สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 749 ความสุขของจิ้งคง
บทที่ 749 ความสุขของจิ้งคง
กู้เจียวกอดอกมองเหลี่ยวเฉินพลางเอ่ย “ข้าไม่เชื่อว่าท่านแค่ขโมยหนังสือเล่มเดียว ท่านต้องทำอะไรอีกแน่ๆ ถึงทำให้คนที่ไม่เคยจำหน้าใครได้ จำหน้าท่านฝังใจ!”
เหลี่ยวเฉินประนบมือ “อามิตตาพุทธ ออกบวชแล้วไม่โกหก”
ในชามเปล่าของเขาไม่มีเหลือแม้แต่เกี๊ยวไส้หมูสัดผักกาดขาวสักตัว แม้แต่น้ำต้มเกี๊ยวก็ซดหมดแล้ว
กู้เจียวคิดในใจ เจ้าเป็นนักบวชจริงหรือ
“อาจารย์! ท่านอาศัยอยู่ที่ไหนหรือ” เสี่ยวจิ้งคงถาม
“อาจารย์…” เหลี่ยวเฉินหยุดเอ่ยไปครู่หนึ่ง แล้วหัวเราะขึ้น “อาจารย์มีที่อยู่ ไม่ต้องห่วงอาจารย์”
“อ๋อ” เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย “ไม่ใช่ ข้าแค่อยากรู้ว่าท่านอาศัยอยู่ที่ไหน ถ้าข้าอยากจะพบท่าน ข้าจะได้ไปหาท่าน!”
เหลี่ยวเฉินยิ้ม “ไม่ต้องหรอก อาจารย์จะมาหาเอง”
เสี่ยวจิ้งคงหันหน้ามามองเขาพลางเอ่ย “เช่นนั้นท่านอาจารย์จะมาอยู่ที่เมืองเซิ่งตูอีกนานไหม ข้าเรียนหนังสืออยู่ที่เมืองเซิ่งตู ข้าก็ไม่รู้ว่าจะเรียนนานแค่ไหน”
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ เซียวเหิงก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าหนังสือตอบรับเข้าศึกษาพวกเขาทั้งหมดเป็นของเหลี่ยวเฉินที่ขอให้เจ้าอาวาสนำมาด้วย
เขาเป็นใครกันแน่
เขาไปหาหนังสือตอบรับเข้าศึกษาจากแคว้นเยียนมามากมายขนาดนี้ได้อย่าไร
เขาเป็นคนแคว้นเยี่ยนหรือ ถ้าใช่ เหตุใดถึงได้ไปบวชเป็นพระที่แคว้นเจา
เสี่ยวจิ้งคงอยู่ในเหตุการณ์ ผู้ใหญ่สองคนจึงพูดจากันอย่างระมัดระวัง ไม่ถามอะไรที่ไม่ควรถาม และไม่วิจารณ์อะไรในที่สาธารณะ
เสี่ยวจิ้งคงกินหมดอย่างรวดเร็ว ยกชามขึ้นซดน้ำแกงจนหมดเกลี้ยงโดยไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
“เป็นไปไม่ได้ กินหมดเกลี้ยงเลยหรือ” เหลี่ยวเฉินประหลาดใจ
ดูอ้วนขึ้นกว่าตอนที่อยู่ที่วัด ไม่เหมือนเขาแต่ก่อนที่ไม่อาจหาของกินอร่อยๆ มาให้ได้
เสี่ยวจิ้งคงวางชามลงพลางเอ่ยกับเหลี่ยวเฉินอย่างจริงจัง “เมล็ดข้าวทุกเมล็ดได้มาอย่างยากลำบาก เจียวเจียวบอกว่าห้ามกินทิ้งกินขว้าง!”
เหลี่ยวเฉินเม้มปาก
โตขึ้นสองปีแล้ว ไม่ได้เป็นเด็กกินเลอะเทอะเหมือนเมื่อก่อน
เมื่อก่อนอยู่ที่วัดกินเก่งจนข้าวหกเลอะเต็มโต๊ะ
เสี่ยวจิ้งคงกินจนเหงื่อท่วมหน้า กู้เจียวหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อให้เขาพลางถาม “กินอิ่มหรือยัง”
เสี่ยวจิ้งคงหมุนตาไปมา ชี้นิ้วเล็กๆ ไปที่กู้เจียวพลางเอ่ย “เจียวเจียว ข้าขอกินขนมเปี๊ยะพันชั้นอีกกล่องได้ไหม”
“ไม่ได้” กู้เจียวปฏิเสธทันที “กินเยอะตอนกลางคืนจะท้องอืด”
นางยอมให้เสี่ยวจิ้งคงกินเกี๊ยวแค่ชามเดียวก็เพราะเห็นว่าเขากับองค์หญิงน้อยเล่นกันจนเหนื่อย
เหลี่ยวเฉินมองดูลูกศิษย์ตัวน้อยของเขาด้วยความสนใจ
ศิษย์น้อยเอ๋ย รีบสวดมนต์ รีบสอนธรรมะ รีบใช้ลิ้นยาวสามนิ้วที่ไม่เน่าของเจ้าไปพูดจนคู่ต่อสู้มึนไปเลยสิ ไม่ใช่ว่าเจ้าสามารถพูดได้ตั้งแต่เช้ายันเย็นหรอกหรือ
เสี่ยวจิ้งคงพยักหน้าอย่างน่ารัก “ได้สิ เจียวเจียว! ข้าจะกินพรุ่งนี้นะ!”
เหลี่ยวเฉิน “..!!”
เหตุใดเมื่ออยู่กับข้าแล้วเจ้าถึงไม่เชื่อฟังเช่นนี้!
กู้เจียวลูบท้องกลมๆ ของเขา เดิมทียังอยากดูว่าเขาจะสามารถกินสักชิ้นเล็กๆ ได้ไหม แต่สุดท้ายก็ช่างเถอะ
เป็นท้องลูกแตงโมไปแล้ว
ทุกคนนั่งอยู่ที่แผงขายอาหารสักพักหนึ่ง จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนไปเดินเล่นบนถนนเพื่อให้เสี่ยวจิ้งคงย่อยอาหาร
กู้เจียวจูงเสี่ยวจิ้งคงเดินนำหน้า ส่วนเซียวเหิงและเหลี่ยวเฉินเดินตามหลัง
เสี่ยวจิ้งคงยังคงตัวติดกับกู้เจียวมากที่สุด แต่การมาถึงของเหลี่ยวเฉินทำให้คนรู้สึกได้ว่าเขามีความสุข
เหลี่ยวเฉินเอ่ยขึ้นอย่างกะทันหัน “เวลาดึกแล้ว พวกเจ้ากลับกันเถอะ”
เสี่ยวจิ้งคงหยุดฝีเท้าเล็กๆ หันกลับมามองเขา “แต่อาจารย์ ท่านยังไม่ถามข้าว่าอาศัยอยู่ที่ไหนเลยนะ”
เหลี่ยวเฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน “อ้าวหรือ เช่นนั้นเจ้าอาศัยอยู่ที่ไหนล่ะ”
เสี่ยวจิ้งคงเอ่ย “ตอนนี้ข้าอาศัยอยู่ในตำหนักกั๋วซือ! อีกไม่กี่วันข้าอาจจะกลับไปที่สำนักบัณฑิตแล้ว! ข้าเรียนหนังสืออยู่ที่ห้องเรียนอัจฉริยะของสำนักบัณฑิตหลิงโป กินและอยู่ก็อยู่ที่หอหลิงหลงของสำนักบัณฑิตสตรีชังหลันที่อยู่ติดกัน!”
เขาอธิบายอย่างละเอียดเป็นพิเศษ ราวกับว่ากลัวว่าอาจารย์ของเขาจะหาเขาไม่เจอ
เหลี่ยวเฉินหัวเราะ “เอาละ อาจารย์จำได้แล้ว”
เหลี่ยวเฉินลาทั้งสามคนแล้วหันหลังเดินเข้าไปในตรอกฝั่งตรงข้าม
เซียวเหิงเอ่ย “เรากลับไปกันเถอะ”
“อืม” กู้เจียวพยักหน้า มองไปที่เสี่ยวจิ้งคงที่กำลังง่วงเหงา “ยังเดินไหวอยู่ไหม ข้าอุ้มเจ้า”
เสี่ยวจิ้งคงลูบท้องกลม แววตาฉายแววลังเล
ในที่สุดเขาก็หันกลับมาก่อนจะยื่นแขนเล็กๆ ของเขาไปที่เซียวเหิง “พี่เขยอุ้ม!”
เขากินเยอะมาก กลายเป็นเด็กอ้วนไปแล้ว ไม่อยากทำให้เจียวเจียวเหนื่อย!
เซียวเหิงยิ้มทั้งดีใจและขำ ยกเขาขึ้น มือหนึ่งอุ้มเขาไว้ มือหนึ่งจูงกู้เจียว ก้าวเดินกลับไปยังตำหนักกั๋วซือ
“เจ้าหนักจัง เปลี่ยนชื่อเป็นลูกตุ้มน้ำหนักดีไหม”
“ไม่ใช่! เจ้าแรงน้อย! เจ้าอุ้มไม่ไหวแล้วยังโทษข้า! เจ้าเป็นผู้ใหญ่หรือเปล่า!”
“ข้าเป็นผู้ใหญ่ แล้วเจ้ายอมรับตัวเองเป็นเด็กแล้วหรือ”
“…ไม่ ข้าเป็นผู้ใหญ่ เจ้าเป็นผู้ใหญ่!”
“เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะแบกข้าสิ”
“…”
ข้างในตรอก เหลี่ยวเฉินไม่ได้เดินไปไกล เขายืนนิ่งอยู่ในความมืด มองดูเงาร่างของสามคนที่เดินออกไปไกล และฟังเสียงทะเลาะกันของ ‘พ่อลูก’
เห็นไหม
จิ้งคงมีความสุขมาก
เขามีครอบครัวที่สมบูรณ์แล้ว
….
คืนนี้พระจันทร์งามนัก
เสี้ยวพระจันทร์ลอยสูงเหนือหมู่ดาว
เหลี่ยวเฉินออกจากถนนที่พลุกพล่าน มายังถนนสายยาวที่เงียบสงบ
เมื่อเทียบกับความคึกคักของเมืองเซิ่งตู ที่นี่ช่างรกร้างเหลือเกิน
ที่นี่เป็นสถานที่ที่คนเฝ้ายามก็ไม่อยากจะมา ราวกับเป็นตรอกเล็กในนรก เต็มไปด้วยผีร้ายและวิญญาณ
เหลี่ยวเฉินมาถึงหน้าจวนที่ถูกปิดผนึก เขามองนิ่งอยู่นาน ก้าวขึ้นบันไดไปยืนตรงหน้าประตู
เชือกที่เคยใช้ปิดล้อมนั้นขาดวิ่น สนิมเกาะเต็มลูกกุญแจ
บนประตูยังมีคราบเลือด
เหลี่ยวเฉินขมวดคิ้ว
เขาเงยหน้ามองป้ายชื่อที่ด้านบนซึ่งแตกร้าวและเต็มไปด้วยใยแมงมุม นิ้วของเขาขยับเล็กน้อย ราวกับอยากจะถอดมันลงมาเช็ดให้สะอาด แต่สุดท้ายก็อดกลั้นไว้
เขาอ้อมไปด้านข้างของจวน ใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามกำแพงที่เต็มไปด้วยหญ้าขึ้นระหว่างรอยแตก
เขากระโดดลงมาบนแผ่นตะไคร่ลื่น
แต่ก็ไม่ล้ม
เขาก้าวอย่างสง่าผ่าเผยผ่านแผ่นตะไคร่นั้นไป
ในลานเต็มไปด้วยหญ้าสูงเท่าตัวคน แม้แต่รอยแตกบนพื้นกระเบื้องก็ถูกหญ้าเบียดจนแตก ทางเดินทั้งสามด้านก็ถูกหญ้าบดบังไปหมด
สิ่งเดียวที่หญ้าไม่ได้รุกรานคือแผ่นหินอ่อนขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้เท้าของเหลี่ยวเฉิน
บนนั้นมีเพียงฝุ่นหนาปกคลุม เหลี่ยวเฉินทิ้งรอยเท้าของตัวเองไว้บนพื้นฝุ่นได้ในทุกย่างก้าว
รอบทิศเงียบสงบเกินไป
เงียบสงบจนทำให้คนรู้สึกเศร้าใจ
เหลี่ยวเฉินเดินไปไม่กี่ก้าว ก่อนจะหยุดลงตรงกลางของแท่นหิน
เขาจ้องมองไปข้างหน้า ปล่อยให้สายตาว่างเปล่า ดวงตาไม่มีโฟกัส
“ออกมาเถอะ” เขาเอ่ย
ร่างเล็กกระโดดลงมาจากกำแพงด้านตะวันออก
“รู้ตัวเมื่อไหร่” กู้เจียวมายืนอยู่ข้างหลังเขา “ข้าระวังตัวมากเลยนะ”
“หึ” เหลี่ยวเฉินไม่ได้หันกลับมา เขามองไปยังห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ไพศาล พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “มีอะไรอยากถามข้าหรือไม่”
กู้เจียวสะบัดฝุ่นออกจากตัว คายเศษหญ้าออกจากปากก่อนจะเอ่ยถาม “เจ้ารู้ตั้งแต่แรกเลยหรือว่าข้าเป็นใคร”
เหลี่ยวเฉินเอ่ย “เจ้าบอกว่าแต่แรกคือแต่แรกแค่ไหน”
กู้เจียวคิดไปคิดมา พลางเอ่ย “ครั้งที่แล้วที่เขากวานซาน เจ้าคงจำข้าได้ตั้งแต่แรกแล้ว แต่ข้าไม่รู้ว่าครั้งแรกที่เจ้าเจอข้าในหมู่บ้าน เจ้าจงใจตกหลุมพรางรอให้ข้าไปช่วยหรือ”
เหลี่ยวเฉินเอ่ยเสียงเรียบ “ตกหลุมพรางเป็นอุบัติเหตุ แต่แสร้งทำเป็นไม่รู้จักเจ้าเป็นเจตนา ข้ามีลูกศิษย์ถูกเจ้ารับเลี้ยงมา ข้าต้องมาดูหน่อยว่าบ้านไหนรับเลี้ยงเขา ไปเดินดูหมู่บ้านของเจ้าแล้ว เห็นครอบครัวของเจ้าเท่านั้นเอง”
กู้เจียวเดินมาหยุดอยู่ข้างเขา ก่อนจะมองเขาหัวจรดเท้า สีหน้าของเขาในเวลานี้แตกต่างจากที่เคยมาก
ดวงตาคู่นั้นไม่ได้ชั่วร้ายอีกต่อไป รอยยิ้มที่มุมปากก็หายไปเช่นกัน
ร่างทั้งร่างของเขาถูกปกคลุมด้วยรังสีที่มองไม่เห็น
กู้เจียวละสายตากลับมา มองไปในทิศทางเดียวกันกับเขา นั่นคือท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล
“เอาละ จะเชื่อเจ้าไปก่อนก็แล้วกัน แต่เจ้าเหตุใดถึงทำเป็นไม่รู้จักข้าเล่า” กู้เจียวถาม
แค่กลัวว่าเจ้าจะพาเด็กน่ารำคาญมาหาข้าเป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง
เหลี่ยวเฉินเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าเป็นคนไม่ชอบเข้าสังคม การอยู่ร่วมกับคนแปลกหน้ารู้สึกสบายใจกว่า ถ้าพวกเจ้ารู้จักกับเข้าแล้วก็จะไปมาหาสู่ข้า ข้ารำคาญ”
“เหตุผลนี้ก็พอจะฟังได้อยู่” กู้เจียวคิดว่าคำถามนี้ไม่สำคัญนัก ดังนั้นนางจึงไม่ได้ใส่ใจว่าเขาโกหกหรือไม่
แต่คำถามต่อไป กู้เจียวจำเป็นต้องให้เขาตอบอย่างจริงใจ
กู้เจียวหันหน้ามามองเขา “เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน”
“สนามฝึกยุทธ์” เหลี่ยวเฉินตอบ
เมื่อเขาเอ่ยจบ เขาก็ตระหนักว่ากู้เจียวไม่ได้ถามถึงพื้นที่ว่างเปล่าใต้เท้า แต่ถามถึงจวนทั้งหลัง
กู้เจียวหันกลับมามองเขาตาไม่กระพริบ “แม้แต่ที่นี่เป็นสนามฝึกยุทธ์ของตระกูลเซวียนหยวน เจ้ามี ความสัมพันธ์อย่างไรกับตระกูลซวนหยวนกันแน่ อย่าบอกว่าไม่มีความสัมพันธ์นะ ข้ารู้แล้วว่าเพลงทวนที่เจ้าสอนข้า คือเจ็ดเพลงกระบี่ของตระกูลเซวียนหยวน”
เหลี่ยวเฉินมองไปที่พระจันทร์ครึ่งดวง กำมือแน่นทว่าไม่เอ่ยคำใด
กู้เจียวเอ่ย “เจ้าไม่อยากตอบคำถามนี้ก็ไม่มีเป็นไร ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ได้เป็นอะไรกับข้า เจ้าไม่จำเป็นต้องบอกข้าเกี่ยวกับตัวเจ้า เช่นนั้นข้าขอเปลี่ยนคำถาม”
สีหน้าของนางเปลี่ยนเป็นจริงจัง ก่อนจะถามอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ “จิ้งคงกับตระกูลเซวียนหยวนมีความสัมพันธ์กันหรือไม่”