สลับชะตา ชายามือสังหาร - ตอนที่ 328 เพลิงชาดจำแลงกาย
“กลิ่นอาย…ดำมืด” ซือหม่าโยวหลินเห็นสภาพของซือหม่าโยวเย่ว์ในตอนนี้แล้วจึงพูดอย่างตกตะลึง
“อ๊ะ…” พอซือหม่าโยวเย่ว์ตะคอกใส่น้ำในลำธารเหล่านั้นแล้วก็อ่อนแรงไม่น้อย หลังจากที่ดิ้นรนอยู่สองครั้ง เธอก็หมดสติไป
“โยวเย่ว์!” เจ้าไก่ฟ้าและซือหม่าโยวหลินวิ่งเข้ามาในทันทีแล้วพยุงเธอขึ้นมา
เจ้าไก่ฟ้าคว้ามือเธอมาตรวจดูชีพจรก่อนเอ่ยว่า “กลิ่นอายในร่างกายนางปั่นป่วนเป็นอย่างยิ่ง ปราณวิญญาณแต่ละชนิดในร่างกายปนกันยุ่งเหยิง หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะเป็นอันตรายถึงชีวิตน่ะสิ!”
สิ่งที่เขาไม่ได้พูดก็คือในบรรดาปราณวิญญาณอันยุ่งเหยิงเหล่านั้น มีขุมหนึ่งที่เป็นสีดำด้วย
“เช่นนั้นจะทำอย่างไรดีเล่า เจ้ามีวิธีช่วยเหลือนางหรือไม่” ซือหม่าโยวหลินถาม
“ข้าทำไม่ได้” เจ้าไก่ฟ้าพูดพลางส่ายหน้า “แต่มีคนทำได้นะ”
“ใครหรือ”
เจ้าไก่ฟ้ายังไม่ทันเอ่ยวาจา เพลิงชาดก็ออกมาจากภายในร่างของซือหม่าโยวเย่ว์
“มีเรื่องอันใดกัน” เพลิงชาดมองเจ้าไก่ฟ้าพลางถามขึ้น
ยามปกติเขามักอยู่ในห้วงนิทราตลอด จะตื่นขึ้นมาเฉพาะตอนที่ซือหม่าโยวเย่ว์มีอันตรายถึงชีวิตเท่านั้น คราวนี้ก็เช่นกัน
เจ้าไก่ฟ้าเล่าความผิดปกติของซือหม่าโยวเย่ว์ที่เกิดขึ้นหลังจากเสียงคำรามของสิ่งมีชีวิตที่ถูกสะกดเอาไว้ให้เขาฟัง หลังจากนั้นจึงเห็นไข่ของเพลิงชาดลุกไหม้ขึ้นมา จากนั้นชายหนุ่มเย็นชาและสง่างามผู้หนึ่งก็เดินออกมาจากกองเพลิง
“ใต้เท้า” เจ้าไก่ฟ้าคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นพลางเอ่ยทักทายด้วยความเคารพ
“ลุกขึ้นเถิด” เพลิงชาดเดินเข้ามารับตัวซือหม่าโยวเย่ว์จากอ้อมแขนของซือหม่าโยวหลิน ก่อนจะคว้ามือเธอมาตรวจชีพจรดูอาการ
กระแสอบอุ่นขุมหนึ่งจากบริเวณที่ทั้งสองกุมมือกันไหลเข้าสู่ร่างกายของเธอ ปราณวิญญาณอันสับสนเหล่านั้นจึงค่อยๆ หยุดลงอย่างช้าๆ แล้วกลับไปยังบริเวณท้องน้อยของเธออย่างเชื่อฟัง ส่วนกลิ่นอายสีดำขุมนั้นก็ไหลเข้าไปภายในปราณวิญญาณแล้วสร้างบริเวณเล็กๆ ขึ้นมา
เพลิงชาดเห็นกลิ่นอายสีดำขลับนั้นแล้วจึงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว
ซือหม่าโยวเย่ว์รู้สึกว่าร่างกายของตนคล้ายกับถูกฉีกทึ้งก็มิปาน ตลอดร่างปวดร้าวหาใดเปรียบ แต่เมื่อกระแสอบอุ่นขุมนั้นเข้าสู่ร่างกายแล้วความเจ็บปวดก็ค่อยๆ เลือนหายไปด้วย
เธอลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ก็เห็นใบหน้าหล่อเหลา ถึงแม้ว่าจะไม่เคยเห็นเขามาก่อน แต่เธอก็รู้ได้ในทันทีว่าเขาคือใคร
“เพลิงชาด…” เธอเรียกชื่อเพลิงชาดคำหนึ่ง เสียงนั้นเบาราวกับเป็นเพียงแค่ลมที่ออกมาจากปากเท่านั้น แต่เพลิงชาดก็ยังได้ยิน
“เจ้าตื่นแล้ว” เสียงของเพลิงชาดเย็นชาอย่างยิ่ง แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับสัมผัสได้ถึงความห่วงใยอันท่วมท้น
ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ยว่า “เพลิงชาด ที่แท้เจ้ามีรูปโฉมงดงามถึงเพียงนี้เชียว”
พอพูดจบเธอก็หมดสติไปอีกครั้ง
เจ้าไก่ฟ้าและซือหม่าโยวหลินเห็นเธอหมดสติไปอีกจึงพากันมองเพลิงชาด
“นางไม่เป็นไรหรอก กินยาวิเศษแล้วพักผ่อนสักหน่อยก็หายดีแล้ว” เพลิงชาดพูดพลางนำเตียงหลังหนึ่งออกมาจากแหวนเก็บวัตถุของเธอแล้ววางตัวเธอลงไป “พวกเจ้าดูแลนางให้ดีล่ะ พอนางฟื้นขึ้นมาแล้วก็พานางไปพบสิ่งมีชีวิตที่ถูกสะกดเอาไว้ตนนั้น”
“ใต้เท้าขอรับ สิ่งมีชีวิตตนนั้นร้ายกาจหาใดเปรียบ จะให้พานางไปจริงๆ หรือขอรับ” เจ้าไก่ฟ้าถามอย่างเป็นกังวล
“หากไปแล้วจะเป็นประโยชน์กับตัวนางเอง” เพลิงชาดพูด “ตอนนี้สภาพร่างกายของนางย่ำแย่อยู่บ้าง หากไปแล้วอาจจะดีขึ้นสักหน่อย”
พอพูดจบเขาก็กลับเข้าไปในร่างกายของซือหม่าโยวเย่ว์
พอเพลิงชาดจากไปแล้ว ความรู้สึกกดดันในอากาศก็หายลับไปในพริบตา
ซือหม่าโยวหลินจึงค่อยรู้สึกว่าหายใจสะดวกขึ้นบ้าง
“เจ้าไก่ฟ้า คนเมื่อครู่นี้คือใครหรือ” ซือหม่าโยวหลินอดถามมิได้
“เขาคือสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาด้วยชีวิตของโยวเย่ว์ ส่วนคือสิ่งใดนั้น อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้เอง” เจ้าไก่ฟ้าพูด “เขาคือบุคคลที่ข้ารอคอยอยู่ ถึงแม้ว่าพวกเราจะเป็นสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาของนางเหมือนกัน ก็มิอาจพูดถึงเรื่องของเขาได้ง่ายๆ”
ซือหม่าโยวหลินเห็นเจ้าไก่ฟ้าพูดอย่างจริงจังเช่นนี้จึงยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่
เธอมีสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาด้วยชีวิตที่ล้ำเลิศเช่นนี้ ทั้งยังมีสัตว์อสูรเหนือเทพ และสัตว์อสูรเทพอีกฝูงหนึ่งที่เป็นสัตว์อสูรผูกพันธสัญญาอีกด้วย พลังยุทธ์ของตัวเองก็แข็งแกร่ง แล้วยังเป็นทั้งนักหลอมยา ปรมาจารย์ค่ายกล และนักฝึกสัตว์อสูรอีกต่างหาก
เมื่อนึกถึงสิ่งเหล่านี้ มุมปากของเขาก็ผุดรอยยิ้มขมขื่นออกมา เขานึกอยากจะไล่ตามรอยเท้าของเธอมาโดยตลอด แต่กลับพบว่าเขาห่างชั้นกับเธอมากมายถึงเพียงนี้ ดูเหมือนว่าจะต้องขยันมากกว่านี้เสียแล้ว!
ซือหม่าโยวเย่ว์กินยาวิเศษลงไป ถึงแม้ว่าจะหลับไปแล้วแต่กลับหลับไปอย่างไม่สงบ ภาพเหตุการณ์ตอนหนึ่งปรากฏขึ้นในห้วงสมองอย่างช้าๆ
“พี่หญิง ตื่นเร็ว พวกเราไปจับกระต่ายวิญญาณกันดีกว่า” ชายหนุ่มใสซื่อคนหนึ่งเข้ามา
ซือหม่าโยวเย่ว์ลืมตาขึ้นก็เห็นชายหนุ่มรูปงามพิสุทธิ์ผู้หนึ่งอยู่เหนือศีรษะตน เขามองเธอพลางยิ้มตาหยี
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าอยากกินกระต่ายย่างอีกแล้วหรือ” ซือหม่าโยวเย่ว์ยิ้มพลางลุกขึ้นนั่ง
“ใช่แล้วๆ กระต่ายย่างที่พี่หญิงทำนั้นอร่อยยิ่งนัก” ซีเหมินเฟิงดึงมือซือหม่าโยวเย่ว์ให้ลุกขึ้นแล้วพูดว่า “พี่หญิง ท่านเร็วหน่อยสิ อีกประเดี๋ยวหากท่านแม่เห็นเข้าก็จะเรียกข้าไปเรียนสิ่งเหล่านั้นอีก”
“เฟิงเอ๋อร์ เจ้าเป็นบุตรชายคนโตของตระกูลซีเหมิน ต้องรับช่วงต่อตระกูลซีเหมินในภายภาคหน้า ท่านแม่ให้เจ้าศึกษาสิ่งเหล่านั้นก็เพื่อที่ในภายภาคหน้าเมื่อเจ้าเป็นประมุขตระกูล จะได้นำพาตระกูลให้ก้าวหน้าไปไกลขึ้นอีกอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด
“ความจริงแล้วพี่หญิงต่างหากเล่าที่เป็นผู้ล้ำเลิศที่สุดในตระกูล ถ้าหากให้ท่านเป็นประมุขตระกูล จะมีใครหน้าไหนกล้ารังแกตระกูลซีเหมินของพวกเราได้เล่า!” ซีเหมินเฟิงพูด
ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เจ้านี่… อย่ามาใช้ข้าเป็นเกราะกำบังเลย ไปเถิด ไปจับกระต่ายวิญญาณกันดีกว่า พอกินแล้วเจ้าต้องรีบกลับไปที่โรงเรียนเลยนะ”
“ก็ได้ พี่หญิงให้ข้าทำ แล้วข้าจะกล้าไม่ทำได้อย่างไรกันเล่า” ซีเหมินเฟิงพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง “ไม่อย่างนั้นในภายหน้า หากท่านไม่ทำของอร่อยให้ข้ากินข้าคงเศร้าแย่เลย”
“เจ้าแมวตะกละ!” ซือหม่าโยวเย่ว์บีบจมูกซีเหมินเฟิงทีหนึ่ง แววตาเต็มไปด้วยความรักใคร่เอ็นดู
ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ก็เปลี่ยนไป ซีเหมินเฟิงมิได้ใสบริสุทธิ์น่าเอ็นดูเช่นนั้นอีกต่อไป บนร่างเต็มไปด้วยคราบโลหิตซึ่งไม่รู้ว่าเป็นของเขาหรือของผู้อื่นกันแน่
เขายืนอยู่ท่ามกลางกองเพลิงพลางตะโกนเสียงดังมาทางซือหม่าโยวเย่ว์ว่า “พี่หญิง ท่านรีบหนีเร็วเข้าสิ!”
“เฟิงเอ๋อร์ พวกเราหนีไปด้วยกันนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์ดึงมือเขาไว้ไม่ยอมปล่อย
ซีเหมินเฟิงสะบัดมือออกจากมือของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วมองเธอพร้อมรอยยิ้มเหมือนกับวันที่ต้องการจะกินกระต่ายย่างนั้นไม่มีผิด
“พี่หญิง เป็นท่านที่คอยปกป้องข้ามาโดยตลอด คราวนี้ให้ข้าได้ปกป้องท่านบ้าง ท่านหนีไปก่อน ข้าจะรอให้อาการบาดเจ็บของท่านหายดีแล้วค่อยกลับมาหาข้า พี่หญิง ข้าจะรอท่านนะ ท่านต้องมีชีวิตรอดนะ”
พอพูดจบเขาก็กระโจนลงมาจากสัตว์อสูรบินได้แล้วโจมตีเข้าใส่ทหารที่ไล่ตามมา พลางมองสัตว์อสูรบินได้พาพี่หญิงที่ตนชอบที่สุดบินไกลออกไปเรื่อยๆ
“พี่หญิง ข้าจะรอท่าน ชาติหน้าข้าก็จะเป็นน้องชายท่านอีก…”
เห็นได้ชัดว่าระยะทางห่างไกลอย่างยิ่ง เสียงที่ลอยมาถึงตรงนี้ก็แสนจะเบา แต่ซือหม่าโยวเย่ว์กลับรู้สึกว่าวาจานี้ก้องสะท้อนอยู่ในหัวตลอด ดังชนิดที่แม้แต่คนหูหนวกยังได้ยิน
“เฟิงเอ๋อร์…” ซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่บนเตียงน้ำตาไหลรินจากหางตา บนใบหน้าซีดขาวนั้นเต็มไปด้วยความเจ็บปวดขมขื่นและการตำหนิตนเอง
“โยวเย่ว์ โยวเย่ว์ เจ้าตื่นสิ” ซือหม่าโยวหลินที่นั่งอยู่ข้างเตียงเห็นซือหม่าโยวเย่ว์น้ำตาไหลรินก็รู้สึกเจ็บปวดหัวใจขึ้นมาในทันใด
เขาเอื้อมมือไปกุมมือเธอเอาไว้ หมายจะมอบพละกำลังให้กับเธอ
“น้องชาย เจ้ารอข้านะ ข้าจะต้องกลับไปหาเจ้าแน่” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดอย่างไม่ได้สติ
“เฟิงเอ๋อร์หรือ น้องชายหรือ” ซือหม่าโยวหลินพึมพำคำพูดของเธอซ้ำ คิดว่านี่อาจจะเป็นเรื่องราวในวัยเด็กก่อนที่เธอจะถูกรับมาเลี้ยงก็เป็นได้ แต่ก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้องนัก เธออยู่ที่ตระกูลซือหม่ามาตั้งแต่เด็กแล้ว จะต้องไม่มีเรื่องราวในวัยเด็กที่ว่านี้สิ
“คนพวกนี้… คือใครกันนะ แล้วเจ้าคนที่ไล่ธารน้ำใต้ดินกลับไปได้… เป็นใครกัน” เขามองซือหม่าโยวเย่ว์แล้วรู้สึกขึ้นมาในทันใดว่าเธอมีความลับซ่อนไว้มากมายเหลือเกิน ถ้าหากเขาไม่ทำให้กระจ่าง ก็จะมิอาจใกล้ชิดเธอได้ตลอดกาล
……………………………