สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 415 เบื้องหลังอาการป่วย (1)
บทที่ 415 เบื้องหลังอาการป่วย (1)
กู้เจียวไม่ได้มีเรื่องอะไรต้องทำต่อ และเวลานี้ท้องฟ้าก็ยังไม่มืดนัก
ทางที่ไปตำหนักหนิงอ๋องกับสำนักฮั่นหลินเป็นทางเดียวกัน กู้เจียวเลยวางแผนว่าหลังจากตรวจร่างกายหนิงอ๋องเฟยเสร็จก็จะแวะไปรับเซียวลิ่วหลังต่อ
“ได้สิ เช่นนั้นรอข้าประเดี๋ยว ขอเก็บของก่อน” กู้เจียวเอ่ย
นางข้าหลวงยิ้มเอ่ย “ข้าเตรียมรถม้าเอาไว้แล้ว หลังจากตรวจร่างกายเสร็จ ทุกที่ที่ท่านหมอกู้ต้องการไป ข้าจะพาไปนะเจ้าคะ”
กู้เจียวส่ายหัว “เดี๋ยวข้านั่งรถม้าของโรงหมอไปเอง ไม่ลำบากพวกเจ้าจะดีกว่า”
นางข้าหลวงน้อมรับ “ตามท่านหมอสะดวกเลยเจ้าค่ะ”
กู้เจียวก้าวเท้าขึ้นรถม้าพร้อมกับตะกร้าคู่ใจ ในนั้นบรรจุกล่องยา ยาจีนโบราณบางชนิดที่ใช้กันทั่วไป รวมถึงของจำเป็นต่างๆ
แม้ตะกร้าจะใบน้อย แต่จุของได้เยอะมากทีเดียว
เสี่ยวซานจื่อเป็นคนขับรถม้าให้
และแล้วรถม้าสองคันก็เข้ามาจอดเทียบหน้าตำหนักหนิงอ๋องอย่างปลอดภัย
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เจียวได้เข้ามาเยือนตำหนักอ๋อง ครั้งก่อนที่มาส่งรุ่ยอ๋องเฟยก็ไม่ได้เข้ามาข้างใน คราวนี้นางสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อสำรวจภายในวังหลวงว่ามีลักษณะอย่างไร
ตำหนักของหนิงอ๋องมีพื้นที่ขนาดใหญ่อีกทั้งมีถนนในตำหนักเป็นของตัวเองอีกด้วย แน่นอนว่ามันเป็นเพียงถนนสายเล็กๆ ไม่ใช่ถนนการค้าอย่างถนนฉังอานหรือถนนเสวียนอู่
ทั้งสองฝั่งของถนนเล็กๆ เป็นที่อยู่อาศัยของบ่าวรับใช้และเหล่าข้าหลวงของหนิงอ๋อง
สถานะของหมอในแคว้นเจาเรียกได้ว่าไม่สูงนัก และยิ่งเป็นหมอหญิงยิ่งแล้วใหญ่ มีเหตุผลร้อยแปดพันเก้าที่หมอหญิงไม่มีคุณสมบัติที่จะผ่านทางเข้าหลัก แต่สำหรับกู้เจียวนั้นต่างออกไป แต่อย่างไรก็ตาม แทนที่จะเปิดประตูตรงกลาง พวกเขาเลือกที่จะใช้ประตูข้างแทน
ประตูใหญ่เข้าออกได้เฉพาะท่านอ๋องและพระสนมรวมถึงเชื้อพระวงศ์เท่านั้น นี่เป็นกฎของวัง
หากจวงกุ้ยเฟยอยู่ด้วยละก็พวกเขาคงเข้าประตูข้างแทน
นางข้าหลวงบอกกับกู้เจียวว่าตนมาจากตระกูลเหยา
กู้เจียวนึกในใจ นามสกุลเดียวกันกับแม่นางเหยาเลย ช่างบังเอิญเสียจริง
ภูมิทัศน์ของตำหนักหนิงอ๋องนั้นน่าพึงพอใจมากกว่าที่คิด อย่างไรก็ตาม การออกแบบรายละเอียดบางอย่าง เช่น ศาลา ทางเดินริมน้ำ นกและดอกไม้นั้นเป็นความคิดและการออกแบบของหนิงอ๋องเฟย
นางข้าหลวงเหยาพากู้เจียวมายังตำหนักของหนิงอ๋องเฟย
จำได้ว่าหนิงอ๋องเคยกล่าวไว้ว่า เขาจะยกจวนส่วนตัวให้หากต้องการ ดังนั้นกู้เจียวจึงเริ่มสงสัยเล็กน้อยว่าหนิงอ๋องจะจัดแจงให้ตนไปอยู่ตรงส่วนใดของตำหนัก
“ถึงแล้วเจ้าค่ะท่านหมอกู้” นางข้าหลวงเหยาเอ่ย
กู้เจียวพยักหน้าพลางก้าวเท้าเข้าไปยังบริเวณจวนของหนิงอ๋องเฟย
ลักษณะของจวนหนิงอ๋องเฟยมีทางเข้าสามทาง และมีขนาดใหญ่กว่าจวนอื่นๆ
ดูเหมือนจะได้รับความรักจากฮ่องเต้ไม่น้อยเลยสินะ
เมื่อกู้เจียวเดินมาถึงประตูห้องชั้นบน บ่าวที่เฝ้าประตูทำความเคารพให้นางข้าหลวงเหยาพร้อมกับเปิดม่านให้
แม่นางเหยาพากู้เจียวเดินเข้ามาด้านในห้องห้องหนึ่ง
หนิงอ๋องเฟยนอนเอนกายพิงหมอนอยู่บนที่นั่งของกุ้ยเฟย ร่างกายของนางปกคลุมด้วยผ้าห่มบางๆ พร้อมกับถือหนังสือไว้ในมือ และนางกำลังอ่านมันอย่างตั้งใจ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กู้เจียวได้เจอกับหนิงอ๋องเฟย ก่อนหน้านี้กู้เจียวเคยเห็นหนิงอ๋องเฟยในฝัน โดยเหตุการณ์ในฝันมีอยู่ว่าหนิงอ๋องเฟยนั้นถูกแมวสีขาวชนเข้ากับร่างของนางและเป็นเหตุให้นางต้องหกล้มลงไปจนแท้ง โดยผู้ที่ทำให้แมวสีขาวตัวนั้นตกใจก็คือเซียวลิ่วหลัง เลยกลายเป็นว่าเซียวลิ่วหลังมีความผิด
แต่ในความเป็นจริง แมวขาวตัวนั้นหยวนถังเป็นคนจับไว้ได้ เซียวลิ่วหลังไม่ได้ถูกแมวตัวนั้นทำให้ตกใจ อีกทั้งมันก็ไม่ได้วิ่งเข้าไปชนกับหนิงอ๋องเฟย แต่สุดท้ายหนิงอ๋องเฟยยังคงแท้งอยู่ดี
รุ่ยอ๋องเฟยบอกว่านางแท้งมาสามรอบแล้ว
จึงไม่แปลกว่าเหตุใดผิวพรรณของหนิงอ๋องเฟยถึงแย่นัก ทั้งสีหน้าของนางยังเต็มไปด้วยความเศร้าหมองอย่างชัดเจน
“อ๋องเฟยเพคะ ท่านหมอกู้มาถึงแล้วเพคะ” นางข้าหลวงเหยาประกาศ
หนิงอ๋องเฟยพอได้ยินก็เงยหน้าขึ้น มือข้างหนึ่งถือหนังสือที่อ่านได้ครึ่งเล่มแล้วเหยียดมืออีกข้างออก สาวใช้ตัวเล็กๆ ที่อยู่ข้างๆ ดูเหมือนจะเข้าใจความหมายของการกระทำนี้ และรีบหยิบที่คั่นหนังสือให้นางด้วยสองมือ
หนิงอ๋องเฟยเสียบที่คั่นหนังสือลงในหนังสือแล้วปิดมันลง ก่อนจะเงยหน้ามองกู้เจียวแล้วเอ่ย “เจ้าคือท่านหมอกู้สินะ ข้าได้ยินท่านอ๋องพูดถึงเจ้า ไทเฮาทรงเอ็นดูเจ้ามาก”
สายตาของหนิงอ๋องเฟยกวาดไปที่รอยปานบนหน้าของกู้เจียวเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น และไม่แสดงสีหน้าตกใจออกมาแม้แต่นิด
สมกับเป็นสตรีในวังที่ถูกบ่มเพาะเลี้ยงดูมาเป็นอย่างดี ไม่แสดงอาการให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกอึดอัด
แม้กู้เจียวจะเป็นหมอหญิง แต่เป็นเพราะจวงไทเฮาทำให้กู้เจียวมีสถานะที่เหนือกว่า
“นั่งลงสิ คนกันเองทั้งนั้น ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก” หนิงอ๋องเฟยเอ่ย
การเลือกใช้คำพูดของหนิงอ๋องเฟยมีความเฉพาะเจาะจงมาก ต้อนรับขับสู้อย่างดี
กู้เจียวนั่งลงข้างๆ หนิงอ๋องเฟย ถอดตะกร้าใบเล็กออกแล้ววางไว้ที่เก้าอี้ด้านข้าง
“อ๋องเฟยอ่านอะไรอยู่หรือ” กู้เจียวเอ่ยถาม
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หนิงอ๋องเฟยถึงกับคลี่ยิ้มเบาๆ “หนังสือบทกวีน่ะ เจ้าอยากอ่านไหม” พลางยื่นหนังสือให้กู้เจียว
“ข้าไม่เข้าใจพวกบทกวีหรอก ไม่ได้สนใจด้วย” กู้เจียวส่ายหัว
หนิงอ๋องเฟยคลี่ยิ้มอีกครั้ง “ข้าเองก็ไม่ได้สนใจหรอก”
“แล้วเหตุใดท่านถึงอ่านมันล่ะ” กู้เจียวถาม
หนิงอ๋องเฟยตอบเสียงเรียบ “ข้าเบื่อ ก็เลยอ่านฆ่าเวลาน่ะ”
แม้คำตอบจะเป็นอย่างนั้น แต่กู้เจียวกลับรู้สึกได้ว่านางไม่ได้ทำไปเพียงแค่เพราะฆ่าเวลา แต่เหมือนกำลังบังคับตัวเองให้ทำในสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ
“ข้าวัดชีพจรให้” กู้เจียวเอ่ยขึ้น
หนิงอ๋องเฟยยื่นมือให้
จู่ๆ บ่าวคนหนึ่งเดินเข้ามาและต้องการจะนำผ้ามาคลุมข้อมือให้หนิงอ๋องเฟย แต่กลับถูกปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก”
“เพคะ” บ่าวเดินออกไปพร้อมกับผ้า
กู้เจียวเริ่มการวัดชีพจรให้หนิงอ๋องเฟย
ทั้งห้องเงียบงัน
ชีพจรของหนิงอ๋องเฟยเป็นไปตามที่กู้เจียวคาดไว้ “ช่วงนี้หลับยากหรือไม่”
“มีบ้าง” หนิงอ๋องเฟยยิ้มตอบอย่างขมขื่น
“หลังจากเข้าห้องบรรทมแล้วใช้เวลานานเท่าไหร่อ๋องเฟยถึงจะหลับ” กู้เจียวหันไปถามนางข้าหลวงเหยา
นางข้าหลวงเหยามองไปทางหนิงอ๋องเฟย และเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ห้ามอะไร ดังนั้นนางจึงพูดตามจริง “อย่างน้อยครึ่งชั่วยามเจ้าค่ะ อย่างมากที่สุด…อาจจะนอนไม่หลับทั้งคืนเจ้าค่ะ”
“อาหารการกินล่ะ” กู้เจียวเอ่ยถามต่อ
“ไม่ค่อยดีนักเจ้าค่ะ” นางข้าหลวงเหยาตอบ “ทรงทานอะไรไม่ค่อยได้ด้วยซ้ำ พอกินเข้าไปก็ดันมีอาการย่อยยากอีกเจ้าค่ะ”
กู้เจียวส่งเสียงอืมแล้วดึงมือกลับแล้วเอ่ยกับหนิงอ๋องเฟย “ดูจากชีพจร ม้ามและกระเพาะอาหารของท่านมีความอ่อนแอ นี่ไม่ใช่โรคที่รักษายาก ท่านสามารถดีขึ้นมากหลังจากเดือนหรือสองเดือน แต่ต้องอยู่ภายใต้การรักษาอย่างระมัดระวัง ท่านเคยไปพบหมอด้วยเรื่องนี้มาแล้วใช่หรือไม่” กู้เจียวอธิบายและซักถามต่อ
หนิงอ๋องเฟยตอบ “เคยไปพบแล้ว พวกเขาก็พูดเหมือนที่เจ้าพูดนั่นแหละ ให้กินยาต่อเนื่อง”
สงสัยจะไม่ใช่แค่สภาพร่างกายเสียแล้ว คราวนี้หนักไปถึงสภาพจิตใจด้วย
กู้เจียวเอ่ยขอหนิงอ๋องเฟย “ท่านช่วยบอกให้คนอื่นๆ ออกไปก่อนได้หรือไม่”
“พวกเจ้า ออกไปก่อน” หนิงอ๋องเฟยสั่งอย่างไม่ลังเล
พอทุกคนออกไปหมดเหลือแค่กู้เจียวและหนิงอ๋องเฟยสองคนในห้อง กู้เจียวก็ได้ทำการประเมินและวินิจฉัยอาการของหนิงอ๋องเฟยอย่างครอบคลุม จากนั้นก็พบว่านางมีอาการซึมเศร้าเล็กน้อย แต่ไม่ถึงระดับที่แม่นางเหยาเป็น แต่ถ้าปล่อยไว้ตามลำพังก็อาจจะถึงขั้นรุนแรงกว่าของแม่นางเหยาได้
กู้เจียวไม่ได้เอ่ยกับหนิงอ๋องเฟยตรงๆ ว่า “อย่าคิดมาก” การพูดแบบนี้อาจทำให้เรื่องราวแย่ไปมากกว่าเดิม ถ้าคนเราคิดได้จริงๆ คงจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้หรอก การคิดมากไม่ใช่การเสแสร้ง แต่มันคืออาการของโรคชนิดหนึ่งจริงๆ
กู้เจียวเปิดกล่องยาใบเล็กออก ตั้งแต่แม่นางเหยาหายจากเป็นโรคซึมเศร้า ก็ไม่พบยาตัวนี้อีกเลย แต่จู่ๆ วันนี้ยาตัวนี้กลับโผล่ออกมาอีกครั้ง
กู้เจียวถ่ายยาลงในขวดโหลเล็กๆ แล้วยื่นให้ “รับประทานวันละเม็ด เช้าเย็น พยายามกินให้ได้ในช่วงก่อนนอน”
“นี่คือยาบำรุงม้ามหรือ” หนิงอ๋องเฟยรับยามาพลางเอ่ยถาม
“ไม่ใช่ เป็นยาที่ช่วยให้ท่านนอนหลับได้ง่ายขึ้น ส่วนยาบำรุงม้ามท่านทานยาตัวเดิมก็พอ”
หนิงอ๋องเฟยอุทาน “มันขมไป ข้าไม่อยากกินยานั้นแล้ว”
“เช่นนั้น ไว้ข้ากลับไปจะวานให้คนมาส่งยาให้ท่านก็แล้วกัน” กู้เจียวเอ่ย
ด้วยความที่เมี่ยวโส่วถังเปิดโรงผลิตยาของตัวเอง นอกจากผลิตยาแก้ปวดที่ค่ายทหารต้องการแล้ว ยังเปิดสายการผลิตยาหลายตัว รวมถึงยาสำหรับบำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร
“ยาที่ว่านั่นขมไหม” หนิงอ๋องเฟยอยากรู้ในจุดนี้
กู้เจียวตอบ “ใส่น้ำผึ้งไว้น่ะ ไม่ขมหรอก”
หนิงอ๋องเฟยถอนหายใจโล่งอก “เช่นนั้นก็ดี”
แม้แต่นสนมระดับสูงเองก็ยังกลัวการกินยาขมสินะ ความรู้นี้ทำให้กู้เจียวมองว่าหนิงอ๋องเฟยนั้นต่างจากที่คิดไว้
หลังจากนั้น กู้เจียวก็ได้บอกถึงข้อควรระวังในการใช้ชีวิต ส่วนใหญ่เป็นข้อห้ามเรื่องอาหาร และต้องออกมาอาบแดด เดินเล่น และออกกำลังกายให้มากขึ้น
“ข้าจะให้คนมาส่งยาให้ท่าน” กู้เจียวเตรียมลา
“ไม่ต้องลำบากท่านหมอหรอก ข้าจะวานคนไปรับยาเอง” หนิงอ๋องเฟยเอ่ย
“ย่อมได้” กู้เจียวไม่ปฏิเสธ
ขณะที่หนิงอ๋องเฟยเตรียมกำลังจะจ่ายค่าหมอ กู้เจียวรีบเอ่ยทัก “ท่านหนิงอ๋องเป็นคนออกให้เอง”
หนิงอ๋องเฟยถึงกับนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนหลุดหัวเราะออกมา “อ๋อ ได้สิ”
นี่เป็นครั้งแรกที่กู้เจียวได้เห็นรอยยิ้มที่แท้จริงของหนิงอ๋องเฟย เป็นเพราะเอ่ยถึงหนิงอ๋องขึ้นมาสินะถึงได้ยิ้มออกมาขนาดนี้