สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 348 ท่านคือปีศาจร้ายตนหนึ่ง!
ดูเหมือนว่าสัตว์อสูรวิเศษที่บุกเข้ามาจะได้กลิ่นมนุษย์ หลังจากที่พวกมันเข้ามาแล้วจึงตรงมาทางค่ายกลคุ้มกัน ก่อนจะเริ่มต้นโจมตีค่ายกลคุ้มกันอย่างต่อเนื่องเพราะถูกขัดขวาง
“พี่หญิงใหญ่ พวกเราจะวางใจในสิ่งนี้ได้หรือไม่”
“นั่นสิ เขายังเยาว์วัยถึงเพียงนั้น จะสร้างค่ายกลนำส่งได้หรือไม่”
ค่ายกลนำส่งนั้นต้องใช้ความสามารถของปรมาจารย์ค่ายกลค่อนข้างสูง เพราะสิ่งนี้ยังเกี่ยวข้องกับการตัดผ่านห้วงอากาศ เปิดอุโมงค์ทางเดินอีกด้วย จนปรมาจารย์ค่ายกลจำนวนมากไม่อาจออกมาจากค่ายกลนำส่งได้
“นอกจากเชื่อมั่นในตัวเขาแล้ว พวกเจ้ายังมีหนทางอื่นอีกหรือ” กัวเพ่ยเพ่ยพูด
หากนางบุกฝ่าออกไปเพียงคนเดียวย่อมไม่เป็นปัญหา แต่การพาคนในครอบครัวตนไปด้วยนั้นเป็นเรื่องยากพอสมควรเลยทีเดียว
“ปัง…”
สัตว์อสูรเทพโจมตีค่ายกลคุ้มกันอย่างต่อเนื่อง สัตว์อสูรวิเศษตาแดงก่ำล้อมอยู่ทุกทิศทาง
มีหลายครั้งที่ค่ายกลคุ้มกันดูเหมือนจะถูกบุกจนพังทลาย คนตระกูลกัวเห็นสัตว์อสูรวิเศษบ้าคลั่งที่อยู่ข้างนอกแล้วก็ตกใจจนอกสั่นขวัญแขวน
แต่เมื่อมองซือหม่าโยวเย่ว์ เจ้าคนผู้นั้นก็ยังคงติดตั้งค่ายกลนำส่งต่อไปด้วยท่าทีสบายๆ!
“หากรู้ก่อนว่ามีสัตว์อสูรเทพมากมายถึงเพียงนี้ ข้าก็คงติดตั้งค่ายกลใหญ่คุ้มภัยของตระกูลซือหม่าแล้ว จะต้องมามัววุ่นวายติดตั้งค่ายกลนำส่งอยู่อีกทำไม” ซือหม่าโยวเย่ว์จัดวางค่ายกลไปพลางบ่นอุบอิบ
“โยวเย่ว์ ใกล้จะไม่ไหวแล้วนะ” เว่ยจือฉีพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์วางศิลากลชิ้นสุดท้ายเข้าที่พอดี แล้วเอ่ยว่า “เอาละ ทุกคนเข้ามาสิ”
ทุกคนเข้ามายืนรอบตัวเธอ จากนั้นเธอจึงรีบกระตุ้นค่ายกลอย่างรวดเร็ว เพราะเธอเห็นว่าค่ายกลคุ้มกันเริ่มสั่นคลอนแล้ว
ลำแสงส่งตัวห่อหุ้มพวกเขาเอาไว้ และพร้อมกันนั้นเองค่ายกลคุ้มกันก็ถูกทำลาย
สัตว์อสูรเทพบุกเข้ามา แต่พวกมันมาทันเพียงแค่คำรามใส่พวกเขาเสียงหนึ่งเท่านั้น มนุษย์เหล่านั้นก็หายลับไปจากสายตาของพวกมันเสียแล้ว
“โฮก…” มีสัตว์อสูรเทพตนหนึ่งที่รวดเร็วอย่างยิ่ง มันคว้าปลายค่ายกลนำส่งเอาไว้แล้วหายตัวไปพร้อมกัน
ณ สถานที่ที่ห่างออกมาจากหุบเขาสิบลี้ คนสิบกว่าคนร่วงหล่นลงมาจากกลางอากาศ ล้มกลิ้งกันอย่างเวียนหัว
“ฉึก…”
ในขณะที่ทุกคนยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ เลยอยู่นั้นเอง ก็ได้ยินเสียงกระบี่วิญญาณทิ่มแทงเข้าไปในร่างกาย
ทุกคนมองไปทางต้นเสียง ก็เห็นกัวเพ่ยเพ่ยกำลังแทงกระบี่เข้าไปกลางหัวใจของสัตว์อสูรเทพตนหนึ่ง
พลังวิญญาณของเธอกดดันเข้าไปในร่างกายของสัตว์อสูรเทพตามกระบี่วิญญาณที่แทงเข้าไป จนหัวใจของมันแหลกสลาย สัตว์อสูรวิเศษตนนั้นร้องโหยหวนอยู่สองสามครั้งก่อนจะสูญสิ้นพลังซีวิตไป
“พี่หญิงใหญ่” กัวเลี่ยงตะโกน
“ตอนส่งตัวมาข้าก็รู้สึกได้แล้วว่ามีสัตว์อสูรเทพติดตามมาด้วย” กัวเพ่ยเพ่ยกล่าว
ดังนั้นนางจึงโจมตีเข้าใส่สัตว์อสูรเทพที่ออกมาจากค่ายกลนำส่งได้ในทันที
“ตอนนี้ข้าทำได้เพียงแค่ค่ายกลนำส่งระยะสั้นเท่านั้น พวกเราอยู่ห่างออกมาจากหุบเขาไม่มากนัก รีบไปจากที่นี่กันก่อนดีกว่า ถ้าหากพวกมันพบพวกเราแล้วติดตามไปก็คงยุ่งยากไม่น้อยเลย” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
จากนั้นทุกคนจึงเหินบินไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับหุบเขา เดินทางกันตลอดคืน เมื่อรู้ว่าแสงอาทิตย์ของวันใหม่โผล่พ้นขอบฟ้าแล้ว พวกเขาจึงค่อยหยุดเดินทาง
“ทุกคนพักผ่อนที่นี่กันดีกว่า” ซือหม่าโยวเย่ว์คาดการณ์ว่าอันตรายผ่านพ้นไปแล้วจึงเอ่ยขึ้น
“เฮ้อ…”
“เดินทางกันตลอดทั้งคืน ปราณวิญญาณในร่างกายก็หมดไปมากมายเลยทีเดียว” เจ้าอ้วนชวีพูดแล้วหยิบยาวิเศษจำนวนหนึ่งออกมากิน
คนอื่นๆ ก็กินยาวิเศษแล้วนั่งลงฟื้นฟูปราณวิญญาณ ซือหม่าโยวเย่ว์นั่งลงข้างๆ ก่อนจะเรียกตัวเจ้าคำรามน้อยและเจ้าวิหคน้อยออกมาถามว่า “ตอนนี้พวกเจ้าทั้งสองเป็นเช่นไรกันบ้าง”
“เย่ว์เย่ว์ ข้าไม่เป็นไรแล้ว” เจ้าคำรามน้อยซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของซือหม่าโยวเย่ว์พลางพูดด้วยท่าทีได้รับการเอาอกเอาใจ
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์ลูบใบหูยาวของมัน หลังจากนั้นจึงมองเจ้าวิหคน้อยพลางเอ่ยว่า “เจ้าวิหคน้อย เจ้าล่ะ”
“เจ้านาย หลังจากพวกเราเข้าไปในเจดีย์วิญญาณก็ค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นมาทันที ตอนนี้กลับมาเป็นปกติแล้ว” เจ้าวิหคน้อยพูด
“พวกเจ้าอยู่ที่นี่แล้วยังรับสัมผัสระลอกคลื่นของหินแก้วผลึกมนตราได้อยู่หรือไม่” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
“ไม่แล้วล่ะ” เจ้าวิหคน้อยและเจ้าคำรามน้อยต่างส่ายหน้า
“ดูเหมือนที่หมัวซาบอกว่าจะไม่แผ่ระลอกคลื่นออกมาในยามกลางวันจะเป็นเรื่องจริงสินะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด “เช่นนั้นตอนนี้พวกเรากลับไปหาหินแก้วผลึกมนตรากันดีกว่า”
“เจ้านาย พวกเราจะหาหินแก้วผลึกมนตราไปทำอะไรหรือ” เจ้าวิหคน้อยไม่เข้าใจ
ของสิ่งนี้มีโทษต่อสัตว์อสูรวิเศษ แล้วจะหาไปทำไมกัน
“หมัวซาบอกว่ามีประโยชน์ ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาจะเอาไปทำอะไร” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
เธอบอกกับทุกคนว่าให้พวกเขารออยู่ที่นี่ ส่วนเธอจะกลับไปยังหุบเขารอบหนึ่ง จากนั้นเธอจึงขี่หลังเจ้าวิหคน้อยบินไปยังหุบเขา
“นั่นคือสัตว์อสูรเทพวิหคสี่ปีกขั้นห้าอย่างนั้นหรือ”
เมื่อคืนเจ้าวิหคน้อยเป็นเพียงร่างจำแลง ดังนั้นพวกเขาจึงมองร่างจริงและระดับขั้นของเจ้าวิหคน้อยไม่ออก เมื่อมาเห็นในวันนี้ จึงพากันตกใจจนสะดุ้ง
“สัตว์อสูรเทพมีพลังยุทธ์ระดับจ้าววิญญาณ ทั้งยังเป็นปรมาจารย์ค่ายกล ดูท่าทางคนของดินแดนอี้หลินคงมิได้ย่ำแย่กันหมดกระมัง!” คนตระกูลกัวต่างรำพึงกันอยู่ในใจ
เจ้าวิหคน้อยนั้นรวดเร็วอย่างยิ่ง เมื่อคืนพวกเขาบินกันตลอดคืนจึงบินออกไปได้ระยะทางไกลเช่นนั้น แต่เจ้าวิหคน้อยใช้เวลาเพียงแค่ชั่วโมงกว่าก็มาถึงแล้ว
ซือหม่าโยวเย่ว์มาถึงในหุบเขาก็เห็นก้อนหินที่โล่งเตียนก้อนหนึ่ง จึงเอ่ยว่า “ดูเหมือนว่าตอนตั้งค่ายเมื่อวาน พวกเราจะละเลยกันไปเอง ตอนนั้นที่เห็นว่าทั่วทั้งหุบเขาไม่มีอะไรเลย ก็น่าจะคิดได้แล้วว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่พวกเรากลับมองข้ามจุดนี้ไปเสียได้”
สัตว์อสูรวิเศษอาจจะมาอาละวาดที่นี่กันทุกคืน มิน่าเล่า พืชพรรณจึงมิอาจเจริญเติบโตขึ้นมาได้เลย
เธอเดินรอบหุบเขารอบหนึ่งแล้วก็ไม่พบก้อนหินที่มีความพิเศษแต่อย่างใด เธอจึงเคาะสร้อยข้อมือพลางเอ่ยว่า “นี่ ข้าไม่รู้จักหินแก้วผลึกมนตราหรอกนะ ท่านจะออกมาหาดูสักหน่อยหรือไม่”
เดิมทีคิดว่าหมัวซาคงไม่มีทางสนใจตน คิดไม่ถึงว่าเธอเพิ่งเอ่ยวาจาออกไป หมัวซาก็ออกมาจากสร้อยข้อมือม่านถัวแล้ว
“ท่านแน่ใจหรือว่าเป็นสิ่งที่ท่านต้องการ” ซือหม่าโยวเย่ว์ถาม
หมัวซาหลับตาลงรับสัมผัสครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้ว คือหินแก้วผลึกมนตรานี่แหละ”
พอพูดจบเขาก็ลอยไปทางใจกลางหุบเขา
ทุกครั้งที่ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นเขาเป็นเช่นนี้ ก็มักจะเกิดความรู้สึกเหมือนว่าได้เผชิญหน้ากับปีศาจขึ้นมา จนอดด่าทอในใจมิได้
ความจริงแล้วท่านคือปีศาจร้ายตนหนึ่ง!
แต่ด่าทอก็ส่วนด่าทอ เธอยังคงสาวเท้าติดตามเขาไป
หนึ่งมนุษย์หนึ่งปีศาจมาถึงยังใจกลางหุบเขา หมัวซาโบกมือ ก้อนหินใหญ่มหึมาก้อนหนึ่งก็ถูกเขายกลอยกระเด็นไป
ซือหม่าโยวเย่ว์สัมผัสพลังของการโบกมือในครั้งนี้ของเขาแล้วลอบกลั้นหายใจ พลังของเจ้าคนผู้นี้ฟื้นฟูกลับมาไม่น้อยแล้ว!
เธอเห็นหมัวซาจ้องมองหินก้อนนั้นแน่วนิ่ง จึงเอ่ยถามว่า “นี่คือหินแก้วผลึกมนตราอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่” หมัวซาพูด
“แล้วท่านนิ่งมองมันทำไมกัน”
“เพราะข้าพอใจจะมอง” หมัวซาตอบอย่างเรื่อยเปื่อย
เอ่อ…
ซือหม่าโยวเย่ว์ถลึงตาใส่เขาพลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน แทบอดใจจะเข้าไปต่อยเขาสักทีไม่ไหว
อย่าเล่นแบบนี้สิ!
แต่หมัวซากลับหมุนกายไปทางตำแหน่งที่ก้อนหินยักษ์วางอยู่เมื่อครู่ราวกับคนไม่มีอะไรทำ
“ขุดตรงนี้เลย” หมัวซาพูด
“ท่านร้ายกาจนักมิใช่หรือ ขุดเองเสียสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์หย่อนก้นนั่งลงบนก้อนหินที่หมัวซาโบกจนลอยกระเด็นเมื่อครู่แล้วใช้สองมือเท้าคาง ก่อนจะเอ่ยพลางยิ้มตาหยี
“ข้าทำได้เพียงแค่การเคลื่อนย้ายสิ่งของเท่านั้น ขุดไม่ได้เสียหน่อย” หมัวซาพูด
“สิ่งตอบแทนเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์แบมือ
“สิ่งตอบแทนอะไรกัน” หมัวซาสงสัย
“ท่านดูสิว่าพลังวิญญาณของท่านในตอนนี้ฟื้นฟูแล้ว พลังยุทธ์ก็เช่นกัน ทั้งหมดนี้ล้วนต้องยกความดีความชอบให้ข้าทั้งนั้นมิใช่หรือ ถ้าหากบอกว่าท่านเป็นคนของข้า ข้าก็คงไม่สนใจหรอก แต่จะเร็วจะช้า ท่านก็ต้องไปจากข้ามิใช่หรือ ข้าจะสูญเสียไม่ได้อีกแล้ว ข้าให้สิ่งของกับท่านไปมากมายถึงเพียงนี้ ตอนนี้ยังจะให้ข้าลงแรงเพื่อท่านอีก ท่านไม่ควรจะให้สิ่งตอบแทนกับข้าสักหน่อยหรือไร”
…………………………………..