันที แต่หลังจากที่เขากระอีกเลือดเขาก็ล้มตัวลง
เห็นได้ชัดว่าฝือมือของเขานั้นเทียบไม่ได้กับทหารทั่วไป เขาได้รับการฝึกมาอย่างดีอย่างแน่นอน
ที่นี่มีศพทหารไฮเซิร์คมากกว่าก่อนหน้า วอล์มมองไปรอบๆเขารู้สึกว่าเป้าหมายต้องอยู่แถวๆนี้แน่
“มีกลุ่มที่ดูแปลกๆ ทางซ้ายด้านหลัง!!”
เป็นโจ่เซ่ที่สังเกตุเห็น ศัตรูที่อยู่รอบๆพยายามอย่างหนักที่จะดันกลับและปกป้องตำแหน่งไว้ แต่มีแค่กลุ่มนั้่นเท่านั้นที่พยายาจะหลบหนีจากด้านข้างเนินเขาไปที่ที่ราบ
“หน่วยดูเวย หยุดพวกมันซะ!!”
หัวหน้าหมวดโคซูรุที่หายใจถี่รัวได้ตะโกนเรียกชื่อหน่วยที่วอล์มอยู่
“ฮ๊ะ!! อย่ามาไร้สาระ!!”
มีหลายกลุ่มที่พยายามลงจากเนินเขา แต่ส่วนใหญ่จะเป็นตัวล่อเพื่อให้ผู้บัญชาการหลบหนี
แต่ว่ามีกลุ่มหนึ่งที่ดูสิ้นหวังแปลกกว่ากลุ่มอื่นๆ
“ไรนัส! ทิเบิร์ด! ดานฟาน!!”
ชื่อของคนโง่ทั้งสามถูกเรียกออกมาโดยหัวหน้าดูเวย แต่ทิเบิร์ดที่เป็นหัวโจกของคนโง่ทั้งสาม ตอบกลับอย่างหนักหน่วง
“เป็นไปไม่ได้!ทีแค่เราสามคน นั่นมันเกือบเท่านึงเลยนะ!”
หน่วยกำลังเข้าปะทะไม่มีกำลังมากพอ และระยะห่างระหว่างกลุ่มศัตรูและวอล์มมีแต่มากขึ้น เท่านั้น
“ดื้อดึงจริงๆ!”
หัวหน้าดูเวยได้ฟันศัตรูสองคนพร้อมกันด้วยขวานของเขา แต่มันก็ยังไม่พอ
วอล์มจดจ่อกับมานาของเขาโดยเล็งไปที่ กลุ่มเล็กๆที่ขวางทางเขาอยู่ เขาคิดว่าแค่ลูกไฟมันยังไม่พอ และกลุ่มศัตรูที่มีชุดเกราะทั้งตัวก็พยายามขวาง
มันจำเป็นสำหรับวอล์มที่จะต้องกระจายไฟเป็นวงกว้างโดยที่ไม่ลดพลังทำลายลง
วอล์มจินตนาการถึงวังวนไฟที่เผาเมืองหลวงของบ้านเกิดในโลกก่อนของเขา
เขาจินตนาการถึงสิ่งที่เขาได้เห็นในหนังสือ ในเน็ตและทีวี เขากัดฟันเบาๆ และก็ได้มีเวทย์ธาตุไฟและลมอยู่ในมือของเขา
จนถึงตอนนี้ปกติเขาจะใช้เวทย์ธาตุเดียวในแต่ละครั้ง ต่างจากครั้งนี้วอล์มคิดว่าการใช้มันพร้อมกันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ความร้อนที่แผดเผาร่างกาย และลมที่โคจรรอบๆตัวของวอล์ม
ไม่ มันยังไม่พอ
น้ำลายกำลังจะไหลออกจากปากของเขาที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง โดยปกติแล้ว ตอนนี้วอล์มกำลังใช้สมาธิจนสุดขีดแบบที่ไม่เคยทำมาก่อน
แต่ก็พบว่าตอนนี้ไม่ใครที่คุ้มกันเขา
“ฆ-ฆ่ามันซะ!!!”
ผู้บัญชาการศัตรูที่สังเกตุเห็นชี้ไปที่วอล์มแล้วตะโกนออกมา
“ฉันไม่ยอมให้แกทำอย่างนั้นหลอก”
มีทหารสามคนได้รีบเข้าไปช่วยวอล์มในฐานะหน่วยกล้าตาย แต่โจเซ่ นัวร์และบาริโต้ก็อยู่ที่นั่น
“วอล์มจัดการเลย!!”
เสียงตะโกนที่ใส่อารมณ์ดังมาจาก วิลลาร์ท ที่ปกติจะไม่แสดงอารมณ์ออกมา แม้แต่ตอนฆ่าคน
แล้วก็ได้มีเปรวเพลิงสีฟ้าหมุนวนออกมาจากร่างวอล์ม แล้วมันก็พระกระจายไปทั่วด้วยลม
“เขาคุมมันไม่ได้เหรอ!?ไม่ นี่มัน…”
วิลลาร์ท ที่กำลังดูอยู่นั้นสับสน
“นั่นมันอะไรกัน!?”
“ผมของผมไหม้หมดแล้ว คุณวอล์ม นี่ผมเอง”
“หลบไปซะ! ไม่งั้นนายจะโดนมันไปด้วย!”
คำวิพากษ์วิจารณ์ดังออกมาจากทหารรอบตัวของเขา แต่ในไม่ช้ามันก็กลายเป็นเสียงเชียร์ แล้วเปลวไฟและลมก็เข้าปกคลุมศัตรูห้าคนแล้วก็ถูกเผาในครั้งเดียว ไฟและลมเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตนั้นหวาดกลัวมาตั้งแต่โบราณ
เปลวไฟร้อนที่แผดเผาผิวหนังและทำให้อยากหลับตาและสายลมที่พัดเขย่าเหล่าพีชพันธุ์และเส้นผมอย่างรุนแรง
เป็นครั้งแรกที่ทหารเฟอร์เรียสที่แม้จะถูกโจมตีโดยทหารม้าและหัวหน้าดูเวยที่ใช้《จู่โจม》ก็ไม่กลัว แต่ตอนนี้… เปลวไฟได้แผดเผาพื้นดินและกระจายฝุ่นออกไปราวกับว่ามันกำลังกัดกินพื้นดินในขณะที่วอล์มเดิน
มันมีพลังทำลายมากเท่ากับการโปรยลูกไฟไปทั่วอย่างต่อเนื่อง แล้วปัญหาก็เข้ามา ความเหนื่อยล้าได้เข้าโจมตีวอล์ม เนื่องจากเวทมนตร์ที่เขาไม่รู้ว่ามันคืออะไรและก็ด้วยความเหนื่อยล้าต่อเนื่องตั้งแต่เริ่มรบ
มานาของวอล์มกำลังจะหมด
“ยังก่อน…”
เหล่าศัตรูที่หนีจากเปลวไฟและลมและพวกเขายังไม่ล้มลง ในมุมมองที่มืดมน วอล์มมองไปที่ศัตรูและขยับแขนที่ไร้เรี่ยวแรงของเขาและด้วยแขนนั้นมันได้ปล่อยพลังทั้งหมดออกไป แล้วมันก็พุ่งแผดเผาตัดผ่านกองกำลังของศัตรูด้วยเปลวไฟ
“อ้าาา ไฟมันกำลังลามมา…”
“อร็าคคคคคคคคค”
“ดับมันที ดับมันนนน!!!”
หมุษย์หลายสิบคนถูกเปลวไฟแผดเผาและตาย มันเป็นเหมือนกับนรก กลิ่นไหม้ยังคงติดอยู่ในจมูกของวอล์ม และเสียงร้องก็ยังดังก้องอยู่ในหู
สุดท้ายนี้จิตวิญญาณการต่อสู้ของศัตรูก็ถูกทำลายลงเมื่อได้เห็ยมัน ที่ราวกับว่าประตูนรกได้เปิดออก
ไฟยังกระจายไปหากลุ่มที่พยายามจะหลบหนี ในเหล่าศัตรูที่พยายามดับไฟและยืนอยู่เป็นคนสุดท้ายนั้นมีการแต่งตัวที่ดูโดดเด่นเป็นพิเศษ
เสื้อผ้าที่มีการปักด้วยสีทองและชุดเกราะสีฉูดฉาดที่ปกติสามารถเห็นได้ในงานพิธีเท่านั้น และดาบในมือที่แวววาวต่างจากเหล็กและเงิน วอล์มบอกได้อย่างรวดเร็วว่ามันคือดาบที่ทำจากแร่เงินเวทมนตร์ “มิธริล”
“เหลือแค่แกเท่นั้น”
โมเมนตัมของเปลวไฟและลมที่รวมตัวกันดั่งนรกกำลังลดลงอย่างรวดเร็ว
*****
จบไปแล้วกับตอนที่13 แฮร่ หายไปนานเลย เพราะมันยากและยาวด้วยแหละผมทำคนเดียวไม่มีคนปรึกษาเวลาเจอปัญหามันก็จะนานหน่อยๆบ้างก็ไม่ทำแม่งเแล้วเจอกันงี้ คิดว่าตอนนี้ผมแปลไม่ได้ลื่นสักเท่าไร อยากให้แก้ตรงไหนบอกได้นะครับ เบาๆหน่อยนะครับช่วงนี้บอบบาง ฮ่า แล้วก็
ขอขอบคุณสำหรับทุกๆComment ครับ
ทั้งนี้ขอขอบคุณ ENG จากKinokura Translation
เพจผู้แปล (1) เหนื่อยน้อ การแปล | Facebook