สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 539 นายน้อย
บทที่ 539 นายน้อย
ทว่าอีกฟากหนึ่งนั้น เจ้ากรมยุติธรรมก็พาเซียวเหิงออกไปสืบคดีทั้งวันทั้งคืน เซียวเหิงรับตำแหน่งซู่ลิ่งหรืออาลักษณ์ของกรมยุติธรรม ว่ากันตามหลักการแล้วไม่จำเป็นต้องร่วมสืบคดี ทว่าตอนที่เจ้ากรมสิงเรียกตัวเขามาก็เพราะเห็นแววในการสืบคดีของเขา
ตำแหน่งอาลักษณ์ซูลิ่งก็แค่ฉากบังหน้าเท่านั้น
เจ้ากรมยุติธรรมแซ่สิง นามว่าซูเหวิน
ชื่อเสียงเรียงนามเช่นนี้ฟังดูไม่น่าจะเป็นเจ้าคนนายคนได้ ทว่าสิงซูเหวินผู้นี้กลับทำได้สำเร็จ
ในบรรดาเจ้ากรมทั้งหก สิงซูเหวินเป็นเพียงผู้เดียวที่มีพื้นเพยากจน ตอนนั้นเขาเองก็ลำบากไม่น้อยกว่าจะได้เข้ามาในกรมยุติธรรม
เพราะว่าไม่มีชาติตระกูลเกื้อหนุน กว่าเขาจะไต่เต้าขึ้นมาได้นั้นยากเย็นยิ่งกว่าเหล่าขุนนางที่มาจากตระกูลสูงส่งหลายต่อหลายเท่า เขาเคยถูกส่งตัวออกไปนอกเมืองหลวงถึงสองครั้ง ครั้งแรกเพราะล่วงเกินใครบางคนเข้าให้ ส่วนอีกครั้งหนึ่งก็เพราะกระตุกหนวดคนที่ไม่ควรจะมีเรื่องด้วย
แต่คงเป็นเพราะเขาดวงแข็งกระมัง ถึงได้ผ่านพ้นทั้งหมดมาได้
เขาเป็นคนมีคุณธรรม ปูมหลังขาวสะอาด ตรงตามคุณสมบัติของคนที่ฮ่องเต้จะเรียกใช้งาน แต่แน่นอนว่าฮ่องเต้ต้องสะดุดตาเขาก่อนเป็นอันดับแรก
“ว่ากันตามตรงก็บังเอิญเหมือนกัน ตอนที่ข้าถูกส่งตัวออกนอกเมืองหลวงครั้งที่สองนั้น ได้ไปประจำอยู่ที่อำเภอเล็กๆ ในเมืองใกล้กับเขาเฟิงตู เขาได้คดีชิ้นหนึ่ง ผู้เสียหายเป็นคนในจวนองค์หญิง” เจ้ากรมสิงเล่าให้เซียวเหิงฟังบนรถม้า
เซียวเหิงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
ก่อนเขาออกจากเมืองหลวงไปก็ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเข้ามาทำงานในกรมทั้งหมด ด้วยเหตุนั้นจึงไม่สนใจติดตามความเป็นไปของกรมใด องค์หญิงซิ่นหยางเป็นผู้ตรวจการความเคลื่อนไหวในราชสำนัก เขาจึงเคยได้ยินเรื่องซุบซิบของเหล่าขุนนางบ้างเป็นครั้งคราว…อย่างเช่น รองเจ้าสำนักเจิ้งแห่งกั๋วจื่อเจียนยักยอกทรัพย์ปลอมแปลงบัญชี เป็นต้น
แต่เห็นได้ชัดว่าเจ้ากรมยุติธรรมนั้นไม่เคยมีเรื่องอื้อฉาวมาก่อน
เขาคือขุนนางน้ำดีมือสะอาด
รถม้าโคลงเคลงไปตามถนนขรุขระ ร่างของทั้งสองจึงโงนเงนไปมาอย่างเลี่ยงไม่ได้
เจ้ากรมสิงเองก็หัวสั่นหัวคลอน แต่ก็ยังเล่าต่อ “เอาเข้าจริง คนผู้นั้นเป็นแค่บ่าวตัวเล็กๆ ถูกนักเลงในหมู่บ้านข่มเหง เจ้านักเลงคนนั้นดันมีญาติพี่น้องห่างๆ อยู่เมืองหลวง เจ้ารู้หรือไม่หากเป็นคนอื่นจะทำเช่นไร”
เซียวเหิงรู้ว่าเขาไม่ได้ถามตนเองแต่อย่างใด
แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด เจ้ากรมสิงยังคงถามเองตอบเอง “เรื่องใหญ่ก็ทำให้เป็นเรื่องเล็กเสีย เรื่องเล็กก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปเสีย บางครั้งชีวิตชาวบ้านนั้นไม่มีราคาค่างวด ชีวิตของบ่าวไพร่เองก็ไม่มีค่าเช่นกัน ตอนนั้นองค์หญิงซิ่นหยางถามข้าว่า ‘ผู้พิพากษา เจ้ากล้าสืบคดีนี้หรือไม่’ ”
เซียวเหิงพอจะนึกสีหน้าขององค์หญิงซิ่นหยางในตอนนั้นออก
“ข้าถามองค์หญิง ‘หากกระหม่อมสืบแล้วเกิดเรื่องอันใดขึ้นมา องค์หญิงจะปกป้องคนในครอบครัวข้าได้หรือไม่’ องค์หญิงตอบว่า ข้าทำไม่ได้ เจ้าไม่ได้สืบเพื่อข้า แต่นั่นเป็นหน้าที่ของเจ้า เจ้าเลือกที่จะเป็นขุนนางที่ดีก็ได้ หรือจะเป็นขุนนางชั่วก็ได้เช่นนั้น สุดท้ายเจ้าย่อมต้องแบกรับผลที่ตามมา ไอ้หยา ไม่เห็นอกเห็นใจกันเสียเลย! ตอนนั้นข้าคิดเช่นนั้น เอ่อ…แต่ความจริงมาคิดดูตอนนี้องค์หญิงก็ยังเด็ดเดี่ยวเช่นเดิม นางเป็นองค์หญิงนี่นา หากนางจะออกหน้าปกป้องใครสักคนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นางส่งข้าขึ้นเขียง แถมยังไม่หาทางหนีทีไล่ให้ครอบครัวข้าอีกต่างหาก…”
“แต่ว่าลิ่วหลังเอ๋ย โลกเราก็เป็นเช่นนี้แหละหนา ตั้งแต่วันที่ข้าเลือกจะเป็นขุนนาง ข้าก็เอาชีวิตของคนในบ้านมาแขวนอยู่บนเส้นทางที่ไม่อาจคาดเดาได้ ไม่มีใครบังคับข้า ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ข้าเลือกเองทั้งสิ้น”
“คดีลุกลามใหญ่โตไปถึงเมืองหลวง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้านักเลงคนนั้นเป็นญาติห่างๆ กับจวนหลัวกั๋วกงเสียอย่างนั้น ข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด แต่สวรรค์ยังเห็นใจข้า ฝ่าบาทได้ยินข่าวคดีความนี้ พระองค์ถึงได้สั่งย้ายข้ากลับมาที่เมืองหลวง ก็นับว่าข้าได้รับการคุ้มครองแล้ว”
“นางช่วยท่านแล้ว” เซียวเหิงโพล่งขึ้น
“ว่าอย่างไรนะ” เจ้ากรมสิงมองเซียวเหิงด้วยความสงสัย
เซียวเหิงเอ่ย “องค์หญิงซิ่นหยาง นางช่วยท่านแล้ว”
เจ้ากรมสิงนิ่งไป
เซียวเหิงรวบแขนเสื้อ “ไม่อย่างนั้นฝ่าบาทจะรู้เรื่องคดีความของท่านได้อย่างไร เหตุใดจู่ๆ ถึงได้ย้ายท่านกลับมาเมืองหลวง ทั้งที่มีคดีความมากมาย”
“เอ่อ…เรื่องนั้น…”
เจ้ากรมสิงรับเรื่องสะเทือนใจกะทันหันเช่นนี้ไม่ได้ ว่ากันตามตรงเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยคิดถึงความเป็นไปได้นี้ เพียงแค่ว่าหลังจากเกิดเหตุ เขาเองก็ได้พบกับองค์หญิงซิ่นหยางหลายครั้ง แต่องค์หญิงซิ่งหยางกลับไม่แสดงท่าทีว่าต้องการคำขอบคุณจากเขาเลยแม้แต่นิด
นางไม่พูดกับเขาเลยด้วยซ้ำไป
ปิดทองหลังพระอย่างนั้นหรือ
องค์หญิงซิ่นหยางวางแผนอะไรอยู่กันแน่
อยากให้เขาเป็นขุนนางที่ดีอย่างนั้นหรือ
อยากให้เขารู้จักผิดชอบชั่วดีอย่างนั้นหรือ
ถึงได้เล่าลือกันว่าองค์หญิงซิ่นหยางนั้นปรีชารอบด้าน
เจ้ากรมสิงลูบใบหน้าหยาบกร้านของตัวเอง แม้กาลเวลาจะผ่านไปนานเพียงใด เขาก็ยังคงเป็นชายหนุ่มรูปงามประจำอำเภออยู่ดีกระมัง…
“ใต้เท้า! ถึงแล้วขอรับ!” พลขับจอดรถม้าลง
ที่เจ้ากรมสิงเล่าเรื่องเหล่านั้นให้เซียวลิ่วหลังฟังบนรถม้าก็เพราะเขาสัมผัสได้ว่าคดีนี้ไม่ใช่งานง่ายอย่างแน่นอน อำนาจที่อยู่เบื้องหลังนั้นอาจจะเหนือจินตนาการของพวกเขา เขากังวลว่าเซียวลิ่วหลังจะไม่กล้าสืบสาวลึกลงไป ถึงได้คิดเอาเรื่องของตัวเองมาเกลี้ยกล่อมเซียวเหิง ให้ตั้งปณิธานเป็นขุนนางน้ำดีที่ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจ แม้จะไม่ใครปกป้องเขา แต่ก็ต้องยืนหยัดยึดมั่นในคุณธรรม
แต่ดูท่าทางแล้วเหมือนจะไม่ได้ผล
“แค่ก แค่ก” เจ้ากรมสิงกระแอมให้โล่งคอ “ลงไปกันเถิด”
นี่คือที่อยู่ของพยานคนที่สามที่พวกเขาสืบสาวพบ
แต่น่าเสียดายที่พวกเขาต้องคว้าน้ำเหลวว
พยานคนนี้ไม่ได้กลับมาบ้านมาหลายวันแล้ว
คดีของผู้ช่วยเจ้ากรมหลี่หรือหลี่ซื่อหลังนั้นจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่าซับซ้อนก็ซับซ้อน หลี่ซื่อหลังออกจากเมืองหลวงไปเยี่ยมอนุภรรยาและลูกที่ชนบท เผอิญเจอโจรปล้นระหว่างทาง องครักษ์ที่ติดตามหลี่ซื่อหลังมาช่วยปราบโจรได้ทันเวลา หนึ่งในนั้นมีสองคนที่โต้กลับอย่างรุนแรงจนหลี่ซื่อหลังบาดเจ็บ องครักษ์จึงจำต้องฆ่าสองคนนั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ใครจะไปคิดว่าพอไปถึงศาลาว่าการของท้องที่นั้น หนึ่งในผู้ตายกลับกลายเป็นพลเมืองดีคนหนึ่ง
ครอบครัวของคนผู้นั้นมาหาถึงที่ บอกว่าหลี่ซื่อหลังทำให้ลูกชายของพวกเขาต้องตาย
ส่วนประวัติของโจรที่เหลือนั้นก็สืบได้แน่ชัดแล้ว ทว่าพยานที่เห็นเหตุการณ์ในตอนนั้นกลับไม่มีใครอยู่บ้านเลยสักคน
จากประสบการณ์ที่ทำคดีมาหลายปีของเจ้ากรมสิง นี่คือการลอบทำร้ายที่มีการวางแผนล่วงหน้า เป้าหมายนั้นไม่ใช่หลี่ซื่อหลัง แต่เป็นคดีที่อยู่ในมือของหลี่ซื่อหลัง
เซียวเหิงเป็นคนที่ไว้ใจได้ เจ้ากรมสิงจึงเอ่ยตามตรงไม่มีอ้อมค้อม “คดีหอเซียนเล่อเป็นคดีใหญ่ ทั้งนครบาลและกรมยุติธรรมต่างก็สืบคดีนี้อยู่”
เซียวเหิงพยักหน้าพลางเอ่ย “แล้วเหตุใดคนของนครบาลจึงไม่เป็นอะไรเลย”
เจ้ากรมสิงทำท่าครุ่นคิด “มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว”
นครบาลถูกซื้อไปแล้ว
เซียวเหิงเองก็เดาเช่นนั้นเหมือนกัน เขาเอ่ยสีหน้าจริงจัง “หลี่ซื่อหลังยิ่งสืบลึกลงไปเท่าไรก็ยิ่งอันตรายเท่านั้น ใต้เท้าเองก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นกัน”
หลี่ซื่อหลังแค่ทำตามคำสั่ง ทว่าอำนาจสั่งการอยู่ในมือของเจ้ากรมสิง เพราะอย่างนั้นเป้าหมายของอีกฝ่ายแท้จริงแล้วคือเจ้ากรมสิงต่างหาก
นั่นคือการคาดเดาจากเบาะแสที่มีอยู่ในมือตอนนั้น ส่วนความจริงจะเป็นอย่างที่คิดหรือไม่ก็ต้องดูหลักฐานที่สืบหาได้ต่อไปหลังจากนี้
ในเมื่อหาพยานไม่พบ เจ้ากรมสิงก็พาเซียวเหิงขึ้นรถม้าเพื่อกลับเมืองหลวง
รถม้าเพิ่งจะเคลื่อนตัวไปได้ไม่ไกล ธนูดอกหนึ่งก็ยิงทะลุเข้ามาในตัวรถของพวกเขา ปักลงบนผนังรถระหว่างกลางเซียวเหิงกับเจ้ากรมสิง!
เพราะออกแรงมากเกินไป ลูกธนูจึงแทงทะลุเข้ามา ปลายก้านลูกธนูยังคงสั่นไหว เห็นได้ชัดว่าหากลูกธนูยิงโดนใครสักคนหนึ่งในพวกเขาทั้งสองมีหวังคงตายคาที่แน่นอน!
แววตาของเจ้ากรมเย็นยะเยือกขึ้นมาในทันใด “ลอบสังหารขุนนางราชสำนักอย่างนั้นหรือ โชคดีที่ข้าเตรียมการมาก่อน!”
เขาเอ่ยจบก็คว้าแตรเขาสัตว์ออกมาก่อนจะเป่าสุดแรง
ครั้งที่หนึ่งดังขึ้น ครั้งที่สองดังขึ้น ครั้งที่สามดังขึ้น
ยอดฝีมือที่ควรจะปรากฏตัวกลับไม่เห็นแม้แต่เงา
เจ้ากรมสิงชะงักไป “เกิดอะไรขึ้น ยอดฝีมือจากยุทธภพที่ข้าใช้เงินก้อนใหญ่ซื้อตัวมาเล่า”
“ไม่มีแล้วล่ะ” เซียวเหิงเอ่ยเสียงเนิบ
“เป็นไปไม่ได้” เจ้ากรมสิงตาเบิกโพรง ก่อนธนูอีกดอกหนึ่งจะพุ่งเข้ามา คราวนี้ลูกศรปักลงบนเป้ากางเกงของเจ้ากรมสิง เจ้ากรมสิงรู้สึกเพียงว่าเจ้ากรมน้อยของเขาเย็นวาบขึ้นมา
“ลงรถ!” เซียวเหิงเอ่ย
เจ้ากรมสิงแหวกม่านหน้าต่าง ก่อนจะคว้ามือของเซียวเหิงเพื่อกระโดดออกจากรถม้าไปพร้อมกับเขา
วินาทีที่ทั้งเท้าของทั้งสองคนแตะพื้น ห่าฝนธนูระดมยิงเข้ามา จนรถม้าพรุนเป็นกระชอน
เจ้ากรมสิงแทบจะหยุดหายใจ
หากไม่ใช่เพราะกระโดดออกมาจากรถพร้อมกับเซียวเหิงได้ทันเวลา ป่านนี้พวกเขาทั้งสองคงพรุนเหมือนกัน
“ให้ตายเถอะ! ฝีมือผู้ใดกัน! อย่าให้ข้ารู้ล่ะ! ไม่อย่างนั้นข้าจะสืบจนตระกูลเจ้าล่มสลายเลยคอยดู”
พรึ่บ
ศรธนูพุ่งเข้ามา ยิงเฉียดบั้นท้ายของเจ้ากรมสิงไป
“เฮือก!”
เจ้ากรมสิงตกใจสะดุ้งโหยง คว้ามือของเซียวเหิงเอาไว้แล้วสับขาวิ่งหนีไป
ตอนแรกเซียวเหิงคิดว่าคนพวกนั้นตั้งใจเล่นงานเจ้ากรมสิง จนกระทั่งพวกเขาเข้ามาในป่า เจ้ากรมสิงสะดุดล้มกลิ้งลงเนินเขาไป แต่คนพวกนั้นกลับไม่ตามไล่ล่าเจ้ากรมสิง ซ้ำยังมุ่งมาทางเซียวเหิงเสียอย่างนั้น
เซียวเหิงถึงได้รู้ว่า ที่ยิงเจ้ากรมสิงนั้นเป็นเพราะยิงพลาด เป้าหมายของเจ้าพวกนั้นคือเขาตั้งแต่แรกแล้ว
พวกเขาไม่ใช่เพียงแค่ต้องการเตือนเจ้ากรมสิงผ่านทางคดีของหลี่ซื่อหลางเพียงเขานั้น เจ้าพวกนั้นวางฉวยโอกาสยามที่เจ้ากรมสิงพาเขาออกไปสืบคดีนอกเมืองหลวง เพื่อลอบสังหารเขาระหว่างทาง
แผนการใช้ได้
ดูท่าแล้วคดีของม่อเชียนเสวี่ยจะเป็นกับดักตั้งแต่แรกแล้ว
เซียวเหิงมองคนชุดทำทั้งห้าที่กำลังเข้ามาใกล้ตัวเอง ก่อนจะถามเสียงเยือกเย็น “เจ้านายของพวกเจ้าเป็นใครกัน”
ชายชุดดำผู้เป็นหัวหน้าเอ่ยเสียงเย้นหยัน “จะตายอยู่แล้ว หากรู้ว่าเจ้านายพวกข้าเป็นใครแล้วจะมีประโยชน์อะไร”
เซียวเหิงถามเขาเสียงเรียบ “ข้าแค่อยากจะรู้ให้แน่นชัดก่อนตาย”
ชายชุดดำผู้เป็นหัวหน้าหัวเราะเสียงเย็น “เช่นนั้นก็ได้ ข้าจะบอกเจ้า คนที่ต้องการฆ่าเจ้าคือนายน้อยของพวกเขา”
เซียวเหิงมองเขาอย่างเฉยชา “แล้วนายน้อยของพวกเจ้าเป็นใคร”