สามีข้าคือขุนนางใหญ่ - บทที่ 15 หักหน้า
ที่กู้ต้าซุ่นเรียนหนังสือเก่งได้ดิบได้ดี นอกจากเป็นเพราะไหวพริบอันดีของเขาแล้ว สำคัญที่สุดคือ
ความขยันหมั่นเพียร
กู้ต้าซุ่นตื่นก่อนแม่นางโจวและเย่ว์เอ๋อ เพื่อมาทบทวนหนังสือ พอได้ยินเสียงตะโกนเรียกของบิดา ก็ปิดหนังสือลงแล้วเดินออกมา “มีเรื่องอันใดอะไรหรือท่านพ่อ”
พอเอ่ยจบก็หันไปเห็นบุรุษแปลกหน้าตรงหน้าประตูพอดี
เขารู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตากับบุรุษวัยกลางคนที่มาเยือนนี้อยู่ไม่น้อย แต่กลับนึกไม่ออกว่าเคยพบเห็นที่ไหน
แต่ที่ยืนยันได้ก็คือไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน ไม่รู้ว่าถ่อมาถึงนี่ด้วยเหตุผลอันใดกัน
“ท่านพ่อ เมื่อครู่เรียกข้ามีเรื่องอะไรหรือ ข้ากำลังอ่านหนังสืออยู่เลยได้ยินไม่ชัด” กู้ต้าซุ่นหันไปถามผู้เป็นพ่อ
กู้ฉังไห่ผายมือไปทางบุรุษวัยกลางคนแล้วพ่นหัวเราะ “ท่านผู้นี้เป็นผู้ดูแลจากสำนักบัณฑิตเทียนเซียง
เขาจะพาเจ้าไปเรียนหนังสือที่นั่น!”
“เรียนหนังสือรึ” กู้ต้าซุ่นเมื่อได้ฟังก็พลันทำหน้าฉงนเหมือนกันกับกู้ฉังไห่ ก็ในเมื่อสำนักบัณฑิตประกาศออกมาแล้ว หลังสอบเสร็จสามวันผลสอบถึงจะออก จากนั้นให้เวลาเจ็ดวันในการเข้าไปดูคะแนนตรงประตูวันออกของสำนัก
นี่ก็ยังไม่พ้นเจ็ดวันเลย เหลืออีกตั้งสามวัน ไฉนถึงเร็วกว่ากำหนด ซ้ำยังมารับถึงที่อีกด้วย
บุรุษวัยกลางคนเมื่อได้เห็นดังนั้นก็พลันหัวเราะ พลางเอ่ยปัด “ที่แท้ท่านยังมีบุตรชายอีกคนที่เป็นผู้เข้าสอบเหมือนกัน กระนั้นแล้ว ข้าคงต้องแจ้งให้ทราบว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด หนังสือเชิญในมือของข้ามิได้มีชื่อของผู้สอบท่านนี้
แต่เป็นท่านชายกู้อีกคนขอรับ”
กู้ฉังไห่ทำหน้าคิดไม่ตก “แต่ที่นี่ก็มีแต่ต้าซุ่นเท่านั้นที่เข้าสอบนะขอรับ”
บุรุษแปลกหน้ายิ้มให้อย่างสุภาพ “เมื่อครู่ข้าคงอธิบายได้ไม่ชัดเจนพอ เช่นนั้นขออนุญาตถามว่า
ท่านชายกู้เสี่ยวซุ่นอยู่ไหมขอรับ”
สองพ่อลูกทำหน้าตะลึงงึงงัน
กู้ฉังไห่ที่เพิ่งจะได้สติก็รีบเอ่ยตอบ “ท่าน ท่าน…ต้องเข้าใจอะไรผิดแน่เลยขอรับ กู้เสี่ยวซุ่นมิได้เข้าสอบนะขอรับ”
แหงละ คนอย่างกู้เสี่ยวซุ่นน่ะมันทั้งเกินเยียวยา! เหลวไหล! ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน คนอย่างเขาไม่มีวันได้ไปแตะที่นั่นหรอก!
ถึงต่อให้ไปสอบก็งคงสอบไม่ผ่านแน่นอน!
บุรุษวัยกลางคนยิ้มอ่อนเอื่อยๆ ให้พลางเอ่ย “ไม่น่าจะเข้าใจผิดนะขอรับ เป็นท่านชายกู้เสี่ยวซุ่นนี่แหละ
นายใหญ่เขียนจดหมายแนะนำชื่อเขาด้วยตัวท่านเอง ให้กู้เสี่ยวซุ่นเข้าเรียนโดยไม่ต้องสอบขอรับ”
กู้ฉังลู่ที่เพิ่งตื่นนอน พอได้ยินคนเอ่ยถึงกู้เสี่ยวซุ่นก็รีบเดินเข้ามาถาม “เสี่ยวซุ่นไปก่อเรื่องไว้อีกแล้วรึ เจ้าเด็กบ้า!เดี๋ยวข้าจะไปสั่งสอนมันเอง!”
กู้ฉังลู่ที่สภาพเพิ่งตื่นนอนแลดูโทรมนัก แต่ปฏิกิริยาของบุรุษจากสำนักบัณฑิตยังคงยิ้มแย้มและสุภาพเช่นเคย “เรื่องเป็นมาเช่นนี้ขอรับ นายใหญ่ของพวกเราขึ้นไปบนเขาแล้วไม่ทันระวังเลยหกล้ม โชคดีที่ท่านชายกู้เสี่ยวซุ่น
ช่วยไว้ได้ทัน ดังนั้น ก็ตามนี้นะขอรับ อย่างไรขอความกรุณาท่านทั้งสองช่วยนำหนังสือตอบรับเข้าเรียนให้แก่
ท่านชายกู้เสี่ยวซุ่นด้วยนะขอรับ อีกสี่วันจะถึงวันเข้าเรียนขอรับ”
“ข้าแบกภาระสองคนไม่ไหวหรอก!” จู่ๆ กู้ฉังไห่ก็โพล่งขึ้นมา
ส่วนกู้ฉังลู่ยังคงมึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า
บุรุษจากสำนักหันไปชำเลืองที่กู้ต้าซุ่น จากนั้นเลื่อนมาที่กู้ฉังไห่ จู่ๆ ใบหน้ายิ้มแย้มก็เขาก็หายไป
“หนังสือนี้ถูกเขียนไว้แล้ว ระบุว่าไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน อีกทั้งพวกเราได้เตรียมตำราและเครื่องแบบไว้แล้ว
โปรดท่านช่วยมอบให้ท่านชายกู้เสี่ยวซุ่นด้วยขอรับ”
แม้ทั้งบิดาและท่านลุงรองจะไม่เอะใจอะไร แต่กู้ต้าซุ่นสังเกตว่าบุรุษผู้นี้ใช้คำว่า ’ผู้เข้าสอบ’ แต่กลับเรียกกู้เสี่ยวซุ่นว่า ’ท่านชายกู้’
มิหนำซ้ำ ขนาดว่าเขาสอบได้ที่สอง บุรุษจากสำนักเองยังไม่รู้เลยว่านี่เป็นบ้านของเขา
บัดนี้สีหน้าของกู้ต้าซุ่นเริ่มไม่สู้ดีนัก
เขากะว่าจะถามไถ่ให้มากกว่านี้เสียหน่อยว่าทั้งบุรุษจากสำนักและนายท่านที่เอ่ยถึงนั้นเป็นใครมาจากไหน
แต่บุรุษกลับยื่นกล่องสีแดงให้แก่กู้ฉังลู่ จากนั้นก็รีบหันหลังขึ้นรถม้าไป
กู้ฉังลู่ยังตามเหตุการณ์ไม่ทัน “พี่ใหญ่ บุรุษผู้นั้น…เขาบอกว่า…เสี่ยวซุ่นเองก็เข้าเรียนหนังสือได้แล้วรึ”
เวลามื้อเช้า ทั้งเรือนได้รับรู้ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเช้า
“เจ้าไปบนเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน แล้วไปช่วยใครไว้ แล้วไม่เห็นมาบอกคนในเรือนเลย” แม่นางหลิวเอ่ยถามชุดใหญ่
“ข้า…ข้าจะไปรู้ไหมเล่า ช่วยคนเหรอ…คงงั้นมั้ง” ในเมื่อพี่สาวตนไม่ยอมให้ปริปากเรื่องนี้กับใคร เสี่ยวซุ่นจึงต้องมาแบกรับกรรม แต่ใครจะไปรู้เล่าว่าเรื่องราวมันจะเลยเถิดมาถึงขั้นที่จะให้เขาเข้าเรียนหนังสือ เขาทำได้เสียที่ไหนล่ะ
“นี่ ในเมื่อไม่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนแล้ว ก็ให้เสี่ยวซุ่นเขาไปเถิด ดีกว่าปล่อยไปสร้างความเดือดร้อนข้างนอก”
กู้ฉังลู่เอ่ย
“ถ้าเขาไปแล้ว แล้วใครจะรับผิดชอบงานที่ไร่เล่า”
ไม่ต้องเสียค่าเรียนก็จริง แต่ขาดคนงานไปก็เท่ากับว่าพวกเขาต้องเหนื่อยขึ้นน่ะสิ!
กู้ต้าซุ่นหันไปทางผู้เป็นแม่ “ท่านแม่ ตระกูลเรามีคนรู้หนังสือเพิ่มขึ้นมาอีกคนก็เป็นเรื่องดีมิใช่หรือ
ถ้าเช่นนั้นข้าจะถอดใจเรื่องเรียน แล้วมาช่วยงานที่เรือนเอง”
“ใครจะไปยอมล่ะ” แม่นางโจวปฏิเสธ บุตรชายตนเกิดมาเพื่อเรียนหนังสือเท่านั้น ไม่ได้ให้มาเป็นพวกหาเช้ากินค่ำเสียหน่อย!
แม่นางหลิวเองเมื่อได้ฟังแล้วก็ไม่พอใจ ลูกชายตนเองดีนักดีหนาจนไม่เห็นหัวลูกคนอื่น แต่ก็ต้องยอมรับว่า
กู้เสี่ยวซุ่นเป็นเด็กที่ใช้ไม่ได้ เมื่อเห็นพวกเขามีท่าทีกีดกัน ก็อดนึกไม่ได้ว่าหากบุตรชายตนกู้เอ้อซุ่นโดนแบบนี้บ้าง
แม่นางหลิวคงสวนกลับไปนานแล้ว
“เพียงแต่ว่า…เสี่ยวซุ่นต้องดัดนิสัยอีกมาก อย่างน้อยก็ให้ทำตัวนิ่งๆ อย่างเอ้อซุ่นก็ยังดี” กู้ต้าซุ่นเอ่ยเสนอ
คำพูดของเขากระแทกใจใครหลายๆ คน นั่นสินะ เด็กเกเรอย่างเสี่ยวซุ่นน่ะหรือจะเรียนหนังสือรอด
นอกจากจะไปปีนเกลียวผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว หนำซ้ำอาจพากู้ต้าซุ่นซวยด้วย
“ไม่งั้นก็…ให้เอ้อซุ่นไปแทน” แม่นางหลิวเอ่ยถาม
เอ้อซุ่นเป็นเด็กที่ฉลาดกว่าเสี่ยวซุ่น แถมยังรู้เรื่องกว่าด้วย ถ้าส่งเอ้อซุ่นไป ไม่แน่อาจเรียนไปจนถึงขั้นซิ่วไฉก็เป็นได้!
แต่ที่จริงแล้ว ดูเหมือนว่าแม่นางโจวจะไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ ภายนอกเอ้อซุ่นดูเหมือนเป็นเด็กใฝ่เรียนก็จริง
แต่ไม่ว่าต้าซุ่นคอยอธิบายโจทย์ให้เขาฟังมาตั้งกี่หนก็ตาม ก็ดูเหมือนจะไม่เข้าหัวเอ้อซุ่นเลยสักนิด
เอ้อซุ่นเองก็มิใช่เด็กที่เหมาะจะเรียนหนังสือเท่าไหร่นักหรอก เป็นเพียงอคติของของแม่นางหลิวก็เท่านั้นที่เอาแต่คอยฝากความหวังลมๆ แล้งๆ ไว้ที่ตัวลูกชาย
แต่ดูเหมือนว่าพวกผู้ใหญ่จะไม่มีใครค้านอะไร แม่นางโจวเองก็ไม่ได้ว่าอะไรเช่นกัน
ตั้งแต่ที่พูดคุยกันมา ไม่เห็นจะมีใครถามความเห็นจากกู้เสี่ยวซุ่นเลยสักคน
สามวันถัดมา ณ เวลาเช้าตรู่ เซียวลิ่วหลังเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดเครื่องแบบ
กู้เจียวเองก็เคยเห็นอาภรณ์เครื่องแบบเช่นนี้มาก่อน ทั้งเฝิงหลิน รวมถึงพวกบัณฑิตที่ออกมาจากสำนัก
แต่ไม่มีใครเทียบได้กับเซียวลิ่วหลังเลยสักนิด ดวงตาคู่นั้นของเขา ช่างราวกับภาพวาด
ใบหน้าราวกับเคลือบหยกไว้ มิอาจมีใครเทียบได้
สักพักกู้เจียวมองเข้าไปที่เท้าของเขา
พบว่าเขาใส่รองเท้าที่นางเคยซื้อให้ จึงคลี่ยิ้มอย่างอดไม่ได้
“พอดีเท้าไหม” กู้เจียวถาม
“อืมอ” เซียวลิ่วหลังเอ่ยตอบเบาๆ
กู้เจียวคว้าไม้เท้าแล้วยื่นให้เขา จากนั้นทั้งสองเดินออกประตูไป
พอมาถึงปากทางหมู่บ้าน พบว่าเกวียนของหลัวเอ้อซูมาจอดรอไว้อยู่แล้ว วันนี้คนเดินเข้าเมืองไม่มากนัก
นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว ยังมีกู้ต้าซุ่นและกู้เอ้อซุ่นที่สวมชุดเครื่องแบบสำนักบัณฑิต
กู้เจียวได้เล่าเรื่องที่กู้เสี่ยวซุ่นไปช่วยคนสำคัญในสำนักบัณฑิตให้เซี่ยวลิ่วหลังได้รับทราบแล้ว
แน่นอนว่าทั้งคู่รู้อยู่เต็มอกว่าควรเป็นกู้เสี่ยวซุ่นต่างหากที่ได้สวมชุดนั้น
แต่อย่างไรก็ตาม พอเห็นว่าเป็นกู้เอ้อซุ่นที่มาอยู่ตรงนี้ พวกเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีพิรุธออกไปแต่อย่างใด
ราวกับคาดเดาได้ว่าพวกตระกูลกู้จะต้องเล่นตุกติกแน่นอน
กู้เจียวเค้นเสียงหัวเราะ
ขณะที่เซียวหลิวหลังกำลังง่วนหยิบของในกระเป๋า เขากลับเห็นว่ากู้เจียวยัดถุงเงินเข้าในไว้ในกระเป๋าอีกแล้ว
ครั้งนี้นับได้ยี่สิบสลึง
“หึ!” กู้เอ้อซุ่นส่งเสียงพลางทำหน้ามองบนใส่พวกเขา
ไม่นานรถเกวียนก็เดินทางมาถึงบริเวณสำนักบัณฑิต
“จอดตรงนี้แหละ พวกเราเดินไปเองได้” กู้ต้าซุ่นเอ่ย
ส่วนเซียวลิ่วหลังและกู้เจียวนั่งรถต่อไปจนถึงหน้าประตูสำนัก
จากนั้นทั้งสองต่างแยกย้าย เซียวลิ่วหลังเดินเข้าสำนักบัณฑิตไป ส่วนกู้เจียวก็หอบตะกร้าสานมุ่งหน้าไปยังตลาด