สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 93 เคสที่ 45 ไม่...ไม่คุย
“ต้นน~ ฉันมีเรื่องอยากให้ช่วยหน่อย”
น้ำ เด็กสาวที่อยู่ชั้นปีเดียวกัน อีกทั้งยังเป็นเพื่อนสมัยเด็กของผมกล่าวเช่นนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม แม้เธอจะเป็นผีไร้หัวที่ไร้ซึ่งศีรษะ แต่ผมก็พอจะเดาๆได้ว่าเธอกำลังยิ้มอยู่
“ถึงขนาดต้องมาหาที่ห้องเลยเหรอ?”
ผมกับน้ำอยู่สภานักเรียน ต่อให้เป็นอย่างนั้น พวกผมกลับอยู่กันคนละห้อง
ผมห้องหกทับสอง น้ำหกทับสาม
และธุระที่น้ำอยากให้ผมช่วยจนถึงขั้นที่คนขี้เกียจอย่างเธอยอมถ่อมาถึงนี้ คงเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวอะไรสักอย่าง
“เป็นเรื่องสำคัญมากเลยล่ะ จะให้น้องคริสช่วยก็ไม่ได้ด้วยสิ เรื่องนี้น่ะ”
“มีเรื่องที่น้องประธานช่วยไม่ได้อยู่ด้วยเหรอ?”
น้องประธาน…หรือก็คริสโตเฟอร์ ลูกชายของซาตาน จากที่ผมรู้จักกับน้องเขามาได้ปีกว่าๆ แทบนึกไม่ออกเลยว่าต้องเป็นเรื่องอะไรถึงจะขอยืมมือน้องประธานไม่ได้
“โธ่ รายนั้นก็ไม่ได้ทำได้ทุกอย่างสักหน่อย ไม่ไหวเลยน้าพวกนายเนี่ย~ ต่างคนต่างมองว่าอีกคนทำอะไรได้เกินกว่าความเป็นจริง”
“ถึงงั้นก็เถอะ… เฮ้อ ไปคุยกันที่สภาแล้วกัน อยู่กันหลายๆคนน่าจะดีกว่า”
“ไม่ได้ๆ! เธอไม่ชอบอยู่ที่คนเยอะๆ! แล้วห้องสภาเราช่วงนี้ก็แน่นยิ่งกว่าปลากระป๋องซะอีก”
ปลากระป๋อง…อืม ก็แน่นอย่างที่น้ำว่าจริงๆนั่นล่ะ สมาชิกสภาตอนนี้ก็เกือบจะเข้าเลขสิบเข้าไปทุกที ยิ่งมีเอ็มที่ช่วงหลังๆเริ่มจะเห็นแวะเวียนไปห้องสภาบ่อยก็ยิ่งแน่นเข้าไปอีก…
“เดี๋ยวนะ? ‘เธอ’งั้นเหรอ?”
“ใช่ๆ หมายถึงคนนั้นแหละ เพราะงั้นช่วยตามฉันมาหน่อย!”
ว่าแล้วน้ำก็แจ้นออกไป ผมที่ยังงงๆแต่ก็จำใจต้องตามเธอออกไปด้วย
จุดหมายไม่ไกลเหมือนที่เดาไว้ ผมกับน้ำมาอยู่ที่ห้องมอหกทับสามหรือก็คือห้องของน้ำนั่นเอง
น้ำเดินนำไปยังโต๊ะของตัวเอง ผมที่เห็นดังนั้นก็ขมวดคิ้ว
“ไม่ใช่ว่าเธอนั่งหน้าสุดหรอกเหรอ?”
“ไม่รู้หรอกเหรอ? ฉันให้น้องคริสจัดการให้ตั้งแต่เทอมที่แล้วแล้วนะ?”
“อ๋อ…”
เมื่อผมครางในลำคอเหมือนยังไม่หายประหลาดใจ น้ำก็ส่ายหัวอย่างหน่ายใจ
“อย่างนายก็คงไม่รู้อะไรหรอก ยิ่งเทอมก่อนนายยังต้องไปเป็นเบ๊ให้ชมรมอื่นเยอะเลยนี่?”
“โทษที เรื่องนั้นฉันก็ให้น้องประธานจัดการไปแล้วเหมือนกัน”
ดูเหมือนผมกับน้ำจะเคยให้น้องประธานช่วยหลายเรื่องเลยล่ะนะ จะนึกย้อนไปกี่ทีก็น่าขอบคุณจริงๆนั่นแหละ
ผมกอดอกถาม
“แล้วเธอที่ว่านั่นหมายถึงนักเรียนแลกเปลี่ยนที่มาพร้อมเอ็มใช่มั้ย? ชบา…รึเปล่า?”
“ถูกต้อง คนนั้นเลย!”
“จะให้ช่วยเรื่องอะไรฉันก็ไม่รู้หรอกนะ แต่เจ้าตัวที่อยากให้ช่วยไม่อยู่แบบนี้จะทำยังไงล่ะ?”
พอผมถามไปแบบนั้น น้ำก็เอียงคอ
“พูดบ้าไรของนาย? ชบาก็นั่งอยู่นี่ไง?”
“หะ…เฮ้ย!?”
เด็กสาวนักเรียนแลกเปลี่ยนของมัธยมชั้นปีที่หก นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ของโต๊ะข้างๆโต๊ะของน้ำ ไม่ใช่ว่าพึ่งเดินมานั่งหรือว่าอะไร น่าจะนั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
ไม่ได้สังเกตเลยสักนิด ตัวตนจะจืดจางไปหน่อยมั้ยเนี่ย…
เด็กสาวผมดำยาว ตัดหน้าม้าเกือบจะปิดดวงตา รูปร่างก็มีความเป็นผู้หญิงสูงเหมือนน้ำ แต่ด้านบรรยากาศรอบตัวแล้วต่างกันราวฟ้ากับเหว
คงจะเสียมารยาทที่คิดแบบนี้ แต่เหมือนเอาน้องดิวมาอยู่ในร่างของยัยน้ำยังไงยังงั้นเลยล่ะ….
ผมพ่นลมหายใจ
“สวัสดีชบา”
“……”
น้ำแทรกขึ้นมาว่า
“นี่แหละเรื่องที่อยากให้ช่วย”
“ไม่เข้าใจ”
“เห็นขนาดนี้ยังไม่รู้อีกเหรอ? ชบาเธอคุยกับคนอื่นไม่เก่งไง!”
รู้มันก็รู้อยู่หรอก แต่ถึงขั้นมีคนทักทายแล้วยังไม่ตอบนี่ก็ไม่อยากจะคิดเลยว่ามนุษยสัมพันธิ์เลวร้ายถึงขั้นไหน แค่พยักหน้าตอบยังไม่มี
“ให้น้องสไปรท์ช่วยไม่ดีกว่าเหรอ? ฉันว่า…”
“จะบอกว่านายก็คุยกับคนอื่นไม่ค่อยเก่งใช่ปะ?”
“…อ่า”
ถ้าให้เทียบกับน้องประธานแล้ว ต่อให้น้องประธานจะปากร้าย พูดจาไม่ค่อยยั้งคิด แต่โดยรวมแล้วเวลาเขาสนทนากับคนอื่นก็ไม่มีปัญหา
แต่สำหรับผมนั้น เพื่อนสนิทเป็นพิเศษก็ไม่มี…เออ รายนั้นก็ไม่ได้คุยกันนานแล้วด้วย เอาเป็นว่าช่วงที่ผมอยู่จิตตฯก็ไม่ได้คุยกับใครคนไหนเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไหร่
น้ำกอดอกแน่น
“นั่นสิน้า~ นายเป็นคนที่คุยด้วยแล้วอึดอัดสุดๆเลยล่ะ”
“อ่า”
“ถึงงั้นก็เถอะ น้องสไปรท์แนะนำใครเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้หรอก ส่วนนาย! เทอมก่อนได้คุยกับผู้หญิงเยอะเลยนี่! น่าจะพอมีทักษะพูดกับคนอื่นไม่ใช่เหรอ!?”
“มีมันก็น่าจะมีอยู่หรอก แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น! งั้นฉันยกตัวอย่างเป็นแบบนี้นะ นายกับชบามีทักษะพูดคุยในระดับพอๆกัน”
“อืม?”
นี่ผมโดนมองเป็นพวกเก็บตัวพอๆกับผู้หญิงคนนี้เลยงั้นเหรอ…
“แต่ตอนนายคุยกับคนอื่นก็ทำได้ เพราะงั้นก็น่าจะมีเคล็ดลับมาสอนชบาไม่ใช่เหรอ?”
พอว่าแบบนั้น …คงใช่แหละมั้ง?
ผมไตร่ตรองสักครู่
“เข้าใจล่ะ…จริงๆฉันก็ยังไม่เคยทำความรู้จักกับชบาเลยด้วย ฉันต้นนะ ยินดีที่ได้รู้จัก”
“…ซุบซิบๆ”
ชบาหันไปกระซิบข้างหูน้ำ
น้ำชี้นิ้วมาที่หน้าผม
“ชบาบอกว่าตานายดุไป คุยด้วยไม่ไหว”
“น้ำอย่าบอกตรงๆแบบนั้นสิ!”
แปลกใจที่ชบาตะโกนด้วยส่วนนึง แต่ผมกลับต้องกุมขมับด้วยความจริงที่พึ่งรู้ว่าตาผมมันดุขนาดนั้นเลยเหรอ…
“ไม่เห็นไรเลย! หมอนี่ตาแหลมอย่างกับอะไรดี! ไม่รู้คนอื่นมองว่าหล่อไปได้ไง!”
“โทษที ตาฉันมันเป็นงี้ตั้งนานแล้ว”
“ไหนช่วยทำตาปัญญาอ่อนหน่อยดิ๊!”
“ใครจะไปทำได้!”
“เฮ้ออออ ไม่ไหวๆ เดี๋ยวฉันทำให้ดู!”
ทำอะไรนะ?
ว่าแล้ว น้ำก็ยื่นคอมาทางผม ก่อนจะยุกยิกอยู่สักพัก…
“แบบนี้ไง? เข้าใจ๊?”
“โคตรปัญญาอ่อน”
“ใช่มั้ยล่ะ?”
“ปัญญาอ่อนที่เธอคิดว่ามีใครมองเห็นหน้าเธอนี่แหละ!!!”
ยัยบ้านี่ลืมไปแล้วรึไงว่าตัวเองเป็นผีไร้หัว! เหนือต้นคอหล่อนขึ้นไปก็เห็นแต่กำแพงห้องแล้วว้อย!
น้ำไหล่กระตุก
“จริงด้วย! แหม ลืมไปได้ยังไงกันเนี่ย~”
“ที่จริงน้ำไม่ต้องลำบากก็ได้ ฉันโอเค…”
“ไม่ได้ ไม่ได้! อุตส่าห์ยอมเรียกหมอนี่มาช่วยเลยนะ! ยังไงก็ต้องช่วยให้ได้! เป้าหมายคือพรุ่งนี้ต้องคุยกับเพื่อนร่วมห้องให้ได้สักคน!”
ผมสงสัยจึงถามออกไป
“ไม่ใช่ว่าตอนย้ายมาแรกๆมีเพื่อนๆมาชวนคุยแล้วหรอกเหรอ?”
“ก็ต้องมีสิ?”
“แล้วตอนนั้นชบาตอบไปว่าไง?”
“บอกว่า ‘หนวกหู’ น่ะ”
ฟังน้ำพูดดังนั้น ผมก็หรี่ตามองชบา เธอมองลอดผ่านหน้าม้าด้วยใบหน้ารู้สึกผิด ก่อนจะหลบหน้าหนีไปทางอื่น
“นี่ต้น! อย่าโทษเหยื่อได้มั้ย!? ชบาคุยกับคนอื่นไม่เก่ง แถมไม่ชอบคนเยอะๆด้วย! พอโดนรุมถามคำถามแบบนักเรียนแลกเปลี่ยนโดนอย่างที่เห็นในการ์ตูน! คิดว่าอย่างชบาจะรับมือได้หรือไงกัน!?”
“แต่บอกว่าหนวกหูมันก็เกินไปนะ…”
“ตกลงจะช่วยหรือจะบ่น! เริ่มจะรำคาญแล้วนะ!”
“น้ำ…ใจเย็นๆนะ”
ชบาห้ามปราม
พอเห็นแบบนั้น ผมจึงนึกขึ้นได้
“น้ำ”
“ว่าไงต้น”
“ไม่แปลกใจหน่อยเหรอว่าทำไมชบาถึงคุยกับเธอได้ปกติ?”
“ก็เพราะพวกเราเป็นเพื่อนกันไง!”
…ยัยนี่มันโง่ใช่มั้ยเนี่ย…
“ใช่มั้ยล่ะ! ชบา!”
“อะ…อืม!!!”
ชบาตอบรับเสียงดังด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ผมถอดกระด้งฝัดข้าวออกมาจากมือข้างหนึ่ง ก่อนจะลากเก้าอี้จากโต๊ะข้างๆมานั่งฝั่งตรงข้ามกับชบา และหันไปบอกน้ำแบบนี้
“ดูนี่นะ”
น้ำเอียงคอ
ผมทักทายชบาอีกครั้งนึง โดยที่ครั้งนี้เอากระด้งฝัดข้าวปิดหน้าตัวเองไว้
“ฉันชื่อต้น ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ต้น”
เพียงแค่นั้น น้ำก็เข้ามากระชากไหล่ผมพลางออกแรงสะบัดรัวๆ
“เวทมนตร์อะไรกัน! นายทำได้ไงเนี่ย!?”
“คือ…”
“หรือไอ้จานบินนี่มีอาคม? ไหนๆ ขอฉันดูหน่อยซิ!!!”
ขณะน้ำกำลังแย้งกระด้งไปจากผม ผมพูดขึ้น
“ไม่มีอาคมอะไรทั้งนั้น! ฟังนะ ที่ชบาคุยกับคนอื่นไม่เก่งน่ะ เหตุผลก็เพราะไม่ชอบเวลาโดนจ้องต่างหาก”
“ขี้โม้! แล้วที่ชบาคุยกับฉันได้จะอธิบายยังไงยะ?”
“ก็คุณมึ*แม่*เป็นผีไร้หัวไงว้อย!!!”
ผมเผลอตะโกน ชบาไหล่ตกพร้อมเอามือปิดหู ส่วนยัยน้ำก็ออกอาการประหลาดใจ
“โห…พอนายสบถแล้วหยาบกว่าน้องคริสเยอะเลยนะเนี่ย?”
“โทษที…ติดมาจากเพื่อนเก่าน่ะ”
“เข้าใจได้ เข้าใจได้ …แต่ฉันว่าอยู่กับน้องคริสนายลองสบถแบบนี้บ้างก็ดีนะ รู้มั้ยตอนนี้น้องคริสมองนายเป็นเทพบุตรขนาดไหน?”
“อยู่กับน้องประธานก็ทำตัวให้มันดีๆ ไม่ตายหรอกน่า”
กับผู้มีพระคุณแล้ว จะให้ทำตัวแบบไม่คิดอะไรเลยก็คงเสียมารยาทไปหน่อย อย่างน้อยๆแค่การระวังคำพูด ก็ไม่เหลือบ่ากว่าแรง
ไม่อยากให้น้องประธานมองเราเป็นนักเลงนี่นะ…
“เดี๋ยวนะ? แสดงว่าที่เธอคุยกับฉันคล่องนี่! เพราะฉันเป็นผีไร้หัวงั้นเหรอ???”
คำถามน่าอึดอัดเช่นนั้นส่งต่อไปยังชบา
…แต่เพราะอีกฝ่ายเป็นผีไร้หัว ชบาจึงไม่มีท่าทีตะขิดตะขวงใจเลยแม้แต่น้อย
“อืม! ถึงจะไม่อยากบอกก็เถอะ! แต่เพราะน้ำเป็นผีไร้หัวนั่นแหละ!”
“อะเฮื้อ!!!”
น้ำกุมหน้าอกพลางทำท่ากระอักเลือด
อยู่ก็ตั้งมอหก อย่าทำตัวเป็นเด็กๆได้มั้ยเนี่ย
“จะนอยด์ก็เอาไว้ทีหลังนะน้ำ ยังไงตอนนี้ก็รู้ปัญหาแล้วด้วย มาหาวิธีแก้กัน”
“…ค่า”
น้ำตอบเสียงค่อย แต่ขี้เกียจจะสนใจไงชอบกล
ผมกลับมาคุยกับชบา โดยที่เอากระด้งปิดหน้าตามเดิม
“ถ้าแบบนี้คือคุยได้สินะ?”
“ค่ะ!”
“งั้นแบบนี้?”
“……”
เมื่อผมเอากระด้งออก ชบาก็ก้มหน้าลงต่ำทันที
“เธอไม่ชอบที่คนจ้อง แต่ถ้าคุยกันยังไงก็ต้องโดนมองอยู่แล้ว…ทำไงดีล่ะเนี่ย”
ในกรณีที่ไม่ถนัดคุยเพราะไม่ชอบสบตา ก็อาจแก้ได้ด้วยการมองไปที่ระหว่างคิ้วของผู้สนทนาแทน แต่ในเคสของชบาแล้ว ทำแบบนั้นไปก็ไม่ได้ผล
เพราะต่อให้ชบาจะมองไปที่ไหน ก็ถูกจ้องกลับมาอยู่ดี
หรือจะบอกให้คนที่มาคุยหันไปมองทางอื่นแทน…นั่นก็ยากไปหน่อย
“โอ๊ะ?”
“อย่าว่างั้นงี้เลยนะต้น แต่ฉันว่าไม่ใช่ความคิดที่ดีเลยนะ”
“ฉันยังไม่ทันเสนอเลยนะ?”
“อย่างนายทุบกำปั้นพลางร้อง โอ๊ะ? ด้วยสีหน้าแบบนั้น ฉันค่อนข้างแน่ใจเลยว่าไม่ใช่ความคิดที่ดีแน่ๆ”
“ดีไม่ดีไม่ใช่ให้เธอติดสินสักหน่อย รอนี่แป๊บนะ เดี๋ยวฉันมา”
“เดี๋ยว! จะไปไหนน่ะ!”
ผมไม่ฟังคำท้วงของน้ำ พลางวิ่งออกไปนอกห้องพร้อมกับที่ชบาส่งแววตาสงสัยมาให้
…ไม่นานก็กลับมา
“เอ้าฮึบ!”
ผมยัดของที่เอามาด้วยใส่หัวชบา เธอสะดุ้งจนไหล่กระตุก
พริบตานั้นเองที่ฝ่ามือตบมาที่หัวไหล่ผมอย่างแรง
“อยู่ๆเอาบ้าอะไรมาคลุมหัวเพื่อนฉันกันยะ!!!?”
“ตบแรงไปมั้ยเนี่ย!? ฟังนะ! ที่ชบาคุยกับเธอได้ เพราะมองไม่เห็นหน้าเธอเลยรู้สึกว่าไม่โดนจ้องใช่มั้ยล่ะ!?”
“ใช่!”
“คนอื่นไม่ใช่ผีไร้หัวแบบเธอ ถ้างั้นก็ลองกลับมุมมองดูสิ!”
“จะบอกว่า…ถ้าชบามองไม่เห็นใครเลย ก็จะคุยได้งั้นเหรอ???”
“ถูกต้อง!”
นั่นคือเหตุผลที่ผมเอาถุงกระดาษที่เจาะรูไว้สองรูสำหรับมองทางมาคลุมหัวชบา แต่ถ้าเป็นถุงกระดาศเปล่าๆก็ยังไงอยู่ ผมจึงเอาปากกาเมจิคเขียนเป็นหน้าอีโมจิยิ้มไว้ให้ด้วย
ผมสอนวิธีใช้งาน
“ที่เจาะไว้นั่นแค่สำหรับมองทางเท่านั้น ตอนคุยกับคนอื่นก็หลับตาเอาหรือไม่ก็มองไปที่อื่นก็ได้ ไม่มีใครรู้หรอก”
ชบาหันมาทางผมทั้งๆที่หัวคลุมถุงกระดาษ จากระยะนี้ต่อให้เจาะรู แต่จากเงาด้านในจึงทำให้ไม่เห็นดวงตาเลยว่ากำลังมองไปทางไหนหรือหลับตาอยู่กันแน่
แต่เอ…พอเห็นเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเองเอาถุงกระดาษคลุมหัวแล้วมันรู้สึกตลกไงไม่รู้สิ…
ช่างเถอะ! ผมว่านี่แหละสุดยอด!
“สุดยอดเลยใช่มั้ย!?”
“ยอดบ้านป้าแกสิ! นี่ใช่สมองคิดแล้วเหรอยะ!!!?”
น้ำเข้ามาล็อคคอผมแบบหวังกะเอาให้ตาย แต่ต่อให้เธอจะโกรธยังไง คนที่จะตัดสินใจว่าดีหรือไม่ คือตัวของชบาเอง
ผมยิ้มแห้งๆพลางถามชบาขณะโดนล็อคคอ
“เป็นไง? พอใช้ได้มั้ย?”
ชบามองซ้ายมองขวา ครุ่นคิดอยู่สักพัก…
“อืม ฉันว่าดีเลยล่ะค่ะ ขอบคุณมากนะต้น”
ผมไม่ได้เอาอะไรปิดหน้า แต่ชบาก็ตอบผมด้วยน้ำเสียงดีใจมาแบบนั้น
น้ำปล่อยมือ เอามือปิดส่วนที่น่าจะเป็นปาก
“มะ ไม่อยากจะเชื่อ! ความคิดโง่ๆของต้นเนี่ยนะ!?”
“ถ้าจะด่ากันขนาดนั้นก็อย่าเรียกมาช่วยแต่แรกดิเฮ้ย”
“ก็ตอนแรกไม่คิดว่านายจะบ้าขนาดนี้นี่นา! นี่มันระดับเดียวกับน้องสไปรท์แล้วนะ!”
“อย่าพูดถึงน้องเขาแบบนั้นสิ! เธอก็ไม่ต่างกันหรอก!”
พวกผมเถียงกันไปมา ชบาก็หัวเราะบางๆผ่านถุงกระดาษ
“คิกคิก พวกเธอสองคนนี่สนิทกันจังเลยนะคะ”
น้ำเอียงคอตอบ
“ไม่เห็นแปลก ก็สภามีมอหกอยู่แค่ฉันกับหมอนี่ อ๋อ…แต่ไม่ต้องหวังถึงเรื่องรักๆใคร่ๆนะ หมอนี่ใช้โควต้าเพื่อนสมัยเด็กได้เสียดายของสุดๆ”
“เห็นด้วย ถึงจะยังไม่เข้าใจว่าเพื่อนสมัยเด็กนั่น…เธออยากจะสื่ออะไรก็เถอะ”
ผมกับน้ำก็ประมาณนี้
เพราะเป็นเพื่อนสมัยเด็ก เลยสนิทกัน ถึงจะทะเลาะกันบ้างตามประสา แต่ก็ไม่ได้เกลียดกัน
กระนั้นก็ไม่ได้ถึงขั้นจะชอบพอในฐานะเพศตรงข้าม จุดยืนของพวกผมก็เป็นเพียงเพื่อนร่วมรุ่นที่สนิทกันมาก
หรือที่สำคัญอีกอย่าง…
คือพวกผมล้วนแต่เคยถูกน้องประธานช่วยเอาไว้ ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง
…จากนั้นผมก็แยกกับน้ำและชบามาแบบนั้น มุ่งหน้าสู่ตึกชมรมเพื่อไปสภา แน่นอนว่าเอ่ยปากชวนน้ำมาด้วย แต่ผลลัพธ์ก็อย่างที่รู้ๆกัน
อ๋อ สำหรับประเด็นก่อนหน้านี้ เรื่องรักๆใคร่ๆน่ะ ไม่ใช่ว่าผมไม่สนใจหรอกนะ แค่พอดีคนที่ผมสนใจดูจะไม่ค่อยสนเรื่องแบบนั้นสักเท่าไหร่
อีกทั้งยังเป็นรุ่นน้อง ผมไม่กล้าพอจะทำตัวเป็นรุ่นพี่ตามจีบรุ่นน้องหรอก แต่อย่างน้อยตอนอยู่กับเธอ ก็อยากทำตัวให้สมกับเป็นรุ่นพี่ บางทีนั่นอาจเป็นเหตุผลที่ผมเต็มที่กับงานสภาก็ได้
…แค่ได้นั่งมองเธอเคี้ยวขนมเหมือนทุกวัน แค่นั้นสำหรับผมก็พอแล้ว
ผมเคาะประตูและเปิดออกทันที เมื่อมองเห็นด้านในก็พบว่าในห้องสภามีอยู่แค่สองคน แถมยังเป็นสองคนที่ไม่เคยนึกภาพเลยว่าจะอยู่ด้วยกัน
น้องดิวกับเอ็มนั่นเอง
เอ็มนั่งอยู่โซฟา ส่วนน้องดิวอยู่ตรงโซฟาอีกฝั่งแถมยังนอนหันหัวมาทางประตูอีกด้วย
พอเธอเห็นผมเปิดประตู
“…พะ…พี่ต้น!”
ก็ลุกลี้ลุกลนขึ้นมานั่งเคี้ยวขนมตามเดิม เหมือนจะเห็นว่าเธอหน้าแดงหน่อยๆด้วย…
เอ็มคลี่ยิ้ม
“คุณปอบแค่ร้อนนิดหน่อยน่ะครับ แหม อากาศวันนี้ร้อนกว่าทุกที ว่ามั้ยครับ?”
“หะ อะ อืม…”
“ส่วนที่คุณปอบนอนอย่างไม่เหมาะสมเมื่อครู่ ผมขอยืนยันว่าไม่ได้กำลังทำอะไรไม่ดีแน่ครับ”
“ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย…”
“ผมก็พูดเผื่อคุณเกิดสงสัยเท่านั้นเองแหละครับ คุณกระหัง”
ไม่เชิงสงสัย แค่แปลกใจว่าทำไมน้องดิวถึงได้นอนบนโซฟาอย่างที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนแค่นั้นเอง
หรือว่าผมมาขัดจังหวะอะไรรึเปล่า…?
“ไม่ครับ คุณไม่ได้ขัดจังหวะอะไรเลย”
“หะ?”
“เปล่าครับเปล่า…คุณจะไปหาคริสโตเฟอร์ใช่มั้ยล่ะครับ? เขาน่าจะอยู่ตึกเรียนน่ะครับ พอดีโดนครูใหญ่เรียกคุย”
ผมก็กะทำงั้นจริงๆนั่นแหละ ไม่รู้ทำไมเอ็มถึงมาอยู่ห้องสภาได้ ถึงจะมีน้องดิวอยู่ด้วย แต่ผมไม่ค่อยอยากอยู่กับเอ็มทั้งๆที่ไม่มีน้องประธานอยู่ด้วยเท่าไหร่นัก
“งั้นน้องดิว เดี๋ยวพี่ขอตัวไปหาน้องประธานก่อนนะ”
“…ค่ะ”
ไม่ว่าจะมองยังไง ผมก็เห็นว่าดิวหน้าแดงอยู่จริงๆ แต่อากาศวันนี้มันก็ร้อนจริงๆนั่นแหละ
ถ้าเป็นน้ำคงพูดประมาณ ‘น้องดิวเขาเห็นหน้านายเลยเขินน่ะสิ!’ ล่ะนะ แต่อย่างว่า…เอาเหตุผลของยัยนั่นมาประกอบการตัดสินใจได้ที่ไหนกัน
…อืม แต่ผมก็แอบหวังว่าความคิดนั้นจะถูกบ้างสักหน่อยล่ะนะ
เคสที่ 45 ไม่…ไม่คุย /จบ