สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 96 เศษเสี้ยวเรื่องราวที่สาม ซาตาน (1)
สองเชื้อสายที่ไม่ควรอยู่ร่วมกัน นั่นคือนิยามของตัวตนที่ชื่อว่าคริสโตเฟอร์ หรือตัวผมเอง
ซาตานกับซัคคิวบัส
ทั้งสองอย่างจะชักกะเย่อกันอยู่แทบตลอดเวลา ผมจำเป็นต้องข่มด้านใดด้านหนึ่งเอาไว้ ถึงกระนั้นก็ต้องให้ความสมดุลกับทั้งสอง ไม่ให้อย่างใดอย่างหนึ่งเด่นชัดจนเกินไป
แต่ว่า…มันจะมีบางช่วงเวลาที่เชื้อสายฝั่งใดฝั่งนึงพุ่งสูงเป็นพิเศษอย่างไม่มีเหตุผล
และสำหรับวันนี้ ฝั่งที่สูงกว่าคือซาตาน…
ไม่แน่ใจว่าจะกลับเป็นปกติเมื่อไหร่ แต่ที่แน่ๆคือผมไม่ควรมาโรงเรียน
ต่อให้จะคิดแบบนั้น ผมก็ผ่านคาบเรียนจนมาถึงช่วงเย็นเวลาชมรมได้โดยไม่มีปัญหาเท่าที่ควร …ไม่สิ ควรรีบกลับบ้านตอนนี้เลยมากกว่า
นั่นคือความคิดของผม ในช่วงเวลาที่ผมยังอยู่ชั้นมอสี่ ตอนที่ยังดำรงตำแหน่งรองประธานนักเรียนของสภานักเรียน…
+ +
ห้องสภา
บรรยากาศเงียบสงัด มีเพียงผมที่มองออกไปนอกหน้าต่างพร้อมกับทิ้งร่างให้หงายหลังกับโซฟา
ผีไร้หัวกับกระหังไม่อยู่ คาดว่าผมคงมาถึงสภาเร็วเกินไป ไม่ก็สองคนนั้นคงโดนยัยนั่นลากไปช่วยงานอะไรสักอย่าง
อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ที่ได้พวกเขามาอยู่สภา ความเงียบที่ผมโหยหาก็หาได้ยากขึ้นเรื่อยๆ
จึงนับเป็นเรื่องดีที่ได้อยู่กับตัวเองแบบนี้บ้าง…
ไม่สิ ที่จริงช่วงนี้เราไม่ควรเข้าสภาเลยด้วยซ้ำ
สภาพร่างกายผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้เพราะใช้ร่างของมนุษย์และตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงวัยรุ่นหรือไม่ การยับยั้งอาคมแห่งนรกจึงทำได้ลำบาก
ความเป็นซาตานสูงเกินไป…
เพราะฉะนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่การเปล่งวาจาครั้งต่อไป อาจจะมีอาคมควบคุมจิตใจแฝงออกไปด้วย
ดังนั้น…รีบกลับบ้านดีกว่า ต่อให้กลับเร็ว แต่ผมเริ่มชินกับเสียงบ่นของยัยนั่นแล้วด้วย…
ปัง!!!
“คริส!!!”
เสียงเปิดประตูอย่างแรงเหมือนกลัวประตูไม่พัง พร้อมเสียงทักที่ดังยิ่งกว่า
ผมเหลือบมองอย่างหงุดหงิดใจ และปากก็เผลอพูดไปอย่างทุกที
“หนวกหู”
“มาหนวกหงหนวกหูอะไรกัน นี่ห้องสภาฉัน ฉันจะพูดยังไงก็ได้”
ดีที่ไม่มีอาคมหลุดออกไป อย่างน้อยเรื่องวาจาคำสั่งอาจจะพอวางใจได้บ้าง
ทีแรกผมคิดว่าผีไร้หัวกับกระหังโดนยัยนี่ลากไปช่วยงาน แต่เธอกลับมาคนเดียวจนผมสงสัยถามออกไป
“สองคนนั้นไปไหน?”
“พี่น้ำกับพี่ต้น”
“หา?”
“ถึงสองคนนั้นจะอายุน้อยกว่าฉันก็เถอะ แต่นายยิ่งน้อยกว่าอีก เพราะงั้นเรียกตามที่ฉันบอกซะทีเถอะ ฉันบอกไปหลายรอบแล้วนะ คริส”
“ห่างกันแค่ปีสองปีจะต้องยุ่งยากอะไรขนาดนั้นหา?”
เธอกอดอกพ่นลมหายใจ
“กับฉันน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่สองคนนั้นเดี๋ยวนายต้องดูแลต่อปีหน้านะ? นายจะได้เป็นประธาน แล้วถ้ายังพูดกับรุ่นพี่ไม่มีหางเสียงทั้งที่อยู่ตำแหน่งนั้นล่ะก็ นักเรียนคนอื่นจะมองประธานนักเรียนเป็นยังไงล่ะ?”
“พวกพันทางจะมองยังไง ฉันสนใจที่ไหน”
“เฮ้อ…ดื้อชะมัด”
เธอคือประธานนักเรียนคนปัจจุบัน อยู่ชั้นมอหกที่อีกเทอมหน่อยๆก็จะได้บอกลายัยนี่และได้ขึ้นเป็นประธาน
จนตอนนี้ก็ยังไม่เข้าใจตัวเอง…ผมหลงไปตามลมปากและเข้าสภามาแต่แรกทำไมกัน…
ผมหรี่ตามองประธานนักเรียน
…เด็กสาวร่างกายสมส่วน ส่วนสูงตามค่าเฉลี่ยเด็กสาวอายุสิบแปดปี ใบหน้าก็ธรรมดา เรียกว่าเป็นคนที่เหมือนเอาคำว่าธรรมดามาใส่ในทุกส่วนทุกมุมของร่างกาย กระนั้นก็เป็นคนที่มีความคล่องตัวสูงอย่างมาก
แต่งกายด้วยเครื่องแบบนักเรียนหญิง ปลายกระโปรงอยู่เลยหัวเข่า ไม่สั้นจนถึงขั้นต้องตำหนิ พร้อมด้วยปลอกแขนสีแดงคาดทองที่สลักคำว่าประธานนักเรียน
เธอภูมิใจที่ได้ใส่ปลอกแขนน่าดู จำได้ว่าเคยพูดประมาณ… ‘ปลอกแขนนี่ดีนะ! ยังงี้ใครเห็นก็รู้เลยว่าเป็นฉัน!’ แบบนั้น
ส่วนชื่อก็ “ทราย”
เชื้อสายไม่เด่นชัด หรือก็คือมีแค่พลังวิญญาณ
“สรุป…พี่น้ำกับพี่ต้นไปไหน?”
เมื่อเห็นผมพูดอย่างเสียไม่ได้ ทรายก็ยิ้มออกมา
“คิดว่าเด็กมอห้าที่โดดชมรมจะมีเหตุผลอะไรกันล่ะ?”
“ไม่รู้”
“เพราะฉันสั่งให้ไปพักไงเล่า!”
เหตุผลไม่เห็นจะฟังขึ้นเลย แล้วหล่อนไปให้แรงงานฟรีไม่เสียตังค์พักเฉยๆแบบนั้นได้ไงกัน?
เธอชอบใจที่เห็นผมเงียบไม่เถียง พยักหน้ากับตัวเองสักพักและพูดขึ้น
“ฉันมีเรื่อง…”
“โทษที วันนี้ขอกลับก่อน”
“อ๊ะ!? ขัดคำสั่งประธานนักเรียนงั้นรึ!?”
“…เธอยังไม่ทันได้สั่งอะไรสักหน่อย”
ทรายโบกนิ้ว
“ก็กำลังจะสั่งอยู่นี่ไงเล่า งานน่ะงาน นายเป็นลูกน้องฉันก็ต้องทำตามที่ฉันสั่งสิ”
ผมถอนหายใจและเดินกลับมาที่โซฟา
“วันนี้…ไม่สิ ช่วงนี้ฉันไม่สะดวก”
“หมายความว่าไง?”
“ซาตานสูงไป”
“ไม่เข้าใจเลยสักนิด”
นั่นสินะ กับอีกฝ่ายที่เชื้อสายยังไม่เด่นชัด ผมพูดไปแค่นั้นคงจะรู้เรื่องหรอก
ผมอธิบายด้วยสีหน้าจำใจ
“เชื้อสายซาตานมันกลบอีกฝั่งไปหมด ช่วงนี้ฉันไม่ควรอยู่โรงเรียน การที่ฝั่งซาตานแสดงออกมามากมันมีปัญหา”
หรือลาป่วยสักสัปดาห์ดีล่ะ? จิตตฯเปิดกว้างในกรณีที่เป็นปัญหาด้านเชื้อสาย อย่างผมก็มีเหตุผลให้ลาเหลือเฝือ
แต่ที่มีปัญหาก็ไม่ใช่ผมหรอก ผมเป็นห่วงมนุษย์ธรรมดาใกล้ตัวมากกว่า อาคมที่หลั่งไหลอย่างควบคุมไม่ได้นั้นจะสร้างความอัปโชคให้คนใกล้ตัว…
ทรายเลิกคิ้ว
“ปัญหาเช่น?”
“ควบคุมอาคมไม่อยู่”
“อ๋อ…หมายถึงวาจาสั่งการนั่นสิเนอะ? ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่? แค่นายพูดน้อยๆ คิดก่อนพูดก็พอ …ที่จริงนายก็ควรทำงั้นตลอดนะ ต่อให้จะไม่มีอะไรแบบนี้ก็เถอะ”
“วาจาไม่มีปัญหา จากที่คุยกับเธอก็ไม่เป็นไร ที่ฉันห่วงคืออย่างอื่นมากกว่า ตอนนี้ก็มีอยู่อย่างหนึ่งที่ควบคุมไม่ได้แล้วด้วย”
ผมตอบพร้อมจ้องไปที่เหนือศีรษะของเด็กสาวประธานนักเรียน
“มองอะไรของนายเนี่ย?”
“ช่างเถอะ ให้ฉันกลับบ้านก็จบ จะไปขอลาป่วยกับครูประจำชั้นด้วย ไว้เจอกัน”
ขณะผมกำลังจะออกจากสภา ทรายก็เข้ามาดึงไหล่ผมไว้ก่อน
ผมหันมองด้วยแววตาสงสัย
“โง่จนไม่เข้าใจภาษาเลยเรอะ?”
“นายต่างหากที่ไม่เข้าใจ สภานักเรียนเลยนะ หน้าที่คือแก้ปัญหาให้คนอื่น แต่ตัวเองมีปัญหาแล้วจะหนีกลับได้ไง?”
“พอดีปัญหาฉันไม่ใช่เรื่องที่มีวิธีแก้ และพวกพันทางในโรงเรียนแค่เอาตัวเองยังไม่รอด ใครจะช่วยฉันได้? และฉันก็ไม่ได้อยากให้ใครช่วยด้วย”
“จ้าๆ พ่อคนเก่ง ฉันรู้อยู่แล้วว่านายจะพูดงั้น ที่ฉันจะบอกก็คือ อาคมที่ควบคุมไม่ได้ของนายนั่นน่ะ ปล่อยๆไว้ก็ได้”
“เพื่อ?”
“อาจจะมีวิธีใช้อาคมที่ว่านั่นช่วยเหลือคนอื่นไง? ถึงไม่รู้ว่าเป็นอาคมอะไรก็เถอะ…แต่นายก็ไม่เห็นว่ามีปัญหาไม่ใช่เหรอ? งั้นก็ไม่เห็นต้องหนีไปไหน”
ที่เธอพูดก็สมเหตุสมผล…คิดว่านะ
ผมถอนหายใจ
“เกิดอะไรขึ้นฉันไม่รับผิดชอบนะ”
“รู้แล้วน่า เอาล่ะ! เรื่องที่ฉันอยากให้ช่วย…”
เริ่มจะคิดขึ้นมาแล้วว่าที่ยัยนี่รั้งตัวผมไว้ เพราะอยากให้ช่วยงานเฉยๆรึเปล่า…
.
.
.
ผมรับคำขอของทราย มุ่งหน้ามาที่โรงอาหาร
โรงอาหารของจิตตฯ ต่อให้เป็นช่วงหลังเลิกเรียนก็ยังมีบางร้านเปิดอยู่บ้าง แต่จุดหมายของผมไม่ได้มารับประทานอาหาร แต่มาตามหาคน
ดูเหมือนยัยนั่นจะเล็งเด็กนักเรียนไว้คนนึงอยากให้พาเข้าสภานักเรียน ด้วยความที่ผมต้องขึ้นเป็นประธานนักเรียนปีหน้า เธอเลยอยากให้ผมเป็นคนชวนคนคนนั้นเข้าสภาด้วยตัวเอง
ตอนนี้คนที่จะมาเป็นลูกน้องผมในปีถัดไปก็มีอยู่สามคนแล้ว …ยัยผมขาวนั่นส่งใบสมัครมารึยังนะ? ไว้ต้องไปถามสักหน่อย
คนน้อยกว่าช่วงกลางวันอย่างที่คาดไว้ ส่วนใหญ่คนที่จะอยู่โรงอาหารเวลานี้คือคนที่เกิดหิวในเวลาชมรมและออกมาหาอะไรรองท้อง พวกที่ไม่สังกัดชมรมก็กลับบ้านไปหมดแล้ว คนจึงน้อยเช่นนี้
กระนั้น การจะตามหาคนคนนึงก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ลักษณะเด่นที่ทรายบอกมาของคนคนนั้นก็…
“ผมดำยาว หน้าตาสวยจนตาลุกวาว! หุ่นเพรียวบางแต่แอบมีหน้าอกเล็กน้อย!”
“แค่นั้นใครจะไปรู้หา?”
“นั่นสิเนอะ นายมองมนุษย์เหมือนมองสุนัขนี่นา แค่นั้นคงแยกไม่ออกจริงๆนั่นล่ะ อ๋อ! จริงด้วย! น้องเขามีจุดเด่นที่แบบมองปราดเดียวก็รู้เลยล่ะ!”
“จุดเด่น?”
“ใส่ ‘ชฎา’ ไว้น่ะ”
ตามนั้น ผมต้องตามหาคนที่ใส่ชฎา
ทีแรกก็มีแอบคิดจะหนีกลับบ้านทั้งๆแบบนี้อยู่บ้าง แต่พอได้ยินเข้า เลยรู้สึกว่าน่าสนใจดีเหมือนกัน
แม้เชื้อสายผีสางในประเทศนี้จะมีมากมาย แต่ที่ใส่ชฎาแล้วผมรู้จักก็มีอยู่ไม่กี่ตัว… ผมมาอยู่ประเทศนี้ด้วยเหตุผลบางอย่าง กระนั้น ผมมีความใคร่รู้ตั้งแต่ยังเด็กแล้วว่า…ผีนางรำนั้นคืออะไร?
จากข้อมูลที่ทราบ ผีนางรำก็ใส่ชฎา ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่าคนที่ประธานนักเรียนให้ผมมาชักชวนเข้าสภาจะเป็นผีนางรำก็ไม่ใช่ศูนย์
ก็…ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีล่ะนะ
มองไปมองมาก็พบเข้ากับวัตถุสีทอง
เด็กสาวที่กำลังรับประทานอาหารอย่างเรียบร้อยนั้น สวมชฎาไว้บนศีรษะ
จุดเด่นที่มองปราดเดียวก็รู้สินะ…
ผมคิดเช่นนั้นก่อนเดินเข้าไปหา
“แก…”
ไม่ทันจะได้ทักทายเป็นชิ้นเป็นอัน ผมก็ผงะเพราะสิ่งที่อยู่เหนือศีรษะของเธอ ไม่ใช่ชฎา แต่เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทุกคนจะมองเห็นได้
ทำไม…ถึง…
ในจังหวะนั้นเอง เด็กสาวเงยหน้าขึ้น
“คะ?”
ดวงตาดำขลับจ้องผมด้วยความสงสัย ถ้าว่าจากภายนอกก็เป็นคนสวยอย่างที่ยัยนั่นบอก
…ระหว่างทางมาที่นี่ ผมเดินผ่านนักเรียนมากมาย ‘ตัวเลข’ที่อยู่เหนือศีรษะพวกเขาล้วนอยู่เกณฑ์ปกติ ผิดกันกลับเธอคนนี้…
มันคือตัวเลขหลายหลักที่อ่านค่าไม่ได้ ในกรณีที่ใช้แนวคิดของมนุษย์
ด้วยความเป็นซาตานที่สูงกว่าปกติ ความสามารถขั้นพื้นฐานที่ไม่ควรใช้ในภพมนุษย์จึงเกิดกับผมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในตอนนี้ ผมสามารถมองเห็นสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่า ‘อายุขัย’
และอายุขัยของเธอคนนี้ก็เหลืออีกเพียง…สามวัน
“เอ่อ…มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“หะ อ๋อ…”
สามวันงั้นเหรอ…ไม่สิ อายุขัยผันเปลี่ยนระหว่างสามวันกับอีกหลายปี แสดงว่าที่อายุขัยที่เหลือแค่นี้เกิดจากการแทรกแซงจากสิ่งอื่น
เด็กสาวย่นริมฝีปาก
“ไม่เห็นต้องจ้องกันขนาดนั้นเลยนี่คะ? หรือจะบอกว่าใส่ชฎาผิดกฎเหรอคะ? คุณรองประธานนักเรียน”
ว่าแบบนั้นด้วยสีหน้าหยอกล้อ
แต่ผมไม่ได้จ้องเครื่องประดับของเธอ
ผมส่ายศีรษะก่อนนั่งลง
“เปล่าๆ โทษที”
“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ…แต่อย่างน้อยช่วยบอกหน่อยได้มั้ยว่ามีเรื่องอะไร?”
“กำลังจะพูดนี่ไง ว่าแต่เธอรู้จักฉันอยู่แล้วสินะ?”
“คิกคิก จะไม่รู้จักได้ยังไงล่ะคะ? คุณรองประธานนักเรียนซาตาน คิดว่ายังเหลือใครในจิตตฯที่ไม่รู้จักอีกเหรอคะ?”
“งั้นเหรอ”
“แต่ขึ้นชื่อว่านิสัยไม่ค่อยดี”
“ก็แค่ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองในการวางตัวกับมนุษย์เท่านั้นแหละ”
“นิสัยไม่ดีจริงด้วย!?”
ต่อให้จะพูดแบบนั้น แต่เธอก็ไม่ได้แสดงท่าทีรังเกียจหรือหวาดกลัวแบบที่ผมได้รับจากนักเรียนคนอื่น จะว่าเป็นผู้หญิงแปลกๆที่ผมไม่ค่อยเข้าใจก็ว่าได้
เพราะคนส่วนใหญ่ล้วนมองว่าซาตานเป็นกลุ่มก้อนความอัปโชค ความตาย ความกลัว
นั่นจึงทำให้ผมสงสัยท่าทีของเธอน่าดู
“ไม่กลัวฉันเรอะ?”
“กลัว? ทำไมล่ะคะ? คุณพกมีดมาด้วยเหรอ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น ก็…ฉันเป็นซาตาน”
พอผมพูดแบบนั้น เธอก็ตาค้างไปสักพัก ก่อนจะปัดมือหัวเราะอย่างร่าเริง
“ฮะฮะ คิดว่าดิฉันเป็นตัวอะไรกันล่ะคะ? แค่ซาตานทำดิฉันกลัวไม่ได้หรอกค่ะ”
“…?”
ผมเอียงคอ ทันใดนั้นเธอก็เอามือทาบอกอย่างภาคภูมิใจ
“ก็เพราะดิฉันคือผีที่น่ากลัวที่สุดในประเทศนี้ยังไงล่ะคะ! ผีนางรำค่ะ!!!”
“เห…”
ผมครางในลำคอ เด็กสาวผีนางรำไหล่ตก
“แต่ที่จริงฉันก็พอรู้อยู่น่ะค่ะว่าเรื่องอะไร…”
“งั้นเหรอ?”
“พี่ทรายให้มาชวนดิฉันเข้าชมรมสินะคะ?”
ก็เป็นแบบนั้นจริงๆนั่นแหละนะ แต่นึกสงสัยว่าทำไมเธอถึงรู้ ทั้งที่เธอพึ่งเคยเจอผมครั้งแรก …งั้นก็แสดงว่า
“ยัยนั่นเคยชวนแกเข้าสภาแล้วงั้นเรอะ?”
“ทั้งที่บอกไปตั้งหลายครั้งแล้วว่าดิฉันแค่ช่วยแนะนำเฉยๆ”
“แนะนำ?”
“พอดีพี่ทรายเขาพึ่งเคยเป็นประธานนักเรียน อีกทั้งสภาก็พึ่งเคยมีที่จิตตฯครั้งแรก เลยมาถามดิฉันที่เคยทำงานสภานักเรียนตอนช่วงก่อนย้ายมาจิตตฯน่ะค่ะ”
“มอต้นแกไม่ได้อยู่จิตตฯหรอกเรอะ?”
เธอส่ายศีรษะ
“เปล่าค่ะ ดิฉันอยู่โรงเรียนอื่น พึ่งได้มาเข้าโรงเรียนสำหรับภูตผีเป็นชิ้นเป็นอันก็ปีนี้นี่แหละค่ะ”
แสดงว่าเธอก็คุ้นชินกับคนธรรมดามากกว่านักเรียนคนอื่นๆ เพราะบางคนก็ศึกษาในจิตตฯมาหลายปี…
“ถ้าคุณรองประธานมาชวนเหมือนกันล่ะก็ ขอปฎิเสธค่ะ”
ยื่นคำขาดมาแบบนั้น
ผมกอดอกถาม
“ทำไมล่ะ?”
“ก็ไม่ทำไมหรอกค่ะ…แค่อยากให้ความสำคัญกับชมรมที่สังกัดอยู่ตอนนี้มากกว่า ยังไงชีวิตคนเราก็ไม่ได้ยืนยาวนี่คะ? ยิ่งช่วงวัยรุ่นก็ยิ่งสั้นเข้าไปใหญ่”
“ไม่ยืนยาวสินะ…”
ผมพึมพำพลางมองอายุขัยของเธอ
ไม่แน่ใจว่าที่แทรกแซงคือสิ่งใด แต่ถ้าปล่อยไว้แบบนี้โดยไม่ทำอะไร เธอจะต้องตายในสามวัน
ถึงกระนั้น สิ่งที่ผมทำได้ก็มีเพียงเฝ้าดู ตัวตนเช่นผมเมื่อก้าวลงมายังภพมนุษย์ จะไม่มีสิทธิ์กระทำใดๆก็ตามที่จะส่งผลต่อชะตาลิขิต ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม …ช่วยเหลือนี่ยิ่งไม่ได้เลย
ต่อให้ไม่เข้าสภาก็ไม่มีปัญหา ที่ผมต้องการคือมือเท้าที่จะคอยช่วยเหลือผมในปีถัดไป จะต้องการคนที่อยู่ได้ไม่ถึงสัปดาห์ไปทำไม? แถมยังผิดกฎด้วย
ผมควรจะลุกออกไปสักทีให้พ้นๆ ทว่า…ผมกลับอยากคุยกับผู้หญิงคนนี้ อาจจะเพราะเธอคือผีนางรำที่ผมหลงใหลมาตั้งแต่เด็กๆกระมัง?
“เธอแนะนำไปว่าไง?”
“คะ?”
“ที่แนะนำยัยนั่น…แนะนำประธานนักเรียนไปน่ะ ว่าไปยังไงบ้าง?”
เธอกะพริบตาสองสามที
“เอ… ‘สภานักเรียนควรช่วยเหลือนักเรียนโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน’ น่ะค่ะ”
“ยัยนั่นเอามาจากแกนี่เอง…”
“เห็นด้วยมั้ยล่ะคะ? ลองคิดดูสิ ที่นี่คือจิตตฯนะคะ? สภานักเรียนธรรมดาที่มีหน้าที่คุมประพฤติกับช่วยจัดกิจกรรมมันพอเสียที่ไหน คิดว่าที่นี่มีนักเรียนที่มีปัญหากับเชื้อสายตัวเองมากแค่ไหนกันคะ?”
ผมที่เกิดมาแบบนี้…จึงเข้าใจดีว่าแค่เชื้อสายเป็นอย่างไร ก็สามารถโดนมองด้วยความอคติได้ทันที
แต่ว่า…
“ปัญหาของตัวเองก็จัดการเองสิ จะมัวงอมืองอเท้าให้ใครที่ไหนช่วย? จะใครก็มีปัญหาของตัวเองเหมือนกัน”
“เอ๊ะ? แต่คุณอยู่สภานักเรียนนี่คะ?”
“โดนยัยนั่นลากเข้ามาเท่านั้นล่ะ”
พลอยกอดอกพยักหน้า
“อืมๆ คงโดนบังคับให้เข้าสภานักเรียนสินะคะ…ถึงอย่างนั้นก็เถอะค่ะ ที่คุณพูดเมื่อครู่นี่ใจแคบมากเลยนะคะ?”
“…หนวกหูน่า”
ผมเข้าสภาอย่างเสียไม่ได้ เดิมทีก็ไม่คิดด้วยว่าจำเป็นต้องช่วยเหลือคนอื่น เกิดมาทั้งทีถ้าปัญหาของตัวเองยังไม่มีปัญญาแก้ ก็ตายๆไปซะเถอะ
ผมคิดแบบนั้น
เด็กสาวผีนางรำคลี่ยิ้ม
“งั้นลองคิดแบบนี้ดูสิคะ ฉันพอจะเดาได้น่ะค่ะ ทางคุณก็น่าจะมีปัญหาที่พยายามแก้จนทั้งเหนื่อย ทั้งท้อ …สมมุติในตอนที่ตัวเองเป็นแบบนั้น แล้วมีใครสักคนที่พร้อมจะช่วยเหลืออย่างจริงใจ คิดว่าจะเป็นยังไงคะ?”
ผมอึกอักก่อนตอบไปว่า
“คงรู้สึกดีขึ้น…มั้งนะ”
“ใช่มั้ยล่ะคะ!?”
“แต่ฉันไม่มีคนแบบนั้น”
ที่พอจะเป็นได้คงเป็นทราย แต่เธอเป็นเพียงภูตผีทั่วๆไป แถมบางมุมก็ซื่อบื้อเกินคาด ที่ลากผมเข้าสภานักเรียนอาจจะเพราะอยากให้ตัวปัญหาอยู่ในสายตาจะได้ดูแลง่ายๆก็ได้ ครูใหญ่คงสั่งมาแบบนั้นนั่นแหละ…
เธอยิ้มอีกครั้ง
“ต่อให้ไม่มี แต่ถ้าคุณได้ช่วยเหลือคนอื่นแบบที่คุณไม่มีโอกาสได้ ก็จะไม่มีใครต้องทุกข์แบบคุณแล้วนะคะ?”
ได้ยินแบบนั้น ผมกัดฟันและทุบโต๊ะอย่างแรง
“แล้วทำไมต้องไปช่วยพวกมันด้วย!? ไอ้พวกเส็งเคร็งที่มองแต่ภายนอกเนี่ยนะ!?”
นั่นซาตานนี่น่า กลุ่มก้อนแห่งความชั่วร้ายนี่นา จะมาฆ่าพวกเราแล้ว ถ้าเจอซาตานล่ะก็จะตกนรก
คำพูดเหล่านั้นคือสิ่งที่ผมได้ยินมาตั้งแต่เกิด ไอ้พวกที่มองกันแต่ภายนอกแบบนั้น ไม่สิ…
ผมตะโกน
“ทำไมฉันต้องช่วยพวกมนุษย์โง่เง่าพวกนี้ด้วยล่ะหา!?”
ให้ตายสิ ควบคุมอาคมก็ลำบากแล้ว พอโดนจี้จุดเข้าก็เผลอฟิวส์ขาดไปซะได้…
เด็กสาวผงะไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยื่นมือมาทางผมช้าๆก่อนจะกุมมืออย่างแผ่วเบา
“นั่นคือปัญหาของคุณสินะคะ?”
“…”
“เพราะเป็นซาตาน?”
“…”
ผมพยักหน้าเบาๆ
เธอออกแรงกุมให้แน่นขึ้น
“…ที่ผ่านมา คุณคงมีเรื่องอัดอั้นมาตลอดเลย… ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันเข้าใจ”
“เข้าใจงั้นเหรอ…?”
“แหม…จะบอกว่าเข้าใจเป๊ะๆเลยก็โกหกนั่นแหละค่ะ อืม…บอกไม่ค่อยถูกเหมือนกัน แต่ฉันไม่ค่อยชอบที่คุณทำหน้าแบบนั้นเท่าไหร่เลย…”
“แกจะชอบหรือไม่ก็ช่างแกสิ”
ถึงผมจะแสดงความโมโหออกไป เธอกลับทำเพียงยิ้มออกมา
“เอาแบบนี้แล้วกันค่ะ! อาจจะฟังดูอวดดี แต่ในระหว่างที่คุณช่วยเหลือนักเรียนคนอื่น ดิฉันจะคอยช่วยคุณเอง ฟังดูเป็นไงคะ?”
“พันธสัญญาเรอะ?”
“แค่สัญญาเฉยๆค่ะ”
“แล้วอย่างเธอจะช่วยอะไรฉันได้?”
“ก็…เริ่มจะเป็นเพื่อนกันไงคะ”
“หา…”
ถึงจะเป็นคำพูดแค่นั้น ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกเหมือนได้รับการช่วยเหลือ
เพื่อน…ผมควรจะมีของแบบนั้นงั้นหรือ? ซาตานอย่างผม…
ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมทรายถึงอยากได้ผู้หญิงคนนี้เข้าสภานักเรียน
ไม่ใช่เพราะคำแนะนำ แต่เป็นเพราะจิตใจของเธอมากกว่า
ขนาดกับผมที่พึ่งเจอกันครั้งแรก ยังมอบความอ่อนโยนให้ถึงขนาดนี้ ให้ซาตานอย่างผม…
งั้นก็น่าเสียดายที่คนแบบเธอไม่อายุยืนเท่าที่ควร…
…แต่ผมช่วยเธอได้…
แกอ่อนหัดขนาดนี้เลยงั้นหรือ?
…
แค่ลมปากมนุษย์ ทำแกไขว้เขวได้ขนาดนี้เชียวหรือ?
…เงียบซะ
เป็นเพื่อนแล้วยังไง? คิดว่าจะช่วยแกได้งั้นรึ?
…หุบปาก
สุดท้ายก็จะเหลือแค่แกคนเดียว รู้ตั้งแต่เกิดแล้วนี่? แล้วแกจะอยากมีความสัมพันธ์กับคนอื่นไปเพื่ออะไร? โดนพูดนิดพูดหน่อยก็จะทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบากเลยเรอะ? กับอีแค่ผีตัวเดียวเนี่ยนะ?
“ฉันบอกให้หุบปากไง!!!”
ผมตะโกนให้เสียงในหัว ด้านที่เป็นซาตานไม่ชอบทางเลือกของผมเท่าไหร่นัก ซึ่งมันค่อนข้างหนวกหูน่าดู
และการตะโกนนั้น…ไม่ได้ทำให้เด็กสาวหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ทำให้เธอออกแรงที่กุมมือให้แน่นยิ่งขึ้น
“เป็นอะไรรึเปล่าคะ?”
ทำไมฝ่ามือเธอถึงได้อบอุ่นขนาดนี้กัน
…อย่าไปสนใจ แค่ลาเธอตรงนี้ อีกไม่กี่วันก็จะไม่ได้เจอเธออีก เพื่อนอะไรนั่น…มันไร้สาระ
“…แก”
หยุดซะ ห้ามพูดมากกว่านี้
“หืม? ว่าไงคะ? คุณรองประธาน”
หุบปากแล้วกลับห้องสภาโง่ๆของแกได้แล้ว
“อ๊ะ!? หรือเข้าใจผิดว่าฉันจะบอกชอบ!? หยุดคิดเลยนะคะ! ฉันไม่ใช่สาวใจง่ายที่จะตกหลุมรักคนที่พึ่งเจอหน้านะคะ!”
“แกจะตายในอีกสามวัน”
“…คะ?”
บัดซบเอ๊ย พูดออกไปจนได้
ผมสบถกับตัวเองแบบนั้น
เศษเสี้ยวเรื่องราวที่สาม ซาตาน(กับผีนางรำ) /มีต่อ