Midterm Fantasy - ตอนที่ 274
“ย้าก”
ตูม!
หมัดของรอนพุ่งไปข้างหน้าทันทีในวินาทีที่เขาข้ามมิติกลับมา หมัดพุ่งเข้าใส่พื้นที่ตรงหน้าจนพื้นดินและหินแตกกระจัดกระจาย
เวก้าหายไป?
“[Fire Pillar]”
ซูมมมม เสาเพลิงพวยพุ่งขึ้นจากพื้นดิน รอนดีดตัวหลบอย่างรวดเร็ว
ตอนนั้นเองที่เวก้ายืนเด่นอยู่ มือเปลี่ยนไปตั้งท่าเตรียมร่ายเวทอะไรบางอย่าง
“เหล่ามังกรทั้งหลาย ถ่วงเวลาเอาไว้ ปกป้องท่านเวก้าให้ได้”
มังกรดำคำรามลั่น ไวเวิร์นที่เหลืออยู่รวมทั้งมอนสเตอร์กิ้งก่าที่อยู่ในบริเวณนั้นต่างโถมร่างเข้าใส่รอนพร้อมๆกันทันที
“ถอยไป อะต๊ะ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ”
รอนวิ่งสวนเหล่ามอนสเตอร์และระดมปล่อยหมัดออกไปข้างหน้า พริบตาที่หมัดกระแทกเข้า มอนสเตอร์เหล่านั้นก็ร่างแหลกสลาย เครื่องในเลือดเนื้อกระจัดกระจายกลายเป็นม่านหมอกโลหิต
“แกว๊กกกก กี๊ดดดด”
ไวเวิร์นตัวสุดท้ายท้องแตกระเบิดออก ระยะห่างระหว่างรอนกับเวก้าเหลือไม่ถึง20เมตร
“ตายซะเถอะ!” รอนกำหมัดพุ่งไป แล้วร่างทะมึนสูงใหญ่ก็ลอยลงมา
“อย่าหวังได้แตะต้องท่านเวก้าเลย” มังกรดำร้องลั่น
“หลบไปซะ!”
บูมมม
เกล็ดมังกรกระจัดกระจาย ร่างของมังกรดำลอยหงายหลังกระเด็นไป รอนพุ่งเข้าใส่นักรบมังกรเวก้า หมัดพุ่งเข้าใส่ศีรษะ
“ตายซะ!”
เวก้าเงยหน้าขึ้น เอ่ยชื่อเวทมนตร์ที่ร่ายเสร็จออกมา
“[Purge]”
พลั่ก!
หมัดของรอนกระแทกเข้าที่ใบหน้าของเวก้าอย่างจัง ใบหน้าอันงดงามสะบัดหันพร้อมกับร่างที่ล้มลง
ถูกต้อง เพียงล้มลง
ไม่ได้แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆเหมือนกับมอนสเตอร์ก่อนหน้านี้
“ฮะ ฮะ ฮะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ๆๆๆๆ”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ”
เสียงหัวเราะดังมาจากเวก้าและมังกรดำที่นอนอยู่ที่พื้น ขณะที่รอนที่ยืนอยู่ร้องออกมา
“System System ได้ยินไหม ตอบด้วย”
ไม่มีคำตอบเหมือนเช่นเคย
แคร้ง!
ดาบฟันเข้ามาที่กลางลำตัว รอนหมุนโล่เข้ารับแล้วกระโดดถอยห่างออกมา เวก้าที่ถือดาบอยู่ในมือกระโดดขึ้นมายืน
“เป็นยังไงบ้างล่ะ ความรู้สึกที่ถูกดึงเอาพลังออกไป” เวก้ายิ้มกริ่ม
“Status! สถานะ! System! Fighter eye!” รอนร้องคำสั่งต่างๆเท่าที่นึกได้ออกมา แต่ทุกอย่างเงียบสนิท
“เปล่าประโยชน์น่า ลองก้มลงดูที่พื้นนั่นก่อน”
เวก้าชี้ไปที่เท้าของรอน เด็กหนุ่มก้มลงมอง
ลูกแก้วลูกหนึ่งตกอยู่ตรงนั้น
ศิลานักปราชญ์!
“เฮฮฮฮฮฮ!”
กองทัพออร์คที่เมื่อครู่แตกตื่นเสียชวัญ มาตอนนี้กลับมีกำลังใจเพิ่มขึ้นอีกครั้ง พวกมันกรูกันเข้าโจมตีชาวบ้านโอลเซ่นทั้ง200คนอีกครั้ง ชาวบ้านได้แต่ยกโล่ขึ้นตั้งแนวรบเทสทูโด
“คุณรอนระวังตัวด้วย”
“พวกเราเร็วเข้า ต้องไปช่วยท่านรอน”
เสียงของชาวบ้านค่อยๆกลืนหายไปท่ามกลางเสียงการโห่ร้องของมอนสเตอร์ ส่วนเวก้าก็เสียบดาบกลับเข้าฝัก
“เป็นยังไงบ้าง ความรู้สึกของการปราศจากพลัง”
“ชิ ชักดาบของเจ้าออกมา แล้วเรามาสู้กัน” รอนพูด ดาบและโล่ในมือของเขาสั่นเล็กน้อย เมื่อรู้ว่าตอนนี้ตนเองไม่เหลือพลังแล้ว
ไม่ว่าจะพลังจู่โจมที่ลดลงมาเป็นปกติ
และ พลังชีวิต ที่ต่อจากนี้ไม่สามารถใช้อาหาร Heal ได้แล้ว
“จิ๊ จิ๊ จิ๊ ดูท่าเจ้าจะไม่รู้ตัวสินะ” เวก้ายกนิ้วขึ้นโบกไปมาตรงหน้า “เจ้าพวกนักรบมังกรแห่งแสง พวกเจ้าน่ะ ใช้การฆ่าฟันมอนสเตอร์ในการเพิ่งระดับเลเวล จากนั้นก็ใช้Bonus stat ที่ได้ในการเพิ่มความเก่งกาจ เพิ่มกำลัง เพิ่มพลังเวท และเพิ่มเลเวลการใช้อาวุธ” เวก้ามองอย่างเหยียดหยาม “เจ้าน่ะไม่มีทางรู้จักศักดิ์ศรีแห่งนักสู้ที่แท้จริงได้หรอก”
“คิดจะสู้กับข้างั้นรึ ฝันไปเถอะ อย่างเจ้าน่ะแค่ออร์คธรรมดาก็พอแล้ว” เวก้าร้องขึ้น “ทหารออร์คเอ๋ย จัดการมันซะ ให้มันรู้ถึงความอ่อนแอของมัน”
“โอ้!”
ออร์คสามตัวพุ่งเข้าหารอนทันที เด็กหนุ่มหน้าซีดเผือด ขยับโล่ในมือเตรียมรับมือกับมอนสเตอร์ตรงหน้า
เป็นการต่อสู้โดยปราศจากพลังใดๆเป็นครั้งแรกในชีวิต
….
“ลูกแก้ว ศิลานักปราชญ์ ลูกแก้วนี่เป็นของรอนหรือคะ” เจนัสร้องขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดของอารยา
“ใช่แน่ ลูกแก้วนี่เป็นอันเดียวกับที่แม่เคยใช้” อารยาตอบและหยิบขึ้นมา
[ศิลานักปราชญ์ 1 pt]
[ท่านต้องการใช้หรือไม่ ใช้/ไม่ใช้]
“แล้วรอนล่ะคะ รอนเป็นยังไงบ้าง” เจนัสถามต่อ
“ไม่มีทางรู้ จนกว่าจะลองใช้ดู” อารยาบอก “ใช้ศิลานักปราชญ์”
ลูกแก้วหลอมรวมเข้ากับร่างของอารยา
กิ้ง!
“{อารย่าเองรึ ยินดีต้อนรับกลับมา}”
“อือ ชั้นเอง … เกิดอะไรขึ้น เจ้าหนุ่มรอนเป็นยังไงบ้าง” อารย่าถาม
“{ไม่รู้เหมือนกัน เมื่อครู่เวก้าใช้สกิล Purge จัดการดีดจนข้าหลุดออกจากร่างของรอน จากนั้นข้าก็ไม่รู้อะไรอีก}”
“ห๊ะ แล้วสถานการณ์ทางนั้นล่ะ”
“{เกือบหายนะ … ยังไม่ถึงกับแย่ที่สุดเพราะว่าก่อนข้าถูกดีดออกมา เจ้ารอนมันฆ่าไวเวิร์นและมอนสเตอร์กิ้งก่าทั้งหมดแล้ว … แต่เจ้าเวก้ายังอยู่ ไม่นับว่าเจ้าหนุ่มนั่นบุกเข้าหาเวก้าจนตอนนี้ตกอยู่กลางวงล้อมของออร์ค … ข้าให้สัก10นาที… ไม่สิ ให้4นาทีก็พอ}”
“งั้นส่งชั้นกลับไปฝั่งโน้น”
“{ไม่ได้หรอก เธอก็รู้ ตอนนี้12:06น. เลยเวลามาแล้ว6นาทีกว่าแล้ว ต้องรอตอนเที่ยงคืน}”
อารย่านิ่งอึ้งไป ขณะที่สามสาวที่ได้ยินการสนทนานั้นเห็นสีหน้าแล้วรู้ว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณแม่” เจนัสถาม
“การข้ามมิติมีลิมิตทำได้เพียงสองเวลา ตอนเที่ยงวันและเที่ยงคืน …ตอนนี้เลยเวลามาแล้ว 6 นาที แม่ข้ามไปช่วยรอนไม่ได้ … และจากที่ว่ามา รอนไม่มีทางรอดจนถึงตอนเที่ยงคืนแน่ๆ” อารยาบอก
“รอนไม่มีทางรอด … ไม่นะ” เจนัสร้องขึ้น “ไม่มีวิธีเลยเหรอคะ มันต้องมีวิธีบ้างสิคะ แค่6-7นาทีเท่านั้นเอง เพิ่งเลยมาไม่เท่าไหร่เอง”
“จริงสิเจนัส เธอมองเห็นศิลานักปราชญ์นี่ได้” อารยาอุทานขึ้น “มันยังพอมีวิธีอยู่!”
******
เคร้ง เคร้ง ฉัวะ!
“โอ๊คค”
ตุบ
ร่างของออร์คล้มลงอีกตัว รอนยืนหยัดอยู่ ในมือถือโล่และดาบ เลือดของออร์คบนเกราะปราบจลาจลค่อยๆมารวมกันแล้วหยดลงสู่พื้น
ออร์คธรรมดาถอยหลังออกอย่างหวาดหวั่น …เพราะที่เบื้องหน้าของรอนนั้น ร่างปราศจากชีวิตของออร์คร่วม20ตัวล้มกองอยู่ที่พื้น
“ไม่น่าเป็นไปได้ เจ้า เจ้า และเจ้า จัดการมันซะ”
“ครับท่านเวก้า”
“ฟู่ ฟู่ ข้าจะไม่ให้ท่านผิดหวัง”
“ฮ่า มอบศีรษะของเจ้ามา”
แม่ทัพออร์คทั้งสามตัวชักดาบยักษ์ของตนออกมาแล้วเดินเข้าหารอน เสียงเกราะโลหะที่คลุมเต็มตัวดังเคร้งแคร้ง
“ย้ากกก”
เคร้ง!ฉึก!
“อุ้ก”
ดาบที่ฟันเข้าหา ถูกโล่เล็กในมือปัดป้องจนแฉลบออก และจังหวะนั้นเองมืออีกข้างของรอนก็เสือกแทงมีดสั้นตรงเข้าหาแม่ทัพออร์ค ใบมีดสแตนเลสพุ่งเข้าที่รอยต่อของเกราะที่ซอกคอ
“เปิดช่องว่าง”
เคร้ง เคร้ง
แม่ทัพออร์คออีกสองตัวฉวยจังหวะนั้น เหวี่ยงดาบเข้าใส่พร้อมกัน แต่รอนเหวี่ยงโล่ขึ้นป้องกันได้ทัน โล่ในมือหลุดกระเด็นไปในอากาศ รอนพุ่งตัวลงคว้าดาบยาวของแม่ทัพออร์คที่เขาแทงคอไปขึ้นมาแล้วฟันสวนกลับเข้าไป
เคร้ง!
“ฮ่าๆๆ เจ้าโง่ คิดใช้ดาบสู้กับนักรบที่ใส่เกราะเหล็กเต็มตัวอย่างนั้นเรอะ”
คว้างงง ฉับ
อาบของออร์คทั้งสองฟันลงมาอีกครั้ง รอนหมุนหลบไปด้านข้างแล้วฟาดดาบเข้าที่เกราะเข่าของแม่ทัพออร์ค
“อั่ค” แม่ทัพออร์คตัวนั้นเสียหลักคุกเข่าลงกับพื้น รอนหันไปหาแม่ทัพออร์คตัวสุดท้าย
“ตายซะ”
ป๊อง!
“โอ๊ย”
ป๊อง ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ โผล๊ะ!
ทุกคนลืมตาโพลงมองดูแม่ทัพออร์คที่หมวกเกราะเหล็กถูกทุบจนเละ รอนถือดาบในมือ … จับดาบที่ใบมีด แล้วใช้ส่วนโกร่งป้องกันมือที่ยื่นออกมาเป็นแท่ง เสมือนหัวค้อน เหวี่ยงทุบจนหมวกเกราะของออร์คบุบบี้เข้าไป
“แก แก อ๊อคคค”
ป๊องๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
แม่ทัพออร์คตัวสุดท้ายยันร่างขึ้นแต่ไม่ทัน เข่าที่บาดเจ็บทำให้มันหลบการทุบด้านมือจับของดาบไม่ได้ กระโหลกศีรษะของมันถูกกดจากหมวกเกราะจนแตกยุบอยู่ในหมวกเกราะนั้นเอง
“เป็นไปไม่ได้ เจ้าหนุ่มนั่นมันไม่มีศิลานักปราชญ์แล้วนี่” เวก้าอุทานมองตรงไปที่รอน “Fighter Eye”
รอน : มนุษย์
HP 98/100
นักเรียนมัธยมต้น
Swordman Lv 65
Two-Handed Sword Lv15
One-Handed Sword Lv50
Buckler User Lv 72
Large Shield Lv 24
Martial Artist Lv 30
Pole weapon Lv 30
Range weapon Lv 75
Gun Lv28
Slingshot Lv 42
Bow/Crossbow Lv 15
Explosive Lv 12
Battle Commander Lv 80
Warrior Lv47
Idiot Lv ??? (เลเวลห่างกันเกินไป)
Poker Face Lv ??? (เลเวลห่างกันเกินไป)
“เฮ้ย!” เวก้าอุทานออกมา “เป็นไปได้ยังไง ศิลานักปราชญ์ออกจากร่างของมันแล้วนี่ แล้วทำไมมันถึงยังมีสกิลต่อสู้เหลืออยู่”
“แกพูดภาษาอะไร ฟังไม่เห็นรู้เรื่อง” รอนขมวดคิ้ว
เวก้ายิ่งแน่ใจขึ้นไปอีก … รอนเสียความสามารถในการฟังภาษาของซีแลนเดียไปแล้ว ถ้าไม่จงใจพูดกับรอน ภาษาที่รอนได้ยินก็จะเป็นภาษาของซีแลนเดีย
แต่ทำไมมันถึงยังมีสกิลเหลืออยู่ได้ล่ะ
“เจ้าหนุ่ม อย่าบอกนะว่าBonus Stat ทั้งหมดของแกนั่น แกใส่เข้าไปที่พลังอย่างเดียว”
“ฟังรู้เรื่องแล้ว …ถูกต้อง ทั้งหมดข้าใส่ไปที่กำลังกับพลังชีวิตแค่สองอย่าง”
“แกไม่ได้ใส่เข้าไปที่เลเวลความสามารถในการใช้อาวุธเลยเรอะ!” เวก้าร้อง
“อ้าว ฉิบหายล่ะ มันใส่เข้าไปได้ด้วยเหรอ” รอนอุทาน
ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา รอนไม่รู้มาก่อนเลยว่าBonus stat ใส่เข้าไปที่การใช้อาวุธได้
นี่เขาฝึกการใช้อาวุธทุกวัน วันละ 8-10 ชั่วโมงเพื่อหวังจะเพิ่มเลเวลโดยไม่รู้ว่าจริงๆเพิ่มได้ด้วยวิธีอื่นเรอะเนี่ย
ส่วนเวก้าก็เหลือบมองอีกครั้ง สถานะ Idiot ของมัน ไม่ได้มาด้วยโชคช่วยจริงๆสินะ
แต่แบบนี้ก็ยุ่งยากขึ้นมาบ้างแล้ว
นักรบมังกรแห่งแสงทุกคนที่ถูกสกิล Purge ของเวก้าเข้าไป ความสามารถทุกอย่างจะตกฮวบลง
จากคนที่เก่งกาจ กลายเป็นทำอะไรไม่ได้สักอย่าง
จากนั้นนักรบมังกรผู้นั้นก็จะลนลานและหวาดกลัว ก่อนจะถูกสังหาร
แต่ถ้าเจ้าหนุ่มรอนคนนี้มันไม่เคยใช้ Bonus stat เพิ่มLv สกิลใดๆ
สกิลทั้งหมดก็คือของจริง … ก็เท่ากับความสามารถของมันยังเท่าเดิมทุกอย่าง
“ฆ่ามัน ออร์คทั้งหมด ฆ่ามัน”
“เฮฮฮฮฮฮ”
ออร์คที่ปราศจากแม่ทัพต่างเฮโลกันเข้าไปทั้งๆที่หวาดกลัว ดาบในมือฟาดฟันลงไป แต่แล้วร่างของรอนก็หายไปจากพื้น
“บาทาไร้เงา!”
พลั่กๆๆๆ ฉัวะ!
รอนใช้ท่าเท้าตระกูลหวงเตะออร์คที่ดาหน้าเข้ามาตามด้วยดาบฟาดฟันจนออร์คสามตัวล้มลงตาย
“ย้ากกก พวกเราฟันพร้อมกัน”
เคร้ง ๆ ๆ
ดาบในมือของรอนหลุดมือออกจากการฟันพร้อมกันของออร์คอีกสามตัว เด็กหนุ่มปล่อยมือจากดาบนั้นแล้วพุ่งเข้าหาออร์คตรงหน้า มือของเด็กหนุ่มหมุนสอดเข้าไปบิดข้อต่อแขนที่ถือดาบของออร์คจนดาบหลุดมือ แล้วแย่งดาบออกมาเชือดคอออร์คตัวนั้น
ออร์คร่างยักษ์ที่มีสองแขน เปรียบเทียบกับแท่นฝึกเพลงหมัดในบ้านอาม่าที่มี8แขนแล้ว เทียบกันไม่ติดสักนิด
“นี่มัน! เจ้าหนุ่มนี่เข้าสู้ Trance state ได้” สกิลFighter eye ของเวก้าบอกสถานะที่เพิ่มขึ้นมาของรอน
นอกจากจะไม่แตกตื่นตกใจที่พลังหายไป
มันยังเข้าสภาวะภวังค์ได้อย่างนั้นรึ!
ออร์คเป็นมอนสเตอร์ที่อาศัยกำลังเป็นหลักไม่ได้มีการฝึกปรืออาวุธหรือวิชามากนัก เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชำนาญเพลงดาบและโล่แล้วกำลังนับร้อยก็เปรียบดั่งหมูที่เอาขึ้นเขียง ซากศพกองก่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ออร์คร่วมร้อยชีวิตที่บุกเข้าไป ตอนนี้เหลือเพียงแค่ครึ่งเดียว
ขณะที่รอนเองอยู่ในสภาพที่ดีกว่าที่ตนเองคาดไว้
ที่ผ่านมาเขาปรับพละกำลังให้อยู่ที่200กิโลกรัมมาตลอด สิ่งที่เปลี่ยนไปในตอนนี้ก็มีแค่พละกำลังที่เหลือ 1ใน4 ของที่เคย
อย่างอื่นนั้นคงเดิม
ก่อนนี้เขาเคยเข้าใจว่า สกิลที่ได้มารวมถึงการเรียนที่ดีขึ้น ล้วนเป็นผลจากศิลานักปราชญ์
แต่จากที่เวก้าพูดมาเมื่อครู่ กับความรู้สึกของตนเองในตอนนี้
วิชาดาบ วิชาหมัด วิชาการต่อสู้ หรือการเรียนที่ผ่านมา
ทุกสิ่งทุกอย่าง ล้วนเป็นความสามารถของเขาเองทั้งสิ้น
เขาสร้างมันด้วยตนเอง
เขาฝึกด้วยตนเอง
มันคือความสามารถที่แท้จริงของเขา
“เวก้า มอบชีวิตเจ้ามา”
“[Fire Pillar]”
“อ้ากกกกกกกกกกกก”
เปลวไฟลุกท่วมรอนและออร์คที่ล้อมรอบ เด็กหนุ่มปิดหน้ากากชุดปราบจลาจลลงแล้วกลั้นหายใจ เปลวเพลิงเผาผลาญรอบๆจนทุกอย่างมอดไหม้ไปหมด
“หืม … ยังรอดอยู่อีกเรอะ … ชุดเกราะของเจ้านี่น่าสนใจจริงๆ” เวก้าบอก
“เจ้าเวก้า … มาสู้กับข้าตัวต่อตัว”
“เสียใจด้วย กับนักดาบที่เลเวล60กว่าแบบเจ้า ข้าขอสู้ห่างๆนี่ดีกว่า” เวก้ายกนิ้วขึ้น เปลวไฟปราฎขึ้นอีกครั้ง “จงมอดไหม้ไปซะ”
ลูกไฟพุ่งเข้าหารอนที่คุกเข่าอยู่
แล้วแสงวาบก็ปรากฎขึ้นที่ด้านหน้า โล่แห่งแสงรวมตัวขึ้น
“[Holy Shield]”
ซ่าาาาาาา
“อ๊ะ นั่นใครกัน”
ร่างของหญิงในชุดจอมเวทยกไม้เท้าขึ้น สายฟ้าปรากฎขึ้นที่ปลายไม้เท้า
“Thunder Bolt”
แล้วสายฟ้าก็ฟาดลงมาตรงจุดที่เวก้ายืนอยู่