สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 85 เคสที่ 40 โพเดียม (2)
แม้ช่วงเช้าจะไม่อยู่ในช่วงเวลาสำหรับหาเสียง แต่ก็ยังมีผู้ลงสมัครบางคนที่ออกมาหาเสียงกันอยู่บ้าง ไม่ได้ผิดกฎอะไรหรอก คือถ้าจะทำก็ได้ แต่สำหรับผมแล้วขอไปเริ่มที่ช่วงพักกลางวันดีกว่า
เนื่องจากพักกลางวันของจิตตฯนั้นหลายชั่วโมง ผมจึงเลือกช่วงเวลากึ่งกลางเพื่อที่จะได้มีนักเรียนมาเห็นการปราศรัยของผมมากที่สุด
สถานที่ไม่ได้เป็นทางการอย่างที่หลายคนเดาไว้ ก็คือยกโพเดียมจากห้องเก็บของมาตั้งอยู่ในโรงอาหารโง่ๆ พร้อมด้วยแผ่นป้ายด้านหลังที่ราวกับหลุดออกมาจากงานแต่งซึ่งเขียนไว้ว่า ‘พื้นที่สำหรับหาเสียง ตำแหน่งประธานนักเรียน!’
คำปราศรัยนี้ผมพยายามคิดมาทั้งคืนเพื่อให้ออกมาดีที่สุด กระนั้นพอคิดไปคิดก็ดันคิดได้ว่า กับอีแค่นักเรียนพวกนี้แล้ว ไม่ต้องเตรียมการอะไรขนาดนั้นหรอก
สุดท้ายจึงออกจากบ้านมาทั้งที่หัวโล่งๆ จนมาถึงตอนนี้ที่กำลังรอคิวขึ้นไปยืนบนโพเดียม
ด้านข้างมีเพียงพลอย สมาชิกคนอื่นผมให้ไปพักผ่อนตามอัธยาศัย อย่างไรการหาเสียงครั้งนี้ ถ้าว่ากันตามตรงก็เป็นความรับผิดชอบของผมคนเดียว
ส่วนที่มีแค่พลอยก็…
“ย้ำอีกครั้งนะคะประธาน ต่อให้จะหงุดหงิดยังไง แต่ห้ามเผลอตะโกนหรือด่าคนที่มาฟังเด็ดขาดเลยนะคะ”
นั่นแหละฮะ ท่าทางอย่างกับคุณแม่คุมลูกประกวดงานเต้นอย่างไรอย่างนั้น
“เธอย้ำมาห้ารอบแล้วนะ”
“ถ้าเป็นเรื่องนี้แล้ว ดิฉันว่าควรต้องย้ำสักสิบรอบเป็นอย่างต่ำคะ ไม่งั้นประธานได้พูดอะไรที่ทำให้คนอื่นเกลียดขี้หน้าแน่ค่ะ”
ผมรับฟังผ่านๆ สายตามองไปยังเด็กสาวกับกลุ่มเพื่อนอีกสองคนที่กำลังยืนอยู่บนเวที ผู้สมัครลงตำแหน่งประธานนักเรียนยืนอยู่ด้านหน้าสุด ส่วนด้านข้างอีกสองคนคงเป็นเพื่อนไม่ก็ทีมงาน…
“เข้าใจนะทุกคน! นโยบายของการที่ฉันจะได้ขึ้นเป็นประธานก็คือ! จะอนุญาตให้หยุดสัปดาห์ละสี่วันไปเลย!”
พอเปิดรับใครก็ได้ลงสมัครแบบไม่มีเกณฑ์การคัดเลือกเบื้องต้น จึงได้มีพวกหน้าไม่อายที่คิดว่าถ้าได้เป็นประธานนักเรียนแล้วจะออกกฎมักง่ายแบบไหนออกมาก็ได้…
“ประธานคะ…นั่นใช่คุณแม่นากที่อยู่ชมรมวิจัยอนิเมะฯรึเปล่าคะ?”
เอาจริงก็จำไม่ได้หรอก แต่พอคิดตามที่พลอยบอกแล้ว ต่อให้จำหน้าไม่ได้ ทว่า จากสติปัญญาที่ใช้นโยบายไร้สาระเช่นนั้นในการหาเสียง ผมก็คิดว่าน่าจะใช่
แถมยังใส่เสื้อคลุมสีแดงพร้อมด้วยหมวกฟางอีกต่างหาก คนบ้าขั้นสุดมันมีอยู่ไม่กี่คนหรอก
“หยุดสี่วัน!? ทำได้จริงๆงั้นเหรอ!?”
“นั่นสิ! คงไม่ได้พูดเพราะแค่จะเอาคะแนนของพวกเราเฉยๆใช่มั้ย!?”
คำถามมากมายประเดประดังใส่หัวหน้าชมรมวิจัยอนิเมะ
เธอเท้าเอวพูดด้วยสีหน้าภูมิใจ
“ทำได้แน่นอน! ประธานนักเรียนเลยนะ! แค่ออกกฎแค่นั้นจะไปยากอะไร ใช่มั้ยล่ะทุกคน! ได้ยินแบบนี้ก็เข้าใจแล้วสินะว่าเจ้าลูกซาตานบ้านั่นวันๆไม่ทำบ้าอะไรเลย!!!”
โอ้โห ถ้าไม่ติดว่าคนอยู่เยอะจะขึ้นไปถีบสักที
“ห้ามใช้กำลังนะคะ”
“ฉันยังไม่ได้ขยับสักนิดเลยนะ! รู้ได้ไงเนี่ย!?”
“แหม…แค่สีหน้าของประธาน ดิฉันก็เดาได้แล้วค่ะ”
คุยกันถึงตรงนั้น ที่หัวหน้าชมรมอนิเมะพูดจนพอใจแล้ว และกำลังจะลงจากเวที
“งั้นก็ไว้เจอกันใหม่พรุ่งนี้! ไว้ฉันคิดอะไรดีๆได้จะมาเสนออีก! ไปกันเถอะ! ฝน! เนเน่!”
พร้อมหัวเราะคิกคักให้อีกสองคนด้านหลัง แต่สังเกตได้ว่าสองคนนั้นมีสีหน้าเหนื่อยหน่ายใจน่าดู แล้วก็อย่าจู่ๆพูดชื่อใครก็ไม่รู้ออกมาได้มั้ยเนี่ย
ก่อนที่ผมจะขึ้นไปนั่นเอง ที่โดนเสียงทักจากด้านหลังรั้งไว้ก่อน
“อ้าว? คริสโตเฟอร์กับคุณผีนางรำนี่?”
ตอนแรกอารมณ์ก็ค่อนข้างดีอยู่หรอก แต่พอได้ยินเสียงไอ้บ้านี่แล้วก็ฉุนขึ้นมาทันที
ผมเหลือบกลับไปมอง
“มีอะไร? เอ็ม”
เอ็มคลี่ยิ้ม
“หน้าตาไม่รับแขกเลยนะ ผมแค่บังเอิญผ่านมาเลยถือโอกาสทักทายเฉยๆเอง”
“เออ รับคำทักทายเรียบร้อย จะไปไหนก็ไป”
“ฮะฮะ เหมือนเดิมได้ทุกวันเลยนะ คริสโตเฟอร์เนี่ย”
พลอยที่เห็นว่าบรรยากาศเริ่มจะอึ้มครึ้มขึ้นเรื่อยๆก็ลุกลี้ลุกลนพูด
“อะ เอ่อ…จะขึ้นต่อจากพวกเราเหรอคะ? เอ็ม”
พร้อมวาดฝ่ามือไปทางเวที แต่เอ็มกลับปัดมือ
“เปล่าๆ อย่างผมไม่มีความจำเป็นต้องหาเสียงหรอก เดิมทีก็ไม่ได้เรียนสาขานี้อยู่แล้วด้วย”
“แล้วยังสะเออะทำไอ้การเลือกตั้งบ้าบอนี่ขึ้นมาอีกนะ”
ผมแทรกด้วยเสียงราบเรียบไปแบบนั้น
“ก็บอกแล้วว่าเป็นการประเมินสภา …แต่ผมอยากให้คริสโตเฟอร์จริงจังกับการเลือกตั้งนี่สักหน่อยเหมือนกันนะ พอดีคนอื่นที่ลงสมัครดูไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่ อย่างน้องคนเมื่อกี้ก็มาหาเสียงทุกวัน แล้วนโยบายแต่ละอย่างที่คิดได้นี่ก็นะ…”
“มีแต่นโยบายไร้สาระ”
“ผมจะใช้คำว่าไร้เดียงสาก็แล้วกัน”
เอ็มกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ให้หยุดสี่วันต่อสัปดาห์เอย ให้แต่งกายแบบไหนก็ได้เอย …ส่วนที่พีคๆสุดก็คือให้การสอบผ่านแต่ละวิชาคือแค่เขียนคำตอบลงในกระดาษก็พอ …อะไรแบบนั้น”
ไร้สาระจริงด้วย
พอพูดถึงตรงนั้นเอ็มก็ส่ายศีรษะ
“ยังไงนโยบายพวกนั้นก็ทำไม่ได้จริงอยู่แล้ว ถือซะว่าเป็นสีสันต์แล้วกัน แต่สำหรับคริสโตเฟอร์น่ะ ผมอยากให้นึกนโยบายดีๆที่สามารถทำได้จริง แต่ก็ให้จับใจนักเรียนได้ด้วยล่ะนะ ไม่อย่างนั้นเกิดคริสโตเฟอร์ไม่ได้รับเลือกขึ้นมาก็แย่กันพอดี”
“ถ้าคิดงั้นจะให้เลือกตั้งทำไมแต่แรกกันเล่า”
“ประเมินไง? ผมบอกหลายรอบแล้วนะ”
นักเรียนส่วนใหญ่ที่มารอดูก็คือพวกที่ว่างๆช่วงพักเที่ยงเลยมาหาอะไรดูแก้เบื่อฆ่าเวลา ในเมื่อเวทีว่างมาสักพัก คนก็น้อยลงเรื่อยๆ จะเสียเวลาคุยกับเอ็มต่อไปมากกว่าไม่ได้
“แกกลับศาลาของแกไปเถอะ ถึงจะพักเที่ยง ลูกเคสก็น่าจะเยอะใช่มั้ยล่ะ”
“จริงของคริสโตเฟอร์ แต่พอดีมีคุณเสือสมิงรับหน้าให้อยู่น่ะ”
“…? แล้วพี่น้ำล่ะ?”
เอ็มหัวเราะคิกคัก
“นั่นสินะ คุณผีไร้หัวไม่ได้อยู่ศาลานี่นา”
เกลียดไอ้การตอบเหมือนทิ้งปริศนาแบบนี้จริงๆแฮะ
เอ็มผสานมือไปด้านหลังด้วยท่าทางหนักแน่นพร้อมเอ่ย
“ตอนนี้ผมว่างน่ะ ไหนๆก็บังเอิญเจอกันแบบนี้ ผมขออนุญาตดูการหาเสียงของคริสโตเฟอร์หน่อยดีกว่า”
“ไม่อนุญาต”
“ผมจะไปอยู่แถวนั้นนะ”
และก็ชี้ไปยังด้านหน้าเวทีที่นักเรียนเริ่มหดหายลงเรื่อยๆ ก่อนจะเคลื่อนตัวไปยังทิศทางนั้นโดยไม่สนคำค้านของผมเลยแม้แต่น้อย
อีกทั้งยังรู้สึกได้อีกว่าเหมือนมันกำลังตั้งตารออะไรสักอย่างอยู่ ปกติทำหน้ายิ้มระรื่น พอมีสายตาแบบนั้นแฝงมาก็ยิ่งทำให้รู้สึกไม่สบอารมณ์มากขึ้นไปอีก
เอาเถอะ ที่ทำได้ตอนนี้ก็คือไปกล่าวคำปราศรัยกับนโยบายที่ใช้ได้จริงกับเจ้าพวกหน้าเวทีนี่ล่ะนะ
ผมคิดแบบนั้นพร้อมเดินขึ้นบันไดเล็กๆ ก่อนหยุดอยู่ตรงโพเดียมโดยที่มีพลอยผสานมือเรียบร้อยอยู่ด้านหลัง
“สวัสดีตอนบ่าย จิตตฯ…”
“น่าเบื่อ!”
“กลับสภาของแกไปเลยไป๊!”
พูดยังไม่ทั้งขาดคำก็โดนเสียงโห่ไล่แล้วสิ…
ขณะสงสัยว่าผมโดนคนเขาเกลียดขี้หน้าเยอะเพียงนี้เชียวหรือ พลอยก็กระซิบ
“…ช่วงนี้นักเรียนเขาเอาการทำงานของศาลาพักใจมาเทียบกับสภาอยู่น่ะค่ะ และเสียงส่วนมากก็เห็นว่าฝั่งสภาช่วยได้ไม่เท่าที่ศาลาพักใจทำได้ ดังนั้นเลยพากันไม่ชอบหน้าสภานักเรียนกันมากกว่าที่เคยน่ะค่ะ…”
แสดงว่าอัตราส่วนคนเกลียดกับไม่เกลียดสภาที่ผมเป็นคนดูแล ฝั่งแรกเยอะกว่าปกติสินะ
ไม่แปลกที่ท่าทีจะเป็นแบบนี้ ยิ่งกับตอนนี้ที่มีการลงคะแนนหาประธานนักเรียนคนใหม่ด้วย เรียกว่าเป็นครั้งแรกที่เปิดโอกาสให้ผมมีความเป็นไปได้จะหลุดจากตำแหน่ง
เพราะงั้น…
“ถ้าเป็นทางการแล้วขี้เกียจฟังกัน ฉันจะพูดเหมือนคุยกับเพื่อนแล้วกัน…”
“ประธานมีเพื่อนด้วยเหรอคะ?”
“…เงียบสักแป๊บเถอะน่า”
ผมตำหนิพลอยและพูดต่อใส่ไมโครโฟน
“อย่างที่เข้าใจว่าฉันได้ตำแหน่งประธานนักเรียนมาจากประธานคนเก่า จิตตฯไม่เคยมีการเลือกตั้งแบบนี้มาก่อน นี่จึงเป็นสถานการณ์ที่คงมีหลายคนเฝ้ารอ…”
ต่อให้ผมจะพยายามทำงานสภาดีแค่ไหน แต่มาตรฐานของผมกับที่คนอื่นอยากได้ไม่มีทางตรงกัน ดังนั้นจะมีคนที่คิดอยากให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นก็ไม่แปลก
“ฉันไม่ได้คัดค้านให้มีการเลือกตั้ง อันที่จริงค่อนข้างดีใจด้วยซ้ำ ที่จะได้มีโอกาสดำรงตำแหน่งประธานอย่างชอบธรรม”
การที่ประธานคนเก่าโยนตำแหน่งมาให้ผมเช่นนี้ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้ทำให้ผมดำรงตำแหน่งต่อ ก็จะเหลือแต่ข้อดี
“และที่ฉันอยากพูดวันนี้…ก็แค่อยากขอความร่วมมือให้ลงคะแนนให้ฉันก็เท่านั้น”
““หว๋าย…””
เสียงเหวอๆนั่นมาจากผีนางรำหนึ่ง ส่วนอีกคนคือเจ้าเทวทูตที่เผลออุทานออกมาท่ามกลางความเงียบจากกลุ่มนักเรียน
ผมไม่สนใจ
“นโยบายฉันไม่มีให้ พวกนายก็น่าจะเข้าใจดีว่าประธานนักเรียนไม่ได้ทำได้ทุกเรื่อง นโยบายทุกข้อต้องผ่านความเห็นจากครูใหญ่หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง ไม่ใช่แค่พูดแล้วจะทำได้เลย”
“ก็เลยไม่มีนโยบายอะไรเลยงั้นเหรอ?”
ผมชี้ไปที่เจ้าของคำถามนั้น
“ถูกต้อง แต่ฉันหมายถึงว่าจะไม่มีนโยบายใหม่ๆ หรือก็คือนโยบายที่เป็นอยู่ตอนนี้ของสภานักเรียนก็ดีอยู่แล้วต่างหาก โรงเรียนจะยังเหมือนเดิม คุณภาพก็คงเดิมเช่นกัน”
ฝูงชนพากันขมวดคิ้ว สีหน้าบ่งบอกว่าไม่เข้าใจว่าผมอยากพูดอะไรกันแน่
“สภานักเรียนมีหน้าที่ช่วยเหลือนักเรียน…”
เมื่อผมเกริ่นแบบนั้น ฝูงชนก็จ้องด้วยความสงสัย
“ตั้งแต่ที่ฉันได้ตำแหน่งประธานนักเรียนของสภา ฉันก็ทำหน้าที่นั้นมาตลอด ฉันไม่มีนโยบายขายฝันบ้าบอให้พวกนาย มีเพียงแค่ความมุมามะที่จะช่วยเหลือทุกคนให้สมกับตำแหน่งนี้ก็เท่านั้น”
ใช่แล้ว ผมไม่เคยทำงานสภาโดยหวังสิ่งตอบแทน ผมแค่ต้องการช่วยเหลือนักเรียน
แม้จากสายตาคนภายนอกอาจจะมองว่าผมทำแบบขอไปที แต่นั่นก็แค่คนภายนอก ถ้ารู้จักผมจริงๆจะทราบดีว่าผมให้ความสำคัญกับงานสภามากแค่ไหน ต่อให้จะเป็นเคสไร้สาระก็ตาม
ฝูงชนเริ่มคล้อยตาม
เป็นสัญญาณที่ดี
“คงมีหลายคนในนี้ที่เคยได้รับการช่วยเหลือจากฉันไม่ก็สมาชิกสภาคนอื่น ถึงบางเรื่องอาจจะช่วยไม่ได้มาก แต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ใช่มั้ยล่ะว่าได้ผลลัพธ์ที่ออกมาดีกว่าที่คิด …ดังนั้น สำหรับคนที่ยังไม่เปิดใจกับสภานักเรียน ขอเรียนเชิญให้ลองมาขอความช่วยเหลือจากสภาสักครั้ง รับประกันเลยว่าจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจกลับไปแน่นอน”
ผมมั่นใจแบบนั้น
ถึงตรงนี้บางคนที่ยังแอนตี้สภานักเรียนชุดของผม คงจะเริ่มหวั่นไหว และอยากลองให้สภานักเรียนช่วยดูสักครั้งแล้วล่ะนะ
ผมชกไปอีกหมัดด้วยประโยคต่อไป
“จิตตฯเป็นโรงเรียนสำหรับเชื้อสายภูตผี ด้วยความที่เป็นเช่นนั้น บางครั้งบางทีอาจจะดึงดูดสิ่งอัปรีย์บางอย่างเข้ามาในโรงเรียน ยกตัวอย่างก็เช่นเรื่องที่พึ่งผ่านมาเร็วๆนี้ …เป็นเรื่องที่ทางโรงเรียนเลือกที่จะปิดเป็นความลับ”
นี่จะทำให้ผู้คนเข้าใจว่าผมสุจริตและจริงใจแค่ไหน ถึงขั้นเอาเรื่องลับเช่นนี้มาบอกให้ฟัง
“เรื่องที่ว่าจิตตฯของพวกเราเคยถูกรังควานจากผีลักซ่อน”
เป็นอย่างที่คาด คนส่วนใหญ่รับรู้ถึงคุณสมบัติและความสามารถส่วนใหญ่ของผีลักซ่อนดี แตกต่างจากผมที่พึ่งรู้ตอนเรย์บอก
เพราะงั้นปฎิกิริยาของฝูงชนจึงจริงจังขึ้น
“เป็นวิญญาณร้ายที่มีอาคมกล้าแข็งถึงขั้นลบคนคนนึงให้หายไปได้โดยง่ายราวกับดีดนิ้วเพียงครั้งเดียว มีผู้ตกเป็นเหยื่อสองราย …และก็เป็นเพราะสมาชิกสภานักเรียนในตอนนี้ช่วยเอาไว้ ทั้งสองรายนั้นจึงรอดมาได้”
พลอยรับฟังด้วยความเงียบ พร้อมกับฝูงชนที่เงียบไม่แพ้กัน
“เห…”
ส่วนเอ็มก็ฉีกยิ้มบางๆจ้อง
ผมยกไมค์ขึ้นจากฐานและก้าวช้าๆรอบเวที
“ฉันไม่ได้จะบอกว่านี่เป็นพระคุณที่ต้องขอบคุณหรืออะไร ก็แค่ถ้าเป็นเรื่องประมาณนี้ ในฐานะที่ฉันเป็นประธานนักเรียนและเป็นซาตาน ฉันมั่นใจว่าจะสามารถจัดการกับเรื่องอันตรายแบบนี้ได้อีกในอนาคต …และถ้าเกิดเป็นเรื่องร้ายแรงแบบครั้งนี้ล่ะ? คิดว่าจะมีใครทำได้แบบที่สภานักเรียนทำมั้ย?”
คำถามนั้นทำหลายคนครุ่นคิด
แต่ผมเดาไว้อยู่แล้วว่าผู้ลงสมัครรายอื่นๆก็คงไม่ต่างจากเจ้าผีแม่นากนั่นมากนัก ดังนั้นภาพจำของทุกคนจึงมองไปที่ตัวนโยบายที่ได้ผลดีกับตัว และผมยืนยันไปแล้วว่านโยบายเช่นนั้นมันเป็นไปไม่ได้
ผู้สมัครคนอื่นจัดการวิญญาณร้ายให้งั้นหรือ? ไม่หรอก ไม่มีใครนึกภาพว่าจะทำงั้นได้อยู่แล้ว
ที่ผมทำได้ ก็เพราะทุกคนในที่นี้รู้ถึงความแข็งแกร่งของซาตานดี
และเพราะความแข็งแกร่งและอาคมอันพิลึกพิลั่นนี่เอง หลายคนถึงได้หวาดระแวงตัวตนของผม
มีหนึ่งคนยกมือขึ้น
“ถ้าเกิดเคยมีวิญญาณร้ายแรงขนาดนั้นอยู่โรงเรียนเราจริงล่ะก็…ทำไมพวกเราถึงไม่เคยรู้มาก่อนล่ะ? แบบนี้จะรู้ได้ไงว่าที่นายพูดเป็นเรื่องจริง?”
“จริงด้วย อาจจะโกหกเพื่อให้พวกเราหลงเชื่อก็ได้!”
“ใช่ๆ! มีหลักฐานอะไรมั้ย!?”
เฮ้อ…นี่ละน้า มันจะพวกคนที่สงสัยกับทุกเรื่องตลอดนั่นแหละ
แน่นอนว่าผมอนุมานไว้แล้วว่าจะต้องมีอะไรประมาณนี้ มาตรการรับมือก็เตรียมไว้แล้ว ทว่า…
คู่หญิงสาวคู่นึงพูดขึ้นมา
““ประธานพูดจริงนะคะ!””
ผสานเสียงกันมาแบบนั้น
เมื่อผมมองไป …โชคเข้าข้างแล้วสินะ
ท่ามกลางความเงียบที่รอให้พวกเธอปริปาก พวกเธอเงียบไปครู่นึงและเอ่ย
“ฉันเป็นคนที่ถูกผีลักซ่อนจับตัวไปเอง ถ้าไม่ได้สภานักเรียนช่วยไว้ ป่านนี้จะเป็นยังไงก็ไม่รู้!”
“โกหกหรือเปล่า!?”
“หน้าม้าสินะ! เจ้าลูกซาตานนั่นจ้างมาสิท่า!”
โดนคำถามที่แสดงถึงความคุกคามเข้าใส่แบบนั้น สองเด็กสาวที่คนหนึ่งเป็นคนมายื่นเรื่องเคสผีลักซ่อนกับผม กับอีกคนที่เกือบจะตกเป็นเหยื่อผีลักซ่อนก็พูดอะไรไม่ออก
“ไม่ใช่นะ! พวกนายจำไม่ได้จริงๆเหรอ!? ที่ก่อนหน้านี้มีของหายน่ะ! ใช่มั้ยประธานนักเรียน! เรื่องนี้ก็เกี่ยวกับผีลักซ่อนด้วยใช่มั้ย!?”
จู่ๆก็มีนักเรียนคนนึงพูดมาแบบนั้น
ผมพยักหน้า
“ถูกต้อง ของหายนั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้น แต่ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของผีลักซ่อนทั้งนั้น”
ผมยืนยันออกไป
“ถึงจะมีของหายก็เถอะ! แต่มันจะเป็นหลักฐานได้ไง! ไม่มีอะไรมายืนยันสักนิด!”
“ต่อให้ไม่มีหลักฐานก็เถอะ! ที่พวกนายคิดว่าประธานโกหกก็แค่เพราะไม่ชอบเขาใช่มั้ยล่ะ!?”
พอมองอีกที ก็พบว่าฝูงชนเนืองแน่นจนแทบเต็มโรงอาหารผิดกันกับตอนแรก อีกทั้งตอนนี้ยังแบ่งกันเป็นสองฝ่ายและเถียงกันเสียงดังจนฟังไม่ได้ศัพท์
บ้าจริง ที่ผมต้องการไม่ได้อยากให้ตีกันสักหน่อย
“ประธานคะ…ทำยังไงดีคะ”
ขณะที่พลอยถามเช่นนั้น ผมก็กำลังจะลงจากเวทีไปห้าม แต่แล้วก็มีเสียงนึงที่ก้องกังวานจนผิดปกติดังขึ้น
“พอได้แล้ว”
เสียงที่หนักแน่นและสูงส่งเสียจนไม่น่าจะออกมาจากปากของมนุษย์
ทุกคนพากันปิดปากสนิท ราวกับการเถียงกันอย่างดุเดือดเมื่อครู่เป็นเรื่องโกหก
เจ้าของเสียงนั่นเดินมาอยู่ระหว่างกลางทั้งสองฝ่าย
“ผมไม่อยากให้ทุกคนทะเลาะกัน ถ้าปัญหาเกิดจากความเคลือบแคลงใจว่าคริสโตเฟอร์พูดความจริงหรือไม่ ผมจะเป็นคนตอบคำถามนั้นให้เองครับ”
“…เอ็ม?”
ผมอุทาน
เพราะคนที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนนั้นคือเทวทูตในเสื้อเบลเซอร์
เอ็มผายมือมาทางผม
“จริงอยู่ว่าเรื่องที่คริสโตเฟอร์พูดไม่มีหลักฐาน คนที่ออกมาปกป้องก็อาจจะเป็นแค่หน้าม้าหรือถูกจ้าง…”
ถึงตรงนั้นกลุ่มคนที่เข้าข้างผมก็แสดงท่าทีไม่พอใจ
เอ็มหัวเราะ
“ฮะฮะ ฟังให้จบก่อนสิครับ ต่อให้ไม่มีหลักประกัน แต่ในฐานะที่ผมเป็นเทวทูตแล้ว ขอรับรองเลยว่าคริสโตเฟอร์ไม่ได้โกหกครับ”
กลุ่มคนที่เข้าข้างผมได้ยินเช่นนั้นก็พากันโล่งใจ
แต่ว่าอีกฝั่งนึงไม่เป็นแบบนั้น
“แล้วพวกเราจะแน่ใจได้ไงว่านายไม่ได้โกหกเหมือนกันล่ะ?”
“จริงด้วยๆ”
เอ็มเหลือบมองคนกลุ่มนั้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ก่อนจะพูดประโยคธรรมดา ถึงกระนั้นก็เป็นราวกับคำบัญชาหรือคำตัดสินอันเที่ยงธรรมที่ไม่อาจมีสิ่งใดทำให้แปดเปื้อน…
“‘ผมไม่โกหกครับ’”
“แต่ว่า!?”
“ไม่เข้าใจหรือไงครับ? ถึงผมจะจำแลงมาในรูปร่างมนุษย์ แต่เนื้อแท้ก็เป็นเทวทูต ดังนั้นถ้ายังสงสัยอยู่อีกล่ะก็…”
เอ็มยืนหน้าเข้าไปใกล้เด็กหนุ่มที่ไม่หมดความสงสัยก่อนจะพูดด้วยเสียงราบเรียบ
“ลองมองตาผมแล้วบอกหน่อยสิครับ ว่าผมโกหกรึเปล่า?”
เด็กหนุ่มคนนั้นจ้องตาเอ็มอยู่สักพัก ก่อนจะยอมแพ้และเบือนหน้าหนีไป
เอ็มพยักหน้า
“ขอบคุณมากนะครับ เอ้า! คริสโตเฟอร์ รีบจบการหาเสียงครั้งนี้เถอะ ใกล้จะเข้าเรียนแล้วนะ”
เมื่อถูกโยนไม้ต่อมาให้อย่างไม่ทันตั้งตัว ผมก็อึกอักไปครู่นึง
“อะ เอ่อ…ก็ตามนั้นแหละ ยังไงก็ขอบคุณทุกคนที่มาฟังกันนะ”
ผมกล่าวแค่นั้นและวางไมค์ลงจนพลอยถามขณะที่พากันเดินลงเวที
“ไม่ต้องบอกให้พวกเขาลงคะแนนให้เหรอคะ?”
“แค่นี้ก็พอแล้ว…หงุดหงิดตรงที่เหมือนจะติดหนี้เจ้าเทวทูตบ้านั่นมากกว่าด้วย”
และแล้วการหาเสียงครั้งแรกและครั้งสุดท้ายของผมก็จบลง ถึงจะเหลือเวลาอีกหลายวัน แต่ผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก สุดท้ายจึงตัดสินใจว่าให้การหาเสียงครั้งนี้เป็นตัวตัดสินว่าผมจะได้ดำรงตำแหน่งต่อหรือไม่ …แค่นั้นก็เพียงพอแล้วล่ะ
จริงสิ ภายหลังผมก็ปไถามเอ็มว่าทำไมถึงช่วยผม ซึ่งเจ้าตัวก็บอกประมาณ ‘ตอนแรกว่าจะหาเรื่องแกล้งคริสโตเฟอร์นั่นแหละ แต่ดันเห็นนายจริงจังกว่าที่คาดไว้ เลยอยากช่วยน่ะ’
อืม…กลายเป็นติดหนี้เจ้าบ้านั่นจริงๆแล้วล่ะนะ
เคสที่ 40 โพเดียม /จบ