Midterm Fantasy - ตอนที่ 110
“ทุกคน ดูแลตัวเองดีๆนะ”
“ถ้ามีเหตุการณ์ไม่ปกติก็ให้ติดต่อกองทหารทันทีนะ”
เบรเซอร์โบกมือลาชาวบ้านที่ออกมาส่งก่อนที่จะกลับเข้าไปรวมกับขบวนทหาร รถม้าของหมู่บ้านโอลเซ่นรั้งอยู่ที่ท้ายขบวน ในขณะที่ด้านหน้าเป็นกองทหารของเมืองกาล่าอันมีเจ้าเมืองโซล่าและบุตรีนำขบวนอยู่
รอนและแพทก็ติดตามไปทางด้านหลังเช่นเดียวกับทุกคน
“รอน ว่าแต่ฝากของพวกนั้นไว้กับมาเรียจะไหวเหรอ” แพทถาม
“น่าจะได้แหละ เราก็สอนวิธีใช้ไว้หมดแล้ว” รอนตอบ
“แต่เธอไปหาของพวกนั้นมาจากไหนกันล่ะ พวกผักแช่แข็งพวกนั้นน่ะ” แพทถามอย่างสงสัย “อย่าบอกนะว่า…”
รอนพยักหน้า ขณะที่แพททำหน้าตาแบบบอกไม่ถูก
รอนยังจำได้ดี เมื่อเย็นวานก่อนที่จะวาร์ปกลับมา เขาไปที่ร้านอาม่าหน้าปากซอยเพื่อถามหาผัก
“อาม่ามีผักขายไหมครับ”
“ทำไมไม่ไปซื้อที่ตลาดล่ะ” อาม่าถามกลับ
“คือผมอยากได้ผักแบบที่แช่แข็งไว้สักพักครับ ที่ตลาดไม่มี” รอนบอก “แต่คนขายบอกว่าร้านอาม่าอาจจะมี”
“อืม ขออาม่าคิดก่อน” อาม่าทำท่านึก “เอ้า ตามมา”
อาม่าเดินไปเปิดไฟที่ประตูใต้บันได จากนั้นเดินลงไปชั้นใต้ดิน รอนเดินตามไปติดๆอย่างระมัดระวัง
ชั้นแรกผ่านไป ชั้นสองผ่านไป ชั้นสามผ่านไป …
และตอนที่รอคิดว่ามันคือชั้นสุดท้ายแล้วนั้นเอง
คลิ๊ก!
“ตามมาสิ” อาม่าเรียกเมื่อเห็นว่ารอนไม่ได้ตามมา
“ครับๆๆ”
เด็กหนุ่มตามไปติดๆ เหงื่อผุดเต็มหลังทั้งที่บรรยากาศในนี้ออกจะเย็น
‘ชั้นใต้ดินร้านอาม่ามีกี่ชั้นเนี่ย’ เขาคิด
“ชั้น 4” อาม่าบอก
“ห๊ะ” รอนชะงัก
“ตู้แช่อยู่ชั้น 4” อาม่าเดินไปที่ตู้ฟรีซเซอร์ที่วางเรียงกันอยู่ “รอนจะเอาอันไหน”
เด็กหนุ่มมองไปรอบๆ ตู้แช่ ตู้แช่เต็มไปหมด เขามองไปที่ฝาตู้ มีเขียนระบุไว้ว่าในนั้นมีอะไรบ้าง เด็กหนุ่มมองไปที่ตู้แรกและตู้สองซึ่งแช่พวกผักพวกพริกกระเพราะโหระพาต้นหอมผักชีประดามี
“ผมซื้อของสองตู้นี้ครับ” รอนบอก ผักพวกนี้เป็นผักพวกที่ใช้ทำเมนูของเผ่าสัตว์ได้
แต่ว่าถ้าขนไปตอนนี้แล้วเขาจะเอาไปเก็บไว้ไหนล่ะ
“อือ คืนนี้จะมาเอาของตอนกี่โมงก็กดกระดิ่งเรียกแล้วกัน อาม่านอนเที่ยงคืนโน่น”
“เอ๊ะ”
“ก็ถ้าเอาไปตอนกลางวันแบบนี้อากาศมันร้อน เดี๋ยวละลายหมด”
“งั้นผมมารับของตอน 5ทุ่มครึ่งนะครับ”
รอนตอบอย่างโล่งใจ พอเอาไปที่โลกโน้นเขาก็จะค่อยใช้ม้วนเวทน้ำแข็งจัดการแช่ต่อก็ได้
เด็กหนุ่มจัดการจ่ายเงินให้อาม่า ผักแช่แข็งเต็มตู้แช่ราคาหลายพันก็จริง แต่ว่าการที่อาม่าใส่ไว้ในถุงยักษ์ถุงเดียวและเขียนวันที่ระบุไว้ ทำให้มันสะดวกต่อการเคลื่อนย้ายข้ามโลกที่มีกฎรวมของเป็นชิ้นเดียวที่ 30 วัน
จะว่าไปของรอบๆตอนนี้ที่อาม่ากองไว้มันโดนมัดเก็บหรือบรรจุรวมเป็นกองเป็นหีบไว้ทั้งนั้นเลย ถ้าต่อไปเขาจะเอาของข้ามไปโลกโน้นก็อาจจะมาค้นที่ร้านอาม่าก็ได้สินะ
รอนมองไปรอบๆห้อง ไปสะดุดตาเข้ากับชุดชุดหนึ่งที่แขวนไว้ที่มุมห้อง
“นั่นชุดอะไรครับ”
ชุดเสื้อคลุมผู้หญิงสีขาวยาวปักลายดิ้นเงินดิ้นทองมีถุงมือ ถุงเท้ายาว รองเท้า และไม้เท้าขนาดใหญ่
“ชุดคอสเพลย …อารอนสนใจเหรอ” อาม่าตอบด้วยสีหน้าแปลกๆ
“ถถถถ ไม่ครับ ไม่”
เด็กหนุ่มเหงื่อแตก ร้านอาม่านี่มีไปหมดทุกอย่างจริงๆ มีแม้แต่ของแปลกๆแบบนี้ด้วย
รอนเดินออกจากร้านและเข้าซอยมุ่งหน้ากลับบ้าน โดยที่อาม่ามองตามหลังด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“เหมือนกันจริงๆ ซื้อของแบบมัดๆ ซื้อของที่ใส่หีบห่อไว้รวมกันเป็นเดือนๆ” อาม่าพึมพำ “เหมือนแม่หนูคนนั้นจริงๆ”
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะกลับมาที่โลกนี้ รอนจัดการเอาผักแช่แข็งกลับมาเพราะรู้ว่าเมนูไทยๆหลายอย่างเป็นเมนูที่เผ่าสัตว์ชื่นชอบ
ถ้าเขาทำให้ชาวบ้านของโอลเซ่นหัดทำกับข้าวเมนูไทยๆได้ล่ะก็ ต่อไปหมู่บ้านนี้ก็จะเป็นที่นิยมของเหล่านักเดินทางและนักผจญภัยจากเผ่าสัตว์แน่ๆ และถ้ามีกลุ่มคนพวกนี้เดินทางผ่านไปผ่านมาที่นี่มากๆล่ะก็ มอนสเตอร์ในบริเวณเมืองกาล่าจะต้องลดจำนวนลงแน่ๆ
นี่คือสิ่งที่รอนตั้งใจเอาไว้
“ท่านรอนเคยไปเมืองหลวงของแอสคาลอนหรือยัง” โซล่าถาม
“ยังไม่เคยครับ”
“เมืองวาเลนเทีย เป็นเมืองหลวงที่ตั้งขึ้นมาตั้งแต่สมัยก่อตั้งอาณาจักร มีอายุนับพันปีแล้ว” โซล่าบอก “ถือเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของอาณาจักรมนุษย์เลย”
“จะว่าไปแล้ว เมืองหลวงของแอสคาลอนนี้มีลักษณะแบบนี้หรือเปล่าครับ” รอนถามก่อนจะเอาภาพในโทรศัพท์มือถือให้กับท่านโซล่าดู เป็นภาพจำลองกรุงโรมของจักรวรรดิโรมัน
“ใช่ครับ เรามีสิ่งก่อสร้างคล้ายๆกับในภาพนี้ แต่นี่ไม่ใช่เมืองวาเลนเทีย” เจ้าเมืองตอบหลังจากพิจาณาดูภาพแล้ว
รอนพยักหน้ารับและค่อยๆคิดตาม ดูเหมือนว่าอาณาจักรแอสคาลอนจะมีความคล้ายคลึงกับอาณาจักรโรมันบนโลก ไม่ว่าจะเป็นอาวุธชุดเกราะหรือแม้แต่เมือง
“พระราชาของเรา เพรเตอร์ ลูเซียส ลาตินิสที่6 และเจ้าชายดีโอ สนใจในตัวท่านรอนมาก โดยเฉพาะเรื่องที่ท่านช่วยกำจัดนักรบมังกรดราซัคด้วยเครื่องยิงหินขนาดยักษ์นั่น” โซล่าพูด ขณะที่รอนสังเกตคำบางคำ
“เพรเตอร์ พระราชาของแอสคาลอนไม่ใช่จักรพรรดิเหรอครับ” เด็กหนุ่มถาม
“ข้าลืมไปว่าท่านไม่ใช่คนของแอสคาลอน เรื่องก็คือ ในบรรดาอาณาจักรมนุษย์ทั้งหมด พระราชาแห่งแอสคาลอนเป็นพระราชาพระองค์เดียวที่ไม่ได้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์หรือจักรพรรดิ หากแต่ดำรงตำแหน่งเพรเตอร์” โซล่าบอก
“ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะครับ”
“เพราะว่าราชวงศ์ของแอสคาลอนถือว่าตนเองไม่ใช่จักรพรรดิที่แท้จริงครับ” โซล่าบอก “แม้จะผ่านมากว่าสองพันปีแล้ว แต่ราชวงศ์แอสคาลอนก็ยังถือว่าตนขึ้นกับจักรพรรดิที่แท้จริงและยังเชื่อในคำทำนายอยู่ครับ”
“จักรพรรดิที่แท้จริง? คำทำนาย?”
“ใช่ครับ ตามประวัติศาสตร์แล้วพระราชาพระองค์แรกของเราคือทรีบูน ลูเซียส ลาตินิส ที่1 เป็นนายทหารของจักรพรรดิ ได้รับมอบหมายให้คอยคุมค่ายทหารประจำเมืองวาเลนเทีย จนกระทั่งเกิดการกบฏขึ้น ผู้บังคับบัญชาทั้งหมดเสียชีวิต เมืองถูกปิดล้อม เหล่ากบฏทำการวางเพลิงจากทุกด้านเพื่อทำลายทหารและชาวเมืองทั้งหมดไปพร้อมๆกัน” โซล่าเล่า “ในขณะที่ความหวังทั้งหมดสูญสิ้น ไฟล้อมเข้ามาทุกทาง เทพเวโรน่าก็ได้เปิดประตูขนาดใหญ่ขึ้นที่กลางเมือง ท่านลูเซียสจึงนำประชาชนและกองทหารที่เหลือทั้งหมดเดินทางผ่านประตูนั้นมาโผล่ที่ดินแดนแห่งนี้ และได้เริ่มต้นสร้างเมืองวาเลนเทียขึ้นมาอีกครั้ง”
“เทพเวโรน่าได้บอกกับพระราชาลูเซียสที่1ว่าให้เริ่มต้นสร้างเมืองขึ้นใหม่ และมอบหมายให้ท่านเป็นผู้ปกครอง หากแต่พระราชาลูเซียสที่1ไม่ยินยอมและบอกว่าหลังจากตั้งเมืองเรียบร้อยแล้ว จะหาทางติดต่อกับเมืองหลวงและจักรพรรดิให้ได้ แต่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็ไม่สามารถค้นหาทางกลับไปยังเมืองวาเลนเทียเดิมได้จนกระทั่งสิ้นพระชนม์”
“เนื่องจากคำสั่งสอนของพระราชาองค์แรกส่งต่อกันมาว่า ราชาแห่งแอสคาลอนเป็นข้ารับใช้แห่งจักรพรรดิ ดังนั้นพระราชาทุกพระองค์หลังจากนั้นจึงไม่มีใครดำรงตำแหน่งจักรพรรดิ หากแต่ตั้งตนอยู่ในตำแหน่งทรีบูน , เลกาตัส , กงศุล , และสุดท้ายก็อยู่ในตำแหน่งเพรเตอร์ ซึ่งไม่มีพระราชาพระองค์ใดตั้งตนสูงกว่าตำแหน่งนั้น” โซล่าเล่าต่อ “แม้กระทั่งเทพเวโรน่าปรากฎกายและบอกว่าไม่มีทางที่จะพบจักรพรรดิที่แท้จริงอีกแล้ว แต่พระราชาของพวกเราก็ไม่ยอมเชื่อ จนเทพเวโรน่าได้บอกคำทำนายขึ้นมา”
“คำทำนายนั้นมีอยู่ว่า เมื่อบังเกิดแสงสว่างเจิดจ้าบนท้องฟ้า ความมืดจะกรีฑารุกราน ผู้กล้าจากแดนไกลจะช่วยต้านทาน แล้วแอสคาลอนก็จะให้กำเนิดจักรพรรดิ”
รอนฟังเรื่องเล่าแล้วตะหงิดๆพิกล
“แบบนี้คงไม่ใช่ว่าเชิญพวกเรามาเพราะว่าเห็นพวกเรามาจากแดนไกลหรอกนะครับ คือผมไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับการเป็นจักรพรรดิอะไรเลย”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ท่านรอนทายได้ถูกต้องแล้ว แต่ไม่ต้องคิดมากครับ หลังจากมีคำทำนายนี้ พระราชาในเวลาต่อมาทั้งหลายก็ให้ความสนใจกับผู้กล้าจากต่างแดนมากขึ้น” โซล่าบอก “ไม่ใช่เพราะเรื่องตำแหน่งจักรพรรดิ แต่เป็นเพราะในคำทำนายบอกไว้ว่าจะเกิดการรุกรานจากความมืด”
“อ่อ เข้าใจละ ประมาณว่าเมื่อไหร่ผู้กล้าโผล่ แปลว่าซวยแล้วกำลังจะเกิดการรุกรานจากความมืด”
“ครับ จะบอกแบบนั้นก็ได้
รอนค่อยๆคิดในใจ ไม่หรอกมั้ง เขาไม่ได้เป็นตัวซวยขนาดนั้น
ทหารที่อยู่ด้านหน้าขี่ม้าตรงมาหาทั้งสอง
“ท่านเจ้าเมืองครับ ข้างหน้าคือสุสานของท่านนักรบมังกรอารย่าครับ”
สีหน้าของโซล่าที่กำลังยิ้มแย้มเปลี่ยนไปเป็นเคร่งขรึมทันที ขบวนเดินทางไปตามถนนจนผ่านลานหินกว้างอันมีช่องทางเข้าถ้ำสุสานเปิดอยู่
ขบวนทั้งหมดหยุดยั้งอยู่ตรงนั้น ท่านโซล่าเดินก้าวไปที่ลาน ถอดหมวกพู่แดงของนายทหารออกมองไปข้างหน้า
“ขอให้ท่านอารย่าวางใจ พวกเราทั้งหมดจะปกป้องเมืองและประชาชนแห่งแอสคาลอนด้วยชีวิตของเรา หลับให้สบายนะครับ”
โซล่ายืนนิ่งอยู่อีกครู่หนึ่งก่อนจะกลับมาที่ขบวน
“สั่งการออกไป ให้ทหารจากเมืองมาดูแลทำความสะอาดถ้ำสุสานให้ดี อย่าให้มอนสเตอร์มาซ่องสุมและอย่าให้ใครมาบุกรุกทำลายได้ พวกโจรขโมยสุสาน ถ้าจับได้ให้จัดการให้หนัก”
โซล่าสั่งเสร็จก็กลับเข้าขบวนและออกเดินทางต่อ
“อ้าวท่านรอน เป็นอะไรไปครับ อากาศร้อนเหรอ เหงื่อท่วมเชียว”
“ปะ เปล่าครับ”
รอนเหงื่อแตก จะให้บอกได้ยังไงว่าเขานี่แหละที่วาร์ปมาที่นี่เป็นที่แรกแล้วก็จัดการกวาดสุสานของท่านอารย่าจนเกลี้ยงไปแล้ว