สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 98 เคสที่ 47 ผ้า
ตอนนี้คือช่วงเวลาชมรมหรือเวลาทำงานสภาตามปกติ…
“คริสโตเฟอร์! ช่วยเราด้วย!!!”
ไม่ทันจะได้พักผ่อนหย่อนใจ จู่ๆเจ้ากุมารทองนามว่าขุนทองก็เปิดประตูดังปังและตะโกนบ้าอะไรไม่รู้
“เคาะด้วยดิเฮ้ย”
“บะ บ้าน! บ้านเรา!”
อะไรบ้านๆนะ?
ผมกอดอกถาม
“ไฟไหม้?”
“แย่กว่านั้นอี๊ก!”
“ต้องไปขอบคุณครูสมศักดิ์แล้วสินะ”
สงสัยจะเดินเรื่องทุบศาลเจ้าทิ้งโดยที่ผมยังไม่ทันขอ แหม เย็นนี้ไปซื้อกระเช้าดอกไม้ให้ครูเขาดีกว่า…
“เจ้าคิดเรื่องอะไรอยู่เนี่ย? ไม่รู้ล่ะ! ตามเรามาเดี๋ยวนี้เลย!!!”
ขุนทองลอยเข้ามาคว้าข้อมือผมก่อนจะพาลากออกไปอย่างที่ผมไม่ค่อยเต็มใจนัก หมอนี่คิดว่าสภาเป็นที่ที่แกจะขอให้ใครทำอะไร เมื่อไหร่ ก็ได้เรอะ?
ถึงอย่างนั้นผมก็โบกมือพูดกับสมาชิกสภาคนอื่น
“ขอไปดูหน่อยแล้วกันว่าเจ้ากุมารทองนี่มีเรื่องอะไร ฝากสภาไว้แป๊บนะ”
“ค่าๆ”
พลอยตอบรับแบบนั้น ส่วนดิวไม่สนใจ เรย์ก็กำลังอ่านการ์ตูน
…เมื่อมาถึงศาลเจ้า ก็พบว่าศาลเจ้าถูกตกแต่งด้วยผ้าอะไรสักอย่าง แต่โดยรวมแล้วก็ยังอยู่ในสภาพดี ของถวายเต็มหน้าศาล น้ำแดงที่เยอะยิ่งกว่า
ผมหรี่ตาถามขุนทอง
“นี่ขุนทอง ฉันไม่ได้ว่างนะ”
“เจ้าเห็นนี่แล้วยังไม่รู้สึกผิดสังเกตอีกเรอะ!?”
เอาตรงๆก็ไม่นะ…มันผิดสังเกตจนผมต้องรู้สึกตัวขนาดนั้นเลยเหรอ?
“เอ้าๆ แหกลูกตาดูซะสิ!”
จู่ๆผมก็โดนปลายนิ้วของเด็กแปดขวบแหกลูกกะตา
“เห็นมั้ยๆ!? ผ้าน่ะผ้า!”
“เห็นแล้วโว้ย! แล้วเอ็งจะจกนิ้วเข้าไปหาป้าเอ็งเรอะ!?”
เข้ เล่นซะแสบ ไม่ใช่คำเปรียบเปรย แต่ปลายเล็บไอ้เด็กเวรนี่จกเข้าไปในดวงตาจนแสบเหมือนโดนเผาเลยล่ะ
ขุนทองนั่งขัดสมาธิพลางพึมพำ
“ไม่รู้ใครที่ไหน แต่จู่ๆเอาผ้าสามสีมามัด ไม่ขออนุญาตเราก่อนได้ไงกัน ว่าแต่คริสโตเฟอร์ตาแดงๆรึเปล่า?”
“แล้วมันเพราะใครกันล่ะหา?”
“ป่วยก็ไปหาหมอซะนะ แต่ก่อนจะไปช่วยเราก่อน”
ตูไม่ได้ป่วยบ้าอะไรทั้งนั้น นี่ต้นเหตุมาจากเอ็งล้วนๆ
ขุนทองพูดต่อ
“ผ้าสามสีนี่ไง แกะออกให้เราหน่อย”
“จะแกะไม่แกะไว้ว่าอีกที …ไอ้ผ้าสามสีนี่มันคืออะไร?”
“โอ้? ความเบาปัญญาของคริสโตเฟอร์ที่ไม่ได้เห็นซะนาน!”
“เฮ้ย…”
“แม่หนูนางรำก็ไม่อยู่ซะด้วยสิ ไม่ไหวเลยน้า พออยู่คนเดียวก็มีความรู้เท่าหางอึ่ง ดูเหมือนเราต้องอธิบายให้ฟังแล้วสิเนี่ย~”
“ครับๆ”
อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว อะไรที่เป็นความรู้ก็รับๆไปเถอะ ถึงคนที่เติมน้ำจะน่าหมั่นไส้แค่ไหนก็ตาม
“ผ้าสามสีคือผ้าที่มีสามสี!”
“…”
“เรารู้แค่นี้แหยะ”
เสียเวลาฟังสุดๆ …เรียกพลอยดีมั้ยนะ? ไม่ดีกว่า ลองหาข้อมูลจากเน็ตเอาก็พอมั้ง สมัยนี้ข้อมูลมันหาง่ายจะตาย
เมื่อผมหยิบโทรศัพท์ ขุนทองก็ยื่นหน้าเข้ามา
“จะเล่นเกมเหรอ? เราขอเล่นบ้างสิ”
“ฉันไม่มีเกมในเครื่องหรอก อะไร? แกอยากเล่นเกมเหรอ?”
“เราก็อายุแค่ไม่กี่ขวบเอ๊ง ก็ต้องมีอารมณ์อยากผ่อนคลายให้สมวัยบ้างเป็นธรรมดา แต่ไม่มีใครถวายโทรศัพท์ให้เราเลยน่ะสิ”
ไหนบอกอายุเป็นร้อยปี
ผมถอนหายใจ
“เครื่องนึงก็ไม่ใช่ถูกๆนี่นะ อีกอย่าง คนปกติที่ไหนเขาเอาโทรศัพท์ถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์กันมิทราบ”
เมื่อผมพูดแบบนั้น ขุนทองก็เอามืออุดปากตาโต
“คริสโตเฟอร์เรียกเราว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย!”
“ไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่สิใช่ใช่ใช่! แหมๆ ความเป็นเทพของเราเริ่มจะส่องประกายเข้าลูกตาขุ่นๆของคริสโตเฟอร์แล้วสิเน้อ~”
“…”
ผมเบ้ปากด้วยสีหน้าที่ใครเห็นก็ต้องขยาด
ไม่น่าไปหลุดปากพูดเลย ให้ตายเถอะ
“เดี๋ยวนะ ถ้าแกก็ไม่รู้ว่าผ้าสามสีคืออะไร…”
“ผ้าสามสีก็คือผ้าที่มีสามสี”
ขุนทองพูดแทรกมาแบบนั้น ไม่ยอมอ่อนข้อให้เลยสักนิด
ผมถอนหายใจพูดต่อ
“คือ…ที่แกรู้ก็ไม่ผิดหรอก แต่ที่คนมาผูกไว้เพราะอะไรก็ไม่รู้ใช่มั้ยล่ะ? งั้นทำไมต้องเอาออกแต่แรกด้วย”
“ทำไมวันนี้คริสโตเฟอร์พูดจาน่ารักจัง? นึกว่าจะด่าอะไรเราซะอีก”
“…ช่วยตอบคำถามมาก่อนได้มั้ย…”
ก็แค่ถ้าวัดความน่ารำคาญของตัวตนที่เรียกได้ว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผมว่าขุนทองยังน่าเอ็นดูกว่าเจ้าเทวทูตนั่นเยอะ ดังนั้นวันนี้เลยเผลอพูดจาดีกับมันไปนิด หวังว่าจะไม่เหลิงนะ…
ขุนทองย่นริมฝีปาก
“สีมันไม่สวยอะ แถมทำเราเข้าบ้านลำบากด้วย”
“ลำบาก? หมายความว่าไง?”
“ดูนะ ดูนะ”
ว่าแล้วขุนทองก็พยายามมุดเข้าศาลเจ้าอย่างทุลักทุเล อาจจะเพราะคนที่เอาผ้ามาผูก ผูกไว้ชุ่ยไปหน่อย ถึงได้บังศาลเจ้าซะหมด
สักพักขุนทองก็ออกมา
“เข้ายากสุดๆ ดูสิ มีเศษผ้าติดตัวเรามาด้วย”
“ฟังนะ …คือฉันไม่เคยอยู่ในบ้านของเล่นมาก่อน ไม่รู้หลักการมันเป็นยังไง แต่ถ้าแกบอกว่าเข้ายาก ฉันก็จะเชื่อแล้วกัน”
“ประโยคแรกกับประโยคหลังมันคนละอารมณ์กันไงชอบกล เราไม่รู้จะโกรธหรือขอบคุณดีเลยอะ”
จากนั้น ผมทำการค้นข้อมูลในเน็ต ขุนทองยังคงยื่นหน้าเข้ามาดูอย่างสงสัย อย่างกับคนที่พึ่งเคยเห็นโทรศัพท์ครั้งแรก
เมื่อเสร็จเรียบร้อย ผมก็เก็บลงกระเป๋ากางเกงตามเดิม
“ได้เรื่องว่าไงบ้าง?”
“ดูเหมือนจะเป็นผ้าที่ผูกไว้ให้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์น่ะ งั้นคนที่เอามาผูกก็คงผูกให้เพราะความศรัทธา”
“ยังงี้ก็เอาออกไม่ได้เหรอ?”
“แต่ที่เห็นเมื่อกี้ ปกติเขาจะผูกไว้ที่ฐานมากกว่าเอาผูกรอบตัวศาลนะ”
ผ้าสามสีที่เห็น จะพูดว่าผูก…เอาจริงก็พูดไม่ได้เต็มปากเท่าไหร่ เพราะเหมือนเอามาพันรอบตัวศาลเลยมากกว่า
ผมเหลือบมองศาลข้างๆ
“แล้วตายายแกว่าไงบ้าง?”
“ตายายไปพักร้อนต่างจังหวัดหลายวันแล้ว เรื่องเกิดพอดีตอนพวกท่านไม่อยู่ ไม่งั้นเราไม่มาขอให้คริสโตเฟอร์ช่วยหรอก”
วิญญาณไปพักร้อนงั้นเหรอ…
“กำลังคิดอะไรเสียมารยาทกับคุณตาคุณยายรึเปล่า?”
“เปล่า…แค่คิดว่าจะมีของฝากให้ฉันมั้ย…น่ะ”
“คงไม่หรอกมั้ง? แต่น่าจะมีของมาให้เราแหละ”
…ตกลงไปเที่ยวต่างจังหวัดจริงๆเหรอนั่น? ผมแค่พูดไปเรื่อยเองนะ
ขุนทองลูบหัวผม
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราแบ่งของเราให้คริสโตเฟอร์ก็ได้ อ๊ะ? ลืมไป เจ้าไม่ชอบให้ลูบหัวนี่นา”
“เออ”
“ขอโทษจ้า”
ไม่เชิงไม่ชอบหรอก แค่ตอนปีก่อน เอะอะอะไรยัยนั่นก็ลูบหัวตลอด ทำเอาไม่ค่อยชอบการโดนลูบหัวสักเท่าไหร่ เอ้า…สรุปก็คือไม่ชอบนี่หว่า
“แล้วตกลงเอาออกได้ปะ?”
ผมกุมคางตอบขุนทองไปว่า
“ไม่ค่อยอยากให้เอาออกล่ะนะ อย่างน้อยก็เอาผูกไว้ฐานอย่างที่ควรจะเป็นดีมั้ย?”
“อืม…ยังไงก็เอามาถวายเพราะศรัทธาในตัวเรานี่เนอะ แต่เราไม่ค่อยชอบสีเท่าไหร่เลย…”
“แล้วแกชอบสีอะไร?”
“สีชมพู!”
“ขอบใจ”
“แต่ไม่ใช่สีผมคริสโตเฟอร์นะ สีคริสโตเฟอร์มันฉูดฉาดไปหน่อย”
“เออๆ”
ผมลงมือแกะผ้าที่พันรอบศาลออก จากนั้นเอามาผูกไว้ที่ฐานเหมือนที่เห็นในเน็ตแทน
หลังทำเสร็จ ขุนทองก็พยักหน้าพึงพอใจ
“อืมๆ พอเป็นงี้ดีกว่าเดิมเยอะ เรื่องสีช่างมันแล้วกัน”
“แค่นี้นะ? ฉันไปล่ะ”
“ต่อไปช่วยเอาน้ำแดงที่เรากินแล้วไปทิ้งให้หน่อย”
พอได้ยินเช่นนั้น ผมหันคอกลับไปจ้องใส่ขุนทองที่กำลังทำหน้าคาดหวัง
“เดี๋ยวๆ ฉันไม่ใช่คนรับใช้ส่วนตัวของแกนะ”
“ไม่ใช่แบบน้าน นี่ก็ถือเป็นปัญหาเหมือนกันนะ? คืองี้ๆ ถึงเราจะพอสัมผัสสิ่งของได้ แต่ก็ไม่ได้ทำได้ตลอด ลองให้ต้องเก็บน้ำแดงเกือบร้อยขวดนี่คนเดียวก็แย่กันพอดี”
“ปกติภารโรงน่าจะเก็บให้ไม่ใช่เหรอ?”
“ก็จริง แต่ลุงเขาเก็บไม่ค่อยทันใจเราเท่าไหร่นี่สิ ปกติจะมาอาทิตย์ละครั้ง ไหนๆวันนี้คริสโตเฟอร์ก็อยู่แล้ว ช่วยเราหน่อยเถอะ”
เริ่มจะรู้สึกเสียใจที่มาช่วยมันขึ้นทุกที แต่เอาเถอะ
ผมเอาขวดน้ำแดงเกือบร้อยที่ยังเต็มอยู่ไปทิ้ง ขุนทองให้เหตุผลว่าขวดพวกนั้นมันดื่มไปหมดแล้ว เริ่มจะสงสัยการกินของกุมารทองเข้าไปทุกที…
“เรียบร้อย ฉันไปนะ”
“เอ…บ้านเราเหมือนสกปรกไงไม่รู้ ภารโรงก็เก็บแค่ขยะไม่เคยทำความสะอาดเล้ย คริสโตเฟอร์ช่วยเราหน่อยได้มั้ย?”
สกปรกมันก็สกปรกจริงๆล่ะนะ ทั้งใบไม้เศษฝุ่นคลุมทั่วศาลไปหมด แต่ว่านะ…
“ฉันเริ่มจะรู้สึกว่าเหมือนแกแค่เหงาไงชอบกล…”
สิ้นเสียง ขุนทองก็ชี้ผมด้วยใบหน้าแดงก่ำ
“หา!? เราไม่ได้เหงาสักหน่อย!”
“คุณตาคุณยายไม่อยู่ใช่มั้ยล่ะ? เข้าใจๆ แต่ช่วยเข้าใจฉันหน่อยเถอะ ฉันมีงานสภา จะมาอยู่ช่วยแกจนหมดเวลาชมรม มันไม่ดีกับคนอื่นๆ”
“อะ…อือ”
ขุนทองตอบรับอย่างว่าง่ายด้วยเสียงซึมๆ
อีกฝ่ายไหล่ตกพูด
“ขอโทษที่รบกวน แต่ก็ขอบคุณเรื่องผ้านะ เรื่องนั้นเราอยากได้ความช่วยเหลือจริงๆ”
“…แสดงว่าเรื่องอื่นคือแค่จะรั้งตัวฉันไว้เฉยๆสินะ…”
“อือ…”
เฮ้อ แล้วบอกว่าเป็นผู้ใหญ่นักผู้ใหญ่หนา มุมนี้มันก็เด็กดีๆนี่แหละ
.
.
.
ผมกลับมาห้องสภาโดยทิ้งขุนทองไว้แบบนั้น พอมาย้อนๆดูแล้วก็ดันรู้สึกสงสารมันขึ้นมาซะอย่างนั้น…
“มีอะไรรึเปล่าคะประธาน? กลับมาจากไปช่วยพี่ขุนทองก็ทำหน้าแปลกๆตลอดเลย”
พลอยถามไถ่มาแบบนั้น
ผมปัดมือตอบ
“เคสไม่มีปัญหาหรอก แต่หลังจากนั้นโดนรั้งตัวไว้เพราะเจ้ากุมารทองมันเหงาเฉยๆ”
“เห…พี่ขุนทองก็เหงาเป็นกับเขาด้วยเหรอคะเนี่ย? คิดว่าอย่างพี่ขุนทองที่มีเด็กเคารพนับถือเยอะจะไม่มีเรื่องแบบนั้นซะอีก”
“คนนับถือกับเพื่อนคุยมันคนละเรื่องกันนะ ฉันที่เป็นซาตานเลยพอจะเข้าใจอยู่…”
คนนับถือกับเพื่อนมันแตกต่าง สองอย่างนี้ไม่มีอย่างไหนแทนกันและกันได้ อย่างน้อยจากประสบการณ์ส่วนตัว ผมก็คิดว่าเป็นอย่างนั้น
พลอยกะพริบตาไปสองสามที ก่อนจะคลี่ยิ้มออกมา
“ก็คือประธานเป็นห่วงพี่ขุนทองใช่มั้ยล่ะคะ?”
“ไม่…”
ไม่ทันจะได้เถียงไปจบประโยค เมื่อฃหันไปมองหน้าพลอย…ผมรู้สึกแปลกๆ
ก็เป็นรอยยิ้มตามปกติของยัยผีนางรำนี่นา ทำไมมองแล้วมันถึงรู้สึกใจเต้นกันนะ…
ผมส่ายศีรษะอย่างแรงจนพลอยสงสัย
สุดท้ายผมก็ยอมรับ
“เออๆ ก็เป็นห่วงจริงๆนั่นแหละ แต่ฉันจะไปช่วยอะไรได้? จะให้ไปเป็นเพื่อนเล่นเจ้านั่นทุกวัน ฉันทำไม่ได้หรอก”
ผมมีสภาต้องดูแล มีเคสต้องช่วยเหลือ จะเอาเวลาทั้งหมดไปลงกับคนคนเดียวไม่ได้
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกค่ะ แต่ประธานซะอย่าง น่าจะคิดวิธีช่วยพี่เขาได้นี่คะ?”
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ…อ๊ะ? จริงสิ ก็มีอยู่วิธีนึงนี่”
“อะไรเหรอคะ?”
และผมก็บอกวิธีที่คิดได้กับพลอยไป ถึงพลอยจะดูไม่เห็นดีเห็นงามด้วยเท่าไหร่ แต่สุดท้ายก็ยอมให้ผม และไม่รู้ทำไมถึงได้ยินเสียงกระซิบของเรย์ที่พูดกับดิว เรย์พูดมาแบบนี้…
“…สองคนนี้นี่หวานกันตลอดเลยนะครับ พี่ดิว”
“…ประมาณนี้แหละ”
ได้ยินนะเฮ้ย? นินทาให้มันเบาๆหน่อยเถอะ ขอร้องล่ะ
.
.
.
วันรุ่งขึ้น ก่อนเข้าห้องเรียน ผมที่เดินผ่านศาลเจ้าที่ตั้งอยู่หน้าทางเข้าก็แวะหาขุนทอง
“ขุนทอง อยู่รึเปล่า?”
พอถามไปแบบนั้นพร้อมเคาะศาลเจ้าเบาๆ จังหวะต่อมาขุนทองก็โผล่มาด้านหน้าด้วยลักษณะเหมือนเล่นกล
“ฮ้าว~ อย่าปลุกเราเช้าๆแบบนี้สิ เราจะตื่นเช้าเฉพาะวันที่มีสอบเท่านั้นแหละ”
อย่าไปหลงคิดว่าหมอนี่ต้องเข้าสอบหรือว่าอะไรนะ แค่วันสอบจะมีคนเอาของมาถวายเยอะเท่านั้น อิทธิฤทธิ์ที่พูดไว้ดิบดีแต่สุดท้ายก็ไม่เห็นทำอะไรได้
ผมวางถุงพลาสติกที่ได้จากการไปห้างเมื่อวานลงบนจุดถวาย
“ขอไม่จุดธูปนะ ขี้เกียจ”
“เอ๊ะ? เอามาถวายเราเหรอ?”
ขุนทองสงสัย ก่อนจะเอามือแหวกถุงและหยิบสิ่งที่ผมซื้อมาให้ขึ้นมา
“โทรศัพท์นี่!”
“ทีแรกพลอยก็ไม่เห็นด้วยหรอก แต่อย่างแกคงมีหัวคิดพอจะแบ่งเวลาเล่นโทรศัพท์ใช่มั้ย?”
“มีสิมีๆ! ขอบคุณมากนะ! คริสโตเฟอร์!”
“เออ”
“เดี๋ยวเราไปขอไวไฟจากครูใหญ่ก่อนนะ! ไปล่ะจ้าาา”
นึกแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมหมอนี่ถึงรู้ว่าต้องใช้ไวไฟ แต่เอาเหอะ ถ้าไม่ต้องสอนใช้ก็ประหยัดเวลาไปได้เยอะ
…ใครจะไปคิดล่ะว่าหลังจากนั้น เมื่อตายายกลับมา เขากลับเรียกผมไปดุเสียยกใหญ่ เพราะขุนทองขลุกอยู่แต่ในศาลเล่นแต่เกมทั้งวันทุกวัน จนเด็กนักเรียนไม่เห็นหน้าเป็นอาทิตย์
กลายเป็นผมโดนด่าฟรีซะงั้น เริ่มจะเข้าใจที่พลอยไม่ยอมเห็นด้วยตอนแรกแล้วสิ …แล้วก็นะ ไหนบอกว่าแบ่งเวลาเป็นไงฮึ?
ไอ้กุมารทองเวรเอ๊ย
เคสที่ 47 ผ้า /จบ