สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 168.2 สองผัวเมียรังแกพ่อ (2)
“ท่านโหว!” ฉังจิ่งกลับมาถึงจวนโหว
“ทำไมถึงได้นานเพียงนี้ ช่วยคนแค่นี้ยากนักหรือ” เซวียนผิงโหวกำลังเล่นหมากกระดานกับพ่อบ้านหลิว
พ่อบ้านหลิวลงหมากไช่ ส่วนเขาคนเดียวลงหมากเหรินถึงสองตัว
ฉังจิ่งเอ่ย “ช่วยคนไม่ยาก แต่ถามว่าเป็นใครนั้นยากขอรับ”
คนสี่ห้าคนที่ช่วยชีวิตออกมานั้นหนีหายกันไปหมด เหล่าเจ้าหน้าที่ทางการอยากจะลงบันทึกปากคำเสียหน่อยก็ไม่สำเร็จ
เพียงแต่เจ้าหน้าที่ทางการก็คือเจ้าหน้าที่ทางการ แต่ฉังจิ่งนั้นคือฉังจิ่ง
มีชาวเมืองที่เข้ามามุงดูเผอิญเห็นเซียวลิ่วหลัง เขาเป็นพ่อค้าขายไข่ต้มใบชาอยู่ฝั่งตรงข้ามกั๋วจื่อเจียน
“เป็นบัณฑิตของกั๋วจื่อเจียน” ฉังจิ่งเอ่ย
“แล้วชื่อเล่า” เซวียนผิงโหว
“สืบไม่ได้ขอรับ” ฉังจิ่งส่ายหน้า
คนขายไข่ต้มใบชาแค่เคยเจอเซียวลิ่วหลัง แต่ไม่เคยพูดคุยกับเซียวลิ่วหลัง
ทว่าพ่อบ้านหลิวกลับขมวดคิ้วราวกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
บัณฑิตของกั๋วจื่อเจียนอย่างนั้นหรือ
คงไม่ใช่ท่านชายน้อยของตระกูลตนหรอกกระมัง
ไม่ ไม่ ไม่ เป็นไปไม่ได้ แบบนี้มันกลั่นแกล้งพ่อตัวเองชัดๆ !
ต้องเป็นคนอื่นแน่นอน!
หลังจากนั้นสองวันกู้เจียวก็พักฟื้นอยู่ที่เรือนตลอด
วันปีใหม่ใกล้เข้ามาถึงแล้ว ไม่ใช่แค่สำนักบัณฑิตและกั๋วจื่อเจียนที่ปิดเรียน แต่ร้านรวงริมถนนต่างพากันปิดร้าน วันก่อนปีใหม่ ศาลาว่าการแต่ละแห่งและกรมกองของทางการล้วนแต่หยุดฉลองปีใหม่
ท่านโหวกู้ไปยังหอสมุดของผู้บังคับบัญชาระดับสูงอย่างชื่นมื่น เพื่อรอรับผลประเมินราชการประจำปีของตน
“ส่งของกำนัลชิ้นใหญ่เสียขนาดนั้น อย่างไรเสียก็ต้องได้ระดับยอดเยี่ยมแล้วกระมัง” ท่านโหวกู้เดินไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
จ้าวเซี่ยงซูโยนเอกสารให้เขาตรงหน้าด้วยสีหน้าเย็นชา
เขาหยิบขึ้นมาแล้วกวาดตามอง ก่อนจะสงสัยว่าตัวเองตาฝาด จึงตั้งใจอ่านอีกครั้ง พลางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก “ใต้เท้าจ้าว ท่านผิดพลาดอะไรไปหรือเปล่า เอาคะแนนของคนอื่นมาเป็นของข้าหรือเปล่า”
เขามอบของกำนัลราคาแพงระยับ แต่กลับได้ระดับแย่อย่างนั้นหรือ
หากถูกส่งไปให้ฮ่องเต้พิจารณา มีหวังคงโดนด่ายาวเหยียดเป็นแน่!
สายตาของจ้าวเซี่ยงซูเย็นชายิ่งนัก หากไม่เห็นแก่ท่านเหล่าโหว ยามนี้เขาคงสำเร็จโทษเจ้าหมอนี่เสียตรงนี้แล้ว!
กล้าดีอย่างไรถึงได้ยุงยงให้ลูกสาวตัวเองทำร้ายลูกชายเขา
สามหาวนัก!
ท่านโหวกู้มึนงงไปหมด “ข้าล่วงเกินใต้เท้าเข้าแล้วหรืออย่างไร”
จ้าวเซี่ยงซูคิดในใจ ‘เหอะ เจ้าไม่ได้ล่วงเกินข้า แต่ลูกสาวเจ้าอัดลูกชายเขาจนแทบจะไปอยู่กับบรรพบุรุษแล้ว’
ท่านโหวกู้ไม่รู้เลยแม้แต่นิดว่าตัวเองต้องมาซวยเพราะกู้เจียวอีกแล้ว ทั้งยังนึกว่าตนให้ของกำนัลไม่มากพออีกต่างหาก “ใต้เท้าจ้าว มีเรื่องอันใดพวกเราค่อยพูดค่อยจากันก็ได้นี่ขอรับ!”
“ค่อยพูดค่อยจาอะไรอีก!” จ้าวเซี่ยงซูสบถออกมาในทันใด ไล่ตะเพิดท่านโหวกู้ออกไปในทันที
ท่านโหวกู้กำผลประเมินระดับแย่ที่เคยได้รับครั้งแรกในชีวิตการเป็นขุนนาง ทั้งเจ็บใจทั้งรู้สึกแย่!
อีกฟากหนึ่ง เซวียนผิงโหวก็เพิ่งได้เผชิญกับเรื่องท้าทายเรื่องแรกหลังจากกับมาถึงเมืองหลวง
ผู้ใดต่างก็รู้ทั้งนั้นว่าค้าเกลือนั้นแม้จะยากลำบากแต่ก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ เช่นเดียวกับการทำเหมืองแร่
ลูกน้องของเซวียนผิงโหวได้ภูเขาเกลือลูกหนึ่งมาอย่างยากลำบาก กลายเป็นว่าพอใกล้ถึงช่วงเก็บผลผลิตกลับถูกคนร้องเรียน ฟ้องร้องขุนนางของเซวียนผิงโหวว่าประพฤติตนไม่เหมาะสม กลั่นแกล้งชาวบ้านในท้องที่ ข่มเหงภรรยาชาวบ้าน
ด้วยหลักฐานมัดตัว ฮ่องเต้จึงสั่งถอดตำแหน่งของขุนนางชั่วผู้นั้น
ขุนนางผู้นั้นมีเซียวผิงโหวเป็นผู้แนะนำ ราชสำนักสมัยนี้ใช้มาตรการรับผิดชอบร่วม ขุนนางที่ได้รับคำแนะนำมาทำผิด ผู้ที่แนะนำก็ต้องได้รับโทษด้วยเช่นกัน
ลงโทษอย่างไรน่ะหรือ
คงไม่เพียงแค่ตำหนิติเตียนคำสองคำแน่นอน
ด้วยเหตุนั้นฮ่องเต้จึงเพิกถอนสิทธิ์เก็บผลผลิตในภูเขาแร่ของเขา แล้วมอบให้กับผู้อื่น
เซวียนผิงโหวกัดฟันกรอด เจ็บใจชะมัด!
หลังจากการประชุมราชสำนักจบลง เซวียนผิงโหวก็เอ่ยรั้งชายชราตรงหน้าไว้ “ราชครูจวง เป็นฝีมือท่านหรือ”
ราชครูจวงหันกลับไป ก่อนจะมองเขาด้วยสายตาเย็นชาพลางเอ่ยเย้ยหยัน “อย่าคิดว่าหน้าต่างไม่มีหูประตูไม่มีช่อง อีกอย่างบนแผ่นดินนี้มีเพียงข้าคนเดียวหรือที่ชังน้ำหน้าท่านโหวเซียว ท่านโหวเซียวกระตุกหนวดคนอื่นไปทั่ว กลับไปทบทวนตนเองไม่ดีกว่าหรือ”
สองมือของเซวียนผิงโหวสอดอยู่ในถุงอุ่นมือ “ทำแล้วเหตุใดไม่กล้ายอมรับเล่าขอรับ ข้านั้นดูแคลนคนคงแก่เรียนที่วันๆ เอาแต่ท่องตำราอย่างพวกท่านเป็นที่สุด มีปัญญาทำแต่กลับไม่มีปัญญารับ”
“เซวียนผิงโหว!” ราชครูจวงเหงื่อผุดซึมไปทั่วร่างเพราะคำพูดเหยียดหยามสกปรกที่ไม่อาจหาคำใดมาบรรยายได้ “ที่นี่คือวังหลวง คือตำหนักทอง ระวังคำพูดของท่านด้วย!”
เซวียนผิงโหวเหล่ตามองเขาอย่างไม่แยแส ก่อนจะหัวเราะเสียงเย็นแล้วเดินออกไป
เซวียนผิงโหวขึ้นมานั่งบนรถม้า “เกิดอะไรขึ้น ข้าเพิ่งจะกลับมา เขาก็รีบร้อนเล่นงานข้าแล้วหรือ”
องครักษ์คนสนิทเอ่ย “ดูเหมือนว่า…จะเป็นเพราะเรื่องของรองเจิ้งเมื่อไม่นานมานี้ เดิมทีรองเจิ้งเกือบจะได้เป็นจี้จิ่วแห่งกั๋วจื่อเจียนแล้ว แต่จู่ๆ ก็มีข่าวแพร่ออกมาว่าเขาใช้อำนาจในทางมิชอบยามอยู่ที่กั๋วจื่อเจียน ไม่เคารพในหน้าที่การงานของตน ทั้งยังมีสมุดบัญชีทุจริตเมื่อหลายปีก่อนของกั๋วจื่อเจียนถูกแพร่ออกไป สุดท้ายก็รู้ถึงหูฝ่าบาทเข้า ฝ่าบาทจึงยกเลิกเรื่องแต่งตั้งจี้จิ่วแห่งกั๋วจื่อเจียนโดยทันที”
เซวียนผิงโหวหรี่ตา “เพราะอย่างนั้นเขาจึงคิดว่าเป็นฝีมือข้าอย่างนั้นรึ”
องครักษ์คนสนิทนิ่งเงียบ
“คนอย่างข้าน่ะหรือจะไปรังแกคนตำแหน่งต่ำต้อยเช่นนั้น” เซวียนผิงโหวดึงมือออกมาจากถุงอุ่นมือ แล้วหยิบของว่างขึ้นมาหนึ่งชิ้น “ฉังจิ่ง ข้าถูกคนรังแกเสียแล้วล่ะ”
ฉังจิ่งที่อยู่ด้านนอกรถม้าเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปฆ่าเขา!”
เซวียนผิงโหวโยนของว่างกลับลงใส่จาน “เหลวไหล!”
ฉังจิ่งน้อยใจ
เซวียนผิงโหวเบาน้ำเสียงลง ก่อนเอ่ยกับเขาราวกับกล่อมเด็กน้อย “อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องไปสืบเสียก่อนว่าคนผู้นั้นเป็นใคร ใครกันกล้าดีมากลั่นแกล้งข้า”
“ขอรับ” ฉังจิ่งออกไปสืบในทันใด
ผลปรากฏว่าคนที่น่าสงสัยที่สุดคือบัณฑิตคนหนึ่งของกั๋วจื่อเจียน
เซวียนผิงโหวโมโห “เหตุใดถึงเป็นกั๋วจื่อเจียนอีกแล้ว ข้าบาดหมางกับกั๋วจื่อเจียนตั้งแต่เมื่อใด”
“อันที่จริง…” พ่อบ้านหลิวที่อยู่ด้านข้างกระแอมขึ้น “มีเรื่องหนึ่งที่ข้าปิดบังท่านมาตลอด”
“เรื่องอะไร” เซวียนผิวโหวถาม
พ่อบ้านหลิว “ท่านชายที่ไม่อยากรู้จักท่านคนนั้น ก็เป็นบัณฑิตของกั๋วจื่อเจียนเช่นกัน”
เซวียนผิงโหว
…
ในวันขึ้นปีใหม่ กู้เจียวตื่นแต่เช้าตรู่
ยาภายในกล่องยาใบน้อยออกฤทธิ์ได้ผลเป็นอย่างดี ภายในเวลาสั้นๆ เพียงแค่สองวัน แผลถลอกและแผลกดทับตามเนื้อตัวของนางก็แทบจะมองไม่เห็นแล้ว นางสามารถออกมาขยับตัวยืดเส้นยืดสายได้เหมือนเลย
นี่เป็นการฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวงครั้งแรกของพวกเขา แล้วก็เป็นวันเกิดของเซียวลิ่วหลังและเสี่ยวจิ้งคงด้วย
นางจึงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
นางเดินไปที่หน้าเรือนแล้วเลือกไม้ไผ่ที่ทั้งหนาทั้งอวบมาสองลำ ตัดออกมาทำเป็นประทัดไม้ไผ่
ในยุคสมัยนี้ยังไม่มีดินปืน ประทัดไม้ไผ่ที่พูดถึง ความจริงแล้วคือการนำไม้ไผ่โยนใส่กองไฟให้เผาไหม้เพียงเท่านั้น ไม้ไผ่จะส่งเสียงเป๊าะแป๊ะออกมา ครึกครื้นดีไม่เบา
หลังจากทำประดับไม้ไผ่เป็นที่เรียบร้อย นางก็เตรียมทำอาหาร
ภายในตู้กับข้าวมีเกี๊ยวที่จี้จิ่วอาวุโสห่อไว้เมื่อคืนวาน มีไส้เนื้อแพะ ไส้ผักกาดขาวหมูสับ แล้วก็มีไส้กุ้ยช่ายและข้าวโพด
นางต้มเกี๊ยวอย่างละนิดอย่างละหน่อย ส่วนของเสี่ยวจิ้งคงนั้นมีไส้ผักดองเนื้อเจ
คนในเรือนพากันทยอยตื่นขึ้นมา
เสี่ยวจิ้งคงมาหากู้เจียวที่ครัวเป็นสิ่งแรก
“เจียวเจียว” เสี่ยวจิ้งคงกอดขานางไว้ ศีรษะน้อยๆ ถูไถคลอเคลียหน้าท้องนุ่มของนางไปมา “ท่านย่าบอกว่าเจ้าต้องพักฟื้นมิใช่หรือ เจ้าห้ามทำงาน!”
“ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ไม่เชื่อเจ้าก็ดูสิ” กู้เจียวถลกแขนเสื้อขึ้น ให้เขาดูข้อมือที่เคยบาดเจ็บ
เสี่ยวจิ้งคงมองอย่างตั้งอกตั้งใจ เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่รอยบาดแผลจึงพยักหน้ารัวด้วยความดีใจ!
มุมปากกู้เจียวยกยิ้ม “ไปเรียกท่านปู่มากินเกี๊ยวสิ”
“ได้เลยเจียวเจียว!”
ไม่นานเฝิงหลินและหลินเฉิงเย่ก็มาถึง
นี่ก็เป็นปีแรกที่พวกเขาได้ฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวงเช่นกัน รู้สึกแปลกที่อยู่บ้าง แต่โชคดีที่กู้เจียวเรียกพวกเขามาด้วย
ทั้งสองคนเดินเข้าเรือนมา ก็เหมือนได้กลับมาหาครอบครัวตนเองมิปาน รู้สึกผ่อนคลายยิ่งนัก
เซียวลิ่วหลังได้ยินเสียงของทั้งสอง ขณะกำลังจะออกมาทักทายพวกเขา เฝิงหลิงก็เดินโฉบผ่านหน้าเขาไปเสียอย่างนั้น “เจียวเหนียง! ข้ามาแล้ว”
หลินเฉิงเย่ “ข้าก็มาแล้วเช่นกัน”
เซียวลิ่วหลังที่ถูกทั้งสองคนเมิน “…”