สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 333 โต้กลับ (1)
บทที่ 333 โต้กลับ (1)
สุดท้ายท่านเหล่าโหวก็ไม่ยอมให้กู้เหยี่ยนเป็นคนออกเงิน จากนั้นเขาจึงควักถุงเงินออกมา ขณะที่เตรียมจะจ่ายเงินให้เด็กในร้าน ด้วยความที่เขารีบหยิบเงินจากถุงเร็วไปหน่อยจึงทำให้ของบางอย่างร่วงลงมาจากถุงเงิน
กู้เหยี่ยนตาไวรีบเก็บมันขึ้นมา พบว่าเป็นเชือกถักลายผีผา ดูเหมือนจะมีอายุพอสมควร
ไม่คิดเลยว่าคนอย่างเขาจะพกของแบบนี้ติดตัวด้วย
“คนรู้ใจมอบให้รึ” กู้เหยี่ยนเอ่ยทัก
ดูก็รู้ว่าต้องเป็นสตรีมอบให้แน่ๆ แต่ไม่น่าจะใช่ฮูหยินที่เรือน เพราะเขากับฮูหยินใหญ่กู้ไม่ได้รักกันอย่างที่ทุกคนเห็น
“เฮอะ เปล่านะ อย่าพูดจาซี้เหลวไหล” ท่านเหล่าโหวคว้าเชือกถักเก็บเข้าถุงเงินเหมือนเดิม
กู้เหยี่ยนไม่เชื่อคำพูดของเขา ถามซักไซ้ต่อ “อย่างท่านยังมีคนรู้ใจด้วยอีกรึ นางอยู่ที่ไหนล่ะ”
ต้องไม่ใช่คนที่จวนแน่ๆ เพราะบรรดาอนุในจวนถูกเหล่าฮูหยินกู้จัดการจนไม่เหลือแล้ว
ท่านเหล่าโหวไม่เคยพูดถึงความรู้สึกของเขากับผู้อื่นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความขมขื่นมากมายถูกกักเก็บไว้ในใจของเขา และพูดตามตรง เขาโหยหาใครสักคนมาฟังเขาปรับทุกข์อยู่เหมือนกัน
“นางเป็นสหายคนหนึ่งของข้า ข้ากำลังหาโอกาสคืนของสิ่งนี้ให้นางอยู่”
เพื่อนอย่างนั้นรึ
เริ่มต้นเรื่องก็คุ้นหูแล้ว!
ระดับกู้เหยี่ยนที่เคยรับมือกับจี้จิ่วอาวุโสมีหรือจะไม่เข้าใจว่าเขาต้องการจะสื่อถึงอะไร!
“แล้วตอนนี้ สหายคนนั้นของท่านอยู่ที่แห่งใดเล่า” กู้เหยี่ยนถามต่อ
ท่านเหล่าโหวทำสีหน้าตกใจปนลังเล ก่อนเอ่ยตอบ “นาง…ออกบวชแล้ว”
“เพราะเหตุใดล่ะ”
“เพราะสามีนางเสียชีวิต ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แต่…” ท่านเหล่าโหวนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “บางที มันอาจจะเป็นโอกาสที่ข้าจะได้เจอเพื่อนของข้าอีกครั้งก็ได้”
ดูไม่ออกเลยว่าคนอย่างเขาจะมีผู้หญิงมาชอบด้วย
กู้เหยี่ยนไม่ได้ถามต่อถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เขากลับสนใจประโยคสุดท้าย จึงเอ่ยถามอย่างรอบคอบ “ดูเหมือนว่านางจะรักคนของนางมากเลยทีเดียว”
ท่านเหล่าโหวมองลงไปที่ฝ่ามือของเขาแล้วเอ่ย “น่าเสียดายที่เราพบกันช้าเกินไป ข้าหวังว่าเราจะได้พบกันเมื่อเราทั้งคู่ยังไม่ได้แต่งงานกับคนอื่น”
กู้เหยี่ยนพูดต่อ “แต่สามีของนางตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ และนางก็กลายเป็นแม่ชีแล้ว ท่านไม่คิดว่าหัวใจของนาง…คือ ดูไม่ออกจริงๆ หรือ ”
ท่านเหล่าโหวขมวดคิ้ว “เจ้าหมายความว่า…”
กู้เหยี่ยนเอ่ยต่อ “ข้าหมายความว่า นางอาจจะกำลังรอให้ใครมาพานางออกไปก็เป็นได้”
“พานาง…หนีอย่างนั้นรึ” ท่านเหล่าโหวตกใจจนพูดไม่ออก
กู้เหยี่ยนพยักหน้า “ก็ใช่น่ะสิ ข้าถามหน่อยนะ ที่ท่านเล่ามานั้นนางเป็นคนพูดเองใช่ไหม หรือว่านางพยายามทำให้รู้สึกว่านางมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้น”
“…อืม” ท่านเหล่าโหวพยักหน้า
กู้เหยี่ยนตบโต๊ะฉาด “อย่างนี้ก็เข้าเค้าแล้วล่ะ! นางเป็นสตรีนะ แสดงออกเพียงเท่านี้ก็สุดความสามารถของนางแล้ว จะให้นางเอ่ยปากว่าพาข้าหนีไปทีอย่างนั้นหรือ ของแบบนี้บุรุษต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อนสิ!”
ท่านเหล่าโหวตกตะลึงกับคำพูดของเขา ลืมแม้กระทั่งจะเอ็ดออกไปว่าเจ้าเพิ่งอายุได้สิบห้าปี ยังไม่ทันสิ้นกลิ่นน้ำนมด้วยซ้ำ ยังไม่นับว่าเป็นบุรุษที่แท้จริงด้วยซ้ำ
“เช่นนั้น…นั่นมันผิดศีลธรรมเกินไปแล้ว!”
เจ้าเด็กคนนี้เติบโตมาอย่างไร เหตุใดถึงได้กล้าหาญเสียยิ่งกว่าพี่ชายทั้งสองคนอีก!
กู้เหยี่ยนเอ่ย “ไม่เห็นจะผิดศีลธรรมตรงไหน ชอบเขาก็รีบคว้าเขามาสิ”
ท่านเหล่าโหวทำหน้าฉงน “แล้วถ้านางไม่ยอม…”
“ถ้านางไม่ยอม ก็หมายความว่านางไม่มีท่าน เอ้ย เขาคนนั้นอยู่ในใจ!” กู้เหยี่ยนตบไหล่ปู่ของเขาและวิเคราะห์ให้เขาตามประสบการณ์ในการอ่านหนังสือนิยายของเขา “ในเมื่อนางเป็นแม่ชีไปแล้ว ยังมีสิ่งใดให้ข้องใจอีกเล่า หากนางไม่ต้องการหนีไป ก็มีความจริงเพียงข้อเดียว…นางไม่ชอบท่าน เอ้ย เพื่อนของท่าน และกำลังหลอกความรู้สึกของเพื่อนของท่าน”
…
กู้เจียวยุ่งกับงานที่โรงหมอตลอดเช้า ในที่สุดก็มีเวลาว่างเล็กน้อยในตอนบ่าย น้อยนักที่นางจะไม่ง่วนกับการประดิษฐ์ดินปืน แต่ด้วยความเหนื่อยล้า จึงขอเอนกายลงบนเก้าอี้หวานเสียหน่อย
หลี่หวานหว่านจากบ้านใกล้เรือนเคียงกำลังดีดฉิน
นางชินกับการที่มาฝึกเล่นเพลงตรงนี้ทุกวัน เพียงแต่นางไม่รู้ว่ากู้เจียวเองก็อยู่อีกฝั่งและได้ยินเสียงเพลงนั้นทุกวัน
ฝีมือของหลี่หวานหว่านพัฒนาขึ้นมากเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่วันนี้ ไม่รู้ว่าอะไรมีบางอย่างอยู่ในใจหรือไม่ จึงเล่นอย่างเหม่อลอย
“เจ้าเล่นผิดอีกแล้วนะ” กู้เจียวเอ่ยเบาๆ
“อ๋า” หลี่หวานหว่านหน้าหงอ นางไม่รู้ว่าวันนี้กู้เจียวอยู่ด้วย เพราะนางก็ไม่ได้ยินเสียงของกู้เจียวมาหลายวันแล้ว
หลี่หวานหว่านรีบตั้งสติ “ข้า ข้าจะลองใหม่”
แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิม
ความตื่นเต้นของหลี่หวานหว่านทำให้ทั้งมือเต็มไปด้วยเหงื่อชุ่ม
ช่างน่าแปลกที่อีกฝ่ายไม่ใช่อาจารย์เสียหน่อย แต่นางกลับประหม่ายิ่งกว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าจารย์เสียอีก
“ขอโทษที ข้าควรจะมีสมาธิมากกว่านี้…” หลี่หวานหว่านกัดริมฝีปากแล้วพูดเสียงเบา “เดือนหน้าข้าอาจจะมาที่นี่ไม่ได้… เพราะข้า… กำลังจะแต่งงาน…”
อันที่จริงอายุของหลี่หวานหว่านยังไม่มากนัก เพิ่งจะอายุได้สิบหกปีเท่านั้น แต่รัชสมัยนี้ไม่เหมือนรัชสมัยก่อน ผู้หญิงที่แต่งงานตอนอายุสิบแปดหรือสิบเก้าก็ไม่ถูกนินทา
แต่ก็แล้วแต่กรณีอีกต่างหาก หากเป็นตระกูลร่ำรวยก็มีเงินจะเลี้ยงลูกสาวต่อไป แต่หากเป็นลูกสาวตระกูลยากแค้นก็ย่อมต้องออกเรือนโดยเร็ว
พอได้ยินว่าหญิงสาวตามชนบทมักแต่งงานกันเร็ว มานึกดูแล้วตนเองก็นับว่าโชคดีอยู่เหมือนกัน อย่างน้อยตัวเองตอนนี้ก็อายุสิบหก ทันเวลาเข้าสำนักบัณฑิตสตรีครึ่งปี และเพราะสำนักบัณฑิตสตรี ทำให้ได้รู้จักหญิงสาวมากหน้าหลายตาได้คำแนะนำมากมายจากคนเพศเดียวกัน
กู้เจียว “อ๋อ”
จากนี้ไปคงไม่มีคนมาดีดฉินให้นางฟังแล้วสินะ
เมื่อไหร่เสี่ยวเจียงหลีจะดีดฉินเป็นเสียทีนะ
“หลายวันมานี้ ข้าอยากบอกลาท่านมาก และอยากขอบคุณท่านด้วย ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ข้าได้รับในสำนักบัณฑิตสตรีคือการได้รู้จักท่าน เดิมทีปลายปีนี้ บ้านข้าจะให้ข้าลาออกจากสำนักแล้ว แต่เพราะบทเพลงที่แม่นางช่วยปรับแต่งให้ข้า ทำให้ปรมาจารย์เซี่ยเห็นแววในตัวข้า ครอบครัวข้าจึงยอมให้ข้าเรียนหนังสือต่ออีกครึ่งปี”
หลี่หวานหว่านเอ่ย ดวงแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อ “จะว่าไปแล้ว การแต่งงานครั้งนี้ต้องขอบคุณท่านด้วย เพราะว่าข้าเล่นเพลงออกมาได้ดี ทำให้ท่านชายของตระกูลหนึ่งมาได้ยินเพลงของเข้า เขาจึงมาขอข้าแต่งงาน”
แม้กู้เจียวจะไม่เห็นสีหน้าของนาง แต่จากน้ำเสียงที่ได้ยินก็เดาได้ไม่ยากว่านางนั้นเฝ้าฝันถึงการแต่งงานมากเพียงใด ดูท่าทางแล้วนางเองก็มีใจให้กับท่านชายผู้นั้น
“แม่นาง…ข้าขอมอบของขวัญชิ้นหนึ่งให้ท่านได้หรือไม่ ท่านสอนอะไรต่อมิอะไรมากมายให้แก่ข้ามากมาย หากข้าไปโดยไม่ตอบแทนอะไรท่านเลย ข้าคงไม่สบายใจเป็นอย่างมาก โปรดท่านรับของขวัญจากข้าด้วย ไม่ใช่ของมีค่ามากมายนัก มันคือถุงยาเล็กๆ โปรดท่านรับไว้ด้วย”
“ได้สิ” กู้เจียวขานรับ
หลี่หวานหว่านใจดี หยิบถุงยานางเย็บมาหลายคืนออกจากแขนเสื้อ เพราะเกรงว่าโยนถุงข้ามกำแพงไม่พ้น นางจึงใส่อินทผลัมสองสามผล
“แม่นาง รับนะ!”
หลี่หวานหว่านโยนถุงยานั้นข้ามกำแพง
กู้เจียวรับของมาด้วยมือข้างเดียว “ขอบใจเจ้ามาก”
หลี่หวานหวานยิ้มอย่างร่าเริง “ข้ายินดี! ถ้าเช่นนั้น ข้าขอตัวก่อนล่ะ! ข้าเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน ถ้าเป็นไปได้ ข้าจะพยายามเล่นเพลงให้ท่านฟังอีกสักสองสามเพลง แต่ถ้าวันไหนข้าไม่มาก็แปลว่า…ข้าไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ภายในใจของนางก็เริ่มรู้สึกเศร้าหมองขึ้นมา
ช่างน่าเสียดายที่จะไม่ได้เจอแม่นางอีก
คนอย่างนางที่เป็นทั้งเพื่อนเป็นทั้งครู จะหาที่ไหนได้อีก
หลี่หวานหว่านเก็บกู่ฉินลงกล่อง ก่อนจะเตรียมเดินออกไป
ตุบ!
ทันใดนั้นถุงผ้าประหลาดตกลงมากระทบบนกล่องกู่ฉิน
“แม่นาง” หลี่หวานหว่านทำหน้าสงสัย
“ของขวัญแต่งงานของเจ้า” กู้เจียวเอ่ย
หลีหวานหว่านฉีกยิ้มกว้างราวกับเด็กน้อยอารมณ์ดี
“แม่นางกู้ แม่นางกู้! มีคนเชิญท่านออกไปรักษา บอกว่ามีเหตุด่วนเหตุร้าย!” เสี่ยวซานจื่อวิ่งหน้าตื่นมาทางกู้เจียว
“ด่วนแค่ไหนรึ” กู้เจียวเอ่ยถาม
เสี่ยวซานจื่อเอ่ยตอบเสียงสั่น “มือ…มือขาดขอรับ! โดนฟันขาด เขาเป็นช่างไม้ขอรับ!”
แน่นอนว่านี่คือการผ่าตัดใหญ่ กู้เจียวต้องไปรักษาด้วยตัวเอง
“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” กู้เจียวสะพายตะกร้าคู่ใจ ก่อนจะให้เสี่ยวซานจื่อนำขึ้นรถไปยังเรือนที่ตั้งอยู่บนถนนชิงหลิ่ว
ระหว่างทาง เสี่ยวซานจื่อเริ่มรู้สึกไม่ชอบมาพากล “เอ๊ะ นี่มันไม่ใช่ทางไปถนนชิงหลิ่วนี่นา!”
ชายที่เป็นสารถีเอ่ยตอบโดยไม่เหลียวกลับมามองหน้าแม้แต่นิด “ตอนที่ข้ามา อีกฝั่งถนนกำลังทำทางอยู่ พวกเราต้องอ้อมมาอีกทาง”
“เกิดอะไรขึ้น ไปผิดทางหรือ” กู้เจียวเอ่ยถามเบาๆ
“อ้อมไปนิดนึงน่ะขอรับ” เสี่ยวซานจื่อบ่นอุบอิบ
กู้เจียวเปิดม่านออกเพื่อดูรอบๆ
ไม่ใช่ทุกถนนในเมืองหลวงที่จะพลุกพล่าน สถานที่บางจุดก็ห่างไกลและบางแห่งก็รกร้างมาก
พวกเขามาอยู่ตรงถนนเก่าแก่ที่มีคนเดินไปมาบางตา มีร้านค้าไม่กี่แห่ง ข้างหน้าเป็นถนนที่มีทุ่งข้าวสาลีขนาบสองข้างทาง
ใช่แล้ว เมื่อหลวงเองก็มีไร่นาเช่นกัน เพียงแต่จะห่างไกลออกไปก็เท่านั้น
“เหมาะแก่การดักจี้ปล้นโดยแท้…”
นี่คือสัญชาตญาณที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เป็นนักฆ่าเมื่อชาติก่อน พอเห็นสถานที่แบบนี้ก็มันจะคาดคะเนเหมาะแก่การซุ่มโจมตีหรือไม่
ทันทีที่ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัวของกู้เจียว
แปลกๆ แล้วสิ
มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
สัญชาติญาณนักฆ่ามันฟ้อง