สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 923 ฉลองงานแต่ง (ตอนปลาย) (1)
บทที่ 923 ฉลองงานแต่ง (ตอนปลาย) (1)
……….
“บ้านเจ้าบ่าวมาแล้วหรือ”
เจ้าสาวลุกพรวดยืดขึ้น ผ้าคลุมหน้าในมือของแม่นางซุนยังไม่ทันคลุมเสร็จดี
แม่นางซุนตั้งสติก่อนจะเอ่ยกับกู้จิ่นอวี๋ “คุณหนูกู้ คุณหนูช่วยนั่งลงก่อน บ้านเจ้าบ่าวคงไม่มาเร็วขนาดนั้น ยังไม่ถึงฤกษ์เลย”
กู้จิ่นอวี๋เพิ่งรู้ตัวว่าตนเสียกิริยา จึงค่อยๆ นั่งลงบนเก้าอี้พลางเอ่ย “ชุนหลิ่ว เจ้าไปดูซิ”
“เจ้าค่ะ คุณหนู” ชุนหลิ่วหันหลังเดินออกไป
ไม่นานนางก็กลับมา สีหน้าไม่สู้ดีสักเท่าไร ฝ่ามือกำผ้าเช็ดหน้าแน่น ก้มหน้าไม่พูดไม่จา
เพราะกู้จิ่นอวี๋ลุกพรวดเมื่อครู่ จนเครื่องหัวเอียงกะเท่เร่ แม่นางซุนจึงกำลังสวมเครื่องหัวให้นางใหม่
นางชำเลืองมองชุนหลิ่วพลางเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป มีอะไรก็ว่ามา อย่ามั่วอ้ำอึ้ง”
เสียงตีกลองลั่นฆ้องยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ชุนหลิ่วรายงานเสียงแผ่วเบาได้ประโยคหนึ่งก็ถูกเสียงจากนั้นนอกกลบในทันใด
กู้จิ่นอวี๋เตือนตัวเองว่าวันนี้คือวันแต่งงานของตัวเอง ต้องทำใจให้มีความสุข จะอารมณ์เสียไม่ได้
“เจ้าพูดเสียงดังหน่อย” นางเอ่ยกับชุนหลิ่ว
ชุนหลิ่วกัดฟัน เร่งเสียงให้ดังขึ้นแล้วเอ่ยซ้ำอีกครั้ง “ด้านนอกไม่ใช่ท่านชายสามเฉวียน… แต่เป็นท่านโหวน้อยแห่งแคว้นเจา”
บ้านเจ้าบ่าวมาจริงๆ แต่ไม่ใช่ลูกเขยคนเล็ก แต่กลับเป็นลูกเขยคนโต
กู้จิ่นอวี๋จิกนิ้วในทันใด
อีกตั้งหนึ่งชั่วยามกว่าจะออกขบวน เซียวเหิงจำผิดหรืออย่างไร
คงไม่ใช่ว่าแสร้งโง่มาแต่เช้าหรอกนะ
ตอนอยู่ชนบทก็เป็นสามีภรรยากันมาตั้งนานแล้ว เหตุใดถึงต้องทำเป็นไม่เคยแต่งการแต่งงานกันมาก่อน
“คุณหนูกู้ อย่าเพิ่งร้อนใจไปเลยเจ้าค่ะ” แม่นางซุนเตือนช้าไปเพียงเสี้ยววินาที กู้จิ่นอวี๋โกรธจนสั่นไปทั้งตัว เครื่องหัวหนีบผมนาง เจ็บจนต้องสูดปาก
แม่นางซุนเป็นช่างแต่งหน้ามาก็นานหลายปี แต่ไม่เคยพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน แม้จะไม่นับว่าร้ายแรงขนาดนั้น แต่อย่างไรเสียก็ไม่มงคลสักเท่าไร
แน่นอนว่านางย่อมไม่กล้าเอ่ยออกไป ได้แต่ยิ้มบาง พลางเอ่ยกับกู้จิ่นอวี๋ “มวยผมคลายหมดแล้ว ข้าหวีให้คุณหนูกู้ใหม่อีกหนดีกว่าเจ้าค่ะ”
กู้จิ่นอวี๋รู้ตัวดีว่าตนเองเสียกิริยา แต่ก็ไม่อาจเกรี้ยวกราดใส่ช่างแต่งหน้าได้ นางสูดหายใจลึกดับไฟสุมทรวง เอ่ยกับชุนหลิ่วด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ “ว่าแต่ เมื่อครู่เจ้าไปเรียกท่านพ่อข้าแล้วมิใช่หรือ ท่านพ่อยังไม่ตื่นอีกรึ”
มีหรือชุนหลิ่วจะกล้าบอกนาง ท่านโหวถูกท่านเหล่าโหวลากตัวไปตั้งแต่เช้าแล้ว
“เจ้าไปเร่งท่านพ่อที ทางข้าใกล้จะเสร็จแล้ว” กู้จิ่นอวี๋มองคนงามในกระจกสำริด
ชุนหลิ่วสองจิตสองใจอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายจึงกัดฟันสารภาพออกไป “…ท่านเหล่าโหวกับท่านโหวออกจากจวนไปแล้วเจ้าค่ะ ท่านชายใหญ่กับท่านชายทั้งสองคนก็ออกไปแล้วเช่นกัน”
“ว่าอย่างไรนะ” สีหน้าของกู้จิ่นอวี๋เปลี่ยนไปในทันที
คราวนี้แม่นางซุนตั้งตัวได้ทัน ปล่อยมือได้ทันเวลา ไม่ได้รั้งเส้นผมของนางไว้
“พวกเขาไปไหน” กู้จิ่นอวี๋ถามเสียงเย็น
ชุนหลิ่วก้มหน้า ตอบด้วยเสียงที่เบายิ่งกว่าเสียงยุงเสียอีก “ได้ยินแม่บ้านที่หน้าประตูบอกว่า พวกท่านเหล่าโหวเหย่…ไปที่จวนกั๋วกงกันเจ้าค่ะ”
กู้จิ่นอวี๋เดือดจนกระชากเครื่องหัวเหนือศีรษะทิ้ง ตบโต๊ะเครื่องแป้งเสียงดังโครม
คนในห้องตื่นตกใจจนไม่กล้าแม้แต่จะเปล่งเสียง
แม่นางซุนพลันนึกเสียใจที่รับงานนี้ นางโชคดีมาตลอดชีวิต ส่งตัวเจ้าสาวมามากมาย เพิ่งเคยเจอแบบนี้เป็นครั้งแรก
ลูกชายในบ้านต่างไปร่วมงานแต่งงานของคุณหนูใหญ่กันหมด ไม่ไว้หน้าคุณรองเลยสักนิด
เรื่องในครอบครัวนางเองก็ไม่ควรเข้าไปยุ่มย่าม จึงทำได้เพียงฉีกยิ้มบังหน้า เก็บเครื่องหัวขึ้นมา ก่อนจะเอ่ยกับกู้จิ่นอวี๋ “อย่าโมโหไปเลยเจ้าค่ะ วันนี้เป็นวันแต่งงาน ควรจะมีความสุข ประเดี๋ยวจะได้แต่งเข้าบ้านสามีแล้ว”
หลังจากนี้ไปก็ไม่ต้องไปมาหาสู่กับบ้านแม่แล้ว
ทว่าประโยคหลังนั้นนางกลืนลงคอไป
“เจ้าพูดถูก พอเข้าแต่งงานแล้ว ก็ไม่ข้องเกี่ยวกับจวนติ้งอันโหวอีกต่อไป” อย่างไรเสียก็ขายหน้าต่อหน้าแม่นางซุนมาไม่รู้กี่หนแล้ว นางเองก็ไม่กลัวที่จะต้องเปิดเผยตัวตน กอบกู้ศักดิ์ศรีของตัวเองบ้าง “หลังจากแต่งงานแล้ว ข้าก็จะออกจากเมืองหลวง ไปครองเมืองกับท่านชายสาม ท่านชายสามคือลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของชางผิงโหว ข้าว่าชีวิตคงไม่มีทางลำบากแน่นอน”
แม่นมจางคนสนิทของเหล่าฮูหยินกู้ยังอยู่ในห้อง การที่นางกล้าพูดจาเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังแก้เก้อให้ตัวเอง
แม่นมจางได้แต่ยิ้ม ไม่เคยคำใด
“แม่นางซุน ข้าสวยหรือไม่” กู้จิ่นอวี๋มองตัวเองในกระจก
แม่นางซุนเอ่ย “สวย สวยอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
กู้จิ่นอวี๋ถามต่อ “หากเทียบกับพี่สาวของข้าเล่า”
แม่นางซุนชะงักไป
ว่าตามตรง นางเองก็เคยเจอคุณหนูใหญ่มาก่อน เมื่อเดือนที่แล้วนางไปซื้อยาที่เมี่ยวโส่วถัง บังเอิญได้ยินคนเรียกนางว่าคุณหนูใหญ่ นางถามดูจึงได้รู้ว่าอีกฝ่ายคือลูกสาวบุญธรรมผู้นั้นของอันกั๋วกงที่เขาล่ำลือกัน
ทั้งยังเป็นลูกสาวแท้ๆ ของจวนอันติ้งโหว
นางส่ายหน้าพลางเอ่ย ก่อนจะเอ่ยอย่างจริงใจ “คุณหนูรอง ท่านงามความคุณหนูอย่างหลายโยด”
กู้จิ่นอวี๋ลูบใบหน้าอันไร้ตำหนิของตน ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “ต่อให้นางจะฉอเลาะท่านปู่หรือท่านพี่มากแค่ไหน แต่สุดท้ายก็ยังอัปลักษณ์อยู่วันยังค่ำ”
ประโยคนี้… แม่นางซุนไม่เห็นด้วยสักเท่าไร
แม้ใบหน้าของคุณหนูใหญ่จะมีตำหนิ แต่ไม่ถึงขึ้นอัปลักษณ์เสียทีเดียว คุณหนูใหญ่มีมาดอันเยือกเย็นอันแสนพิเศษ
…
จวนกั๋วกง กู้เจียวเตรียมตัวเสร็จแล้ว สามารถออกขบวนได้
หากยึดตามธรรมเนียมของฝั่งแคว้นเจา พวกกู้เหยี่ยนสามารถกั้นประตูเงินประตูทองเซียวเหิงได้ แต่ใครใช้ให้เซียวเหิงกว้านซื้อพวกเขาตั้งแต่ก่อนหน้ากันเล่า
ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ไม่ใช่ไม่ยอมให้เจ้าบ่าวมารับตัวเจ้าสาว แต่ใครกันแน่จะได้เป็นคนแบกเจ้าสาวขึ้นเกี้ยว
ภายในโถงดอกไม้ พวกกู้ฉังชิงกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือด
“ข้าเป็นผู้ใหญ่ ก็ต้องเป็นข้าแบกอยู่แล้ว” กู้ฉังเชิงเอ่ยอย่างมั่นใจ
แต่คิดไม่ถึงเลยว่าความเห็นของเขาจะถูกทุกคนคัดค้าน รวมถึงกู้เหยี่ยนด้วย
…แต่เว้นกู้เฉิงหลินไว้คนหนึ่ง
หากเป็นแต่ก่อนกู้เหยี่ยนคงไม่แย่งเขาหรอก ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับพี่สาว กู้เหยี่ยนย่อมต้องมีส่วนร่วมด้วย
“ข้าเป็นฝาแฝดกับนางนะ! พวกข้าสองคนสนิทกันที่สุด! ข้าต้องเป็นคนแบก!”
กู้เสี่ยวซุ่นที่ปกติแล้วสงบปากสงบคำมากที่สุด ทว่าวันนี้กลับไม่ยอมน้อยหน้าใคร “ข้าโตมากับท่านพี่นะ! อย่างไรก็ต้องเป็นข้าที่แบกนางขึ้นเกี้ยว!”
กู้ฉังชิง กู้เฉิงเฟิง กู้เหยี่ยนหันขวับมองเขา ก่อนจะเอ่ยเป็นเสียงเดียวกัน “เจ้าแบกแล้วครั้งหนึ่ง!”
ตอนอยู่ที่ชนบท
กู้เสี่ยวซุ่นลูบจมูกแก้เก้อ “ปะ… เปล่าเสียหน่อย…”
กู้เฉิงหลิงอ้าปากพะงาบ “คือว่า…”
สี่คนที่เหลือ “เจ้าหุบปาก!”
กู้เฉิงหลินงับปากอย่างน่าสงสาร
พี่น้องเถียงกันจนหน้าดำหน้าแดง กู้ฉังชิงพลันสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล เขามองไปรอบทิศ ก่อนจะพบว่าบนเก้าอี้ภายในโถงดอกไม้เหลือเพียงท่านโหวกู้ที่สีหน้าไร้อารมณ์อยู่เพียงคนเดียว ส่วนท่านปู่ที่ควรอยู่รอกับท่านโหวกู้ในโถงดอกไม้กลับไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน
“ท่านปู่เล่า” เขาถามกู้เฉิงหลิน
พวกเขาเถียงกันเสียงดุเดือดปานนั้น มีเพียงกู้เฉิงหลินที่ไม่ร่วมวง
กู้เฉิงหลินเอ่ย “ท่านปู่ออกไปแล้ว ข้าว่าทางที่เขาเดินไปเหมือนจะเป็นเรือนที่พวกท่านพูดถึง”
กู้เฉิงเฟิงเองก็หันไปมองเขา “แล้วทำไมเจ้าไม่รีบบอก”
กู้เฉิงเฟิงเบ้ปาก “ข้าอยากบอกตั้งนานแล้ว แต่พวกท่านบอกให้ข้าหุบปาก”
กู้ฉังชิงและกู้เฉิงเฟิงมองหน้ากัน ในใจเต้นตึกตัก ท่านปู่ไปแบกน้องสาวแล้ว
“เหตุใดถึงลืมไปเลยว่าท่านปู่ ‘พี่น้องร่วมสาบาน’ ของแม่หนูนั่น…” กู้เฉิงเฟิงกัดฟันกรอด “เกิดไปแล้ว ท่านปู่!”
กู้ฉังชิงแทบจะเหาะออกไปในทันที
“เดี๋ยว! รอข้าด้วย!”
กู้เฉิงเฟิงรีบตามติด!
กู้เหยี่ยนและกู้เสี่ยวซุ่นเองก็ไม่รอช้าตามออกไป
กู้เฉิงหลินมองพวกเขา ก่อนจะมองท่านพ่อที่นั่งเหม่อลอย จากนั้นก็ยื่นมือออกไปนอกประตู “…รอข้าด้วย!”
พวกเขาวิ่งแซงกันไปมา พยายามทิ้งห่างอีกฝ่ายสุดกำลัง เมื่อบรรดาพี่ชายน้องชายเอะอะโวยวายกันจนมาถึงเรือนงานแต่งของกู้เจียว ก็แปลกใจที่ได้เห็นแผ่นหลังของท่านปู่
เอ๊ะ
เหตุใดถึงไม่เข้าไปเล่า
“ท่านปู่ เหตุใดท่านเหม่อลอยอันใดอยู่” กู้เฉิงเฟิงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า ถามไปพลางมองตามสายของท่านปู่ที่ทอดมองไปภายในเรือน หลังจากนั้นเขาเองก็นิ่งชะงักไปเช่นกัน
บนทางเดินที่ปูด้วยพรมแดง อันกั๋วกงนั่งอยู่บนรถเข็นอย่างสงบนิ่ง หันหน้าไปทางห้องของกู้เจียว
ทุกคนพากันมองตามด้วยความตื่นตระหนก เซวียนหยวนฉีและเหลี่ยวเฉินเองก็จ้องมองเขาไม่กะพริบ
คนนอกเรือนไม่เห็นสีหน้าเขา แต่ก็พอเดาได้ว่าร่างทั้งร่างของเขากำลังออกแรงมหาศาล
สองมือของเขากำที่พักแขนของรถเข็น ก่อนจะค่อยๆ ลุกยืนขึ้น
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขาให้กำลังอย่างหนักหน่วง แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ยอมนั่งลง กลับกันยังฝืนก้าวเดินไปข้างหน้าอีกด้วย
ตามมาด้วยก้าวที่สอง ก้าวที่สาม…
ขณะที่กำลังขึ้นบันได เขาเกือบจะล้มคะมำ พ่อบ้านเจิ้งตกใจจนร้องสูดปาก
แม้แต่เซวียนหยวนฉีและเหลี่ยวเฉินเองก็เกือบจะกระโจนเข้าไปแล้ว
เขายกมือขึ้น ส่งสัญญาณว่าเขาไม่เป็นอะไร ไม่จำเป็นต้องเข้ามา
หลังจากเขายืนมั่น ก็เริ่มก้าวย่างที่ยากลำบากกว่าคนธรรมดานับสิบเท่า ก่อนจะค่อยๆ ขึ้นบันไดไป
เมื่อเห็นเขายืนอยู่หน้าประตูเรือนเจ้าสาว แม่นางเหยาก็ตกใจจนพูดไม่ออก
กู้เจียวได้ยินเสียงฝีเท้าเชื่องช้าทว่าหนักแน่น ดวงตาภายใต้ผ้าคลุมหน้าก็กะพริบถี่ ฝ่ามือเรียวยื่นมาหานาง “เจียวเจียว พ่อมาส่งเจ้าออกเรือนแล้ว”