สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 83 เคสที่ 39 สังเกตการณ์ (2)
แถวคิวยาวเหยียดจนแทบจะทะลุออกไปยันนอกตึก แอบสงสัยว่าพวกนักเรียนที่มาชมรมของเอ็มนั้น เพราะเห็นว่าเอ็มเป็นเทวทูตหรือเทพอะไรเทือกๆนั้นเลยจะมาขอพรรึเปล่า?
“เอ๊ะ? นั่นมันญาติห่างๆไม่ใช่เหรอ!?”
คนที่เข้ามาทักคือเด็กสาวชั้นมอสี่นักเรียนแลกเปลี่ยน ดูเหมือนเธอจะเป็นคนคุมแถว
ซัคคิวบัสชั้นต่ำที่มีดีแค่รูปลักษณ์น่ารักน่าชังไว้ล่อลวงมนุษย์
ผมหรี่ตา
“ฉันไม่นับแกเป็นญาติ”
“ที่นายพูดมันเหมือนเวลาผึ้งบอกว่าไม่ใช่ญาติกันเลยนะ?”
“เกี่ยวอะไรกับผึ้ง?”
“ก็ผึ้งเกิดจากนางพญาตัวเดียวกันใช่มั้ยล่ะ? ต่อให้อยู่กันเป็นร้อยตัว เจอหน้ากันก็นับว่าเป็นญาติอยู่ดี อ๊ะๆ! ไม่ใช่จะบอกว่าฉันเป็นลูกของซัคคิวบัสคนนั้นหรอกนะ แค่จะบอกว่าพวกเราเป็นซัคคิวบัสเหมือนกัน มันก็เลยอะไรประมาณนั้นแหละ”
คงต้องอย่างนั้น ผมจำไม่ได้ว่าแม่ผมเคยมีลูกคนอื่นนอกจากผมด้วย ยัยนี่จึงไม่ใช่ญาติผมแน่
แต่ถ้านับด้านเชื้อสายเหมือนวงตระกูลผึ้งแล้ว ที่เชอรี่พูดก็ถูก…
“ฉันไม่ใช่ผึ้ง แต่แกจะนับว่าตัวเองเป็นก็เรื่องของแก”
“ฉันก็ไม่ใช่ผึ้งสักหน่อย”
ผมขี้เกียจเสวนาไร้สาระ พลันสายตาก็ไปสะดุดกับการแต่งกายของเชอรี่
“…กระโปรงยังสั้นเหมือนเดิมเลยนะ”
เชอรี่ฟังแล้วก็ยกมือปิดหน้าพลางดึงกระโปรงลงต่ำด้วยใบหน้าเขินอาย
“ยะ อย่ามองกันด้วยสายตาแบบนั้นสิ…พวกเราเป็นญาติกันนะ”
“ชิ!”
“โห หงุดหงิดแบบสุดๆเลยแฮะ”
ผมลากสายตามองแถวนักเรียนยาวเหยียด
“…ได้ยินว่าเป็นเลขานุการ โดนลดขั้นให้มาคุมแถวแล้วเรอะ?”
“เปล่านี่? แค่คนมันเยอะกว่าที่สภานักเรียนเคยรับมือนี่เนอะ เอ็มเขาเลยบอกว่าต้องแบ่งคนมาดูแลความเรียบร้อยแถวน่ะ นายคงไม่เข้าใจหรอก ไม่เคยมีลูกเคสเยอะงี้นี่นะ”
“อ้อเรอะ”
“ช่ายๆ …จริงด้วย! เอ็มบอกว่าถ้านายมาให้เข้าไปได้เลยน่ะ”
ไอ้บ้านั่นรอผมอยู่จริงด้วย
“เอ้าๆ มัวรออะไรอยู่ เข้าไปซะสิ!”
ผมโดนเชอรี่ดันหลัง
…เมื่อเข้ามาด้านใน พบว่าบรรยากาศดูสบายและเป็นทางการกว่าที่คาดไว้หลายขุม
ทั้งการจัดวางเฟอร์นิเจอร์อย่างคุ้มค่า ถึงห้องจะเล็กเท่ากับห้องสภา แต่ก็สามารถจัดแจงจนสามารถรับเคสได้อีกถึงสามเคสในเวลาเดียวกัน อีกทั้งตรงมุมห้องยังมีโต๊ะเก้าอี้เล็กๆไว้สำหรับให้สมาชิกนั่งพัก ซึ่งตอนนี้ชบานั่งอยู่
ส่วนฝั่งซ้ายขวาคือภาพที่ผมไม่คิดไม่ฝันจะได้เห็น พี่น้ำกับสไปรท์กำลังคุยกับลูกเคส…
ผมลองสะกิดพี่น้ำ
“หืม? น้องคริสเหรอคะ? ขอโทษทีนะ ตอนนี้พี่รับเคสอยู่ยังไม่ว่างคุยน่ะ”
เห…
รอบนี้ผมลองสะกิดสไปรท์
“แล้วที่นี่นะ การปรับความเข้าใจ…หืม? พี่คริสโตเฟอร์นี่นา? สวัสดีค่ะ แต่ตอนนี้หนูยังไม่ว่าง ไว้ค่อยคุยกันทีหลังนะคะ”
เห…
นับเรื่องความประหลาดใจ พี่น้ำยังไม่เท่าไหร่ แต่ยัยสไปรท์ทำตัวเป็นผู้เป็นคนแบบนี้ได้ด้วยเรอะ? แล้วไอ้ที่พูดมีหางเสียงกับผมนั่นอีก…
โดนสะกดจิตชัวร์ป๊าบ
ต่อจากนั้น ผมเดินไปทางโต๊ะของเอ็ม ที่ตั้งไว้ในตำแหน่งเดียวกับโต๊ะประธานในห้องสภา เห็นแล้วน่าหงุดหงิดจริงๆ
เอ็มกำลังให้คำปรึกษาลูกเคสคนนึงอยู่…
“ชมรมของเราให้การปฎิบัติต่อนักเรียนแตกต่างจากสภานักเรียนที่ทำเหมือนกับไม่ใส่ใจ เพราะงั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหนก็ขอให้คิดซะว่าคุยกับเพื่อนหรือญาติได้แบบครั้งนี้เลยนะครับ …อ้าว? คริสโตเฟอร์ไม่ใช่เหรอ? โทษทีๆ ผมไม่ทันเห็นน่ะ”
“ไม่เห็นได้ไง ตอนพูดแกยังมองหน้าฉันอยู่เลย”
“ฮะฮะ”
ไม่ต้องมาหัวเราะกลบเกลื่อนเลยนะไอ้บ้านี่
เอ็มมองลูกเคสด้วยสีหน้าอย่างกับมองลูกมองหลานพลางเอ่ย
“งั้นก็ตามที่แนะนำไปนะครับ ถ้ามีปัญหาก็มาได้เลย ครูชัยเดช”
เออว่ะ ไอ้คนที่นั่งอยู่มันเจ้าชัยเดชนี่หว่า
ครูชัยเดชลุกขึ้น
“ไว้จะมาอีกแน่นอนครับ! อะ เอ่อ…แล้วแต่ต่อจากนี้ช่วยเรียกผมว่า สาวกชัยเดช ได้มั้ยครับ…”
“ไม่ดีกว่าครับ”
“โอเค”
เอ็มปฎิเสธทันควัน ส่วนครูชัยเดชที่สังเกตเห็นผมก็กระแอมเล็กน้อย
“อะ…อะ อะแฮ่ม …เมื่อกี้แค่การพูดเล่นกับนักเรียนน่ะ”
“ผมยังไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”
“ระ เหรอๆ งั้นครูขอตัวก่อนนะ”
ผมมองส่งครูชัยเดชที่ทำตัวไม่ถูกจนเขาออกไปนอกห้อง เป็นครูภาษาอะไรถึงได้มาพูดมีหางเสียงกับนักเรียนกันหา? ถึงไอ้นี่จะเป็นเทวทูตก็เถอะ
“พอดีครูเขามีปัญหาหนักใจกับที่บ้านนิดหน่อยเลยมาปรึกษาน่ะ”
“ไม่ได้ถาม”
“เผื่อคริสโตเฟอร์สงสัยไง?”
“ไม่สงสัย”
“ขนาดอยู่ในที่ของผมยังทำตัวแบบนี้อีก…แต่ก็นะ ยังไงผมก็ชอบที่คริสโตเฟอร์ทำตัวปกติได้ทุกสถานการณ์นั่นแหละ แล้ว…ที่มานี่มีอะไรเหรอ?”
ผมแค่อยากมาดูให้ชัดๆว่าเจ้าชมรมบ้านี่มันทำงานกันยังไงถึงได้แย่งลูกค้าผมได้ถึงขนาดนี้ ซึ่งจากที่ดูแล้วก็ไม่น่าแปลกใจ นอกจากจะรับลูกเคสอย่างดีเยี่ยมอย่างญาติมิตร บรรยากาศในห้องกลับจริงจังแต่ก็แฝงด้วยความรู้สึกผ่อนคลายอย่างน่าประหลาด…
เอ็มมือป้องปาก
“อ๊ะ! หรือว่าคริสโตเฟอร์ไม่เห็นหน้าผมหลายวันเลยคิดถึงขึ้นมา!?”
“ไม่มีแกนั่งข้างๆ เป็นเรื่องสบายใจที่สุดที่เกิดกับฉันช่วงนี้แล้วล่ะ”
“แย่จัง ผมคิดถึงคริสโตเฟอร์นะ”
“เออ”
ได้ยินเสียงพูดขอบคุณจากโต๊ะด้านหลัง ดูเหมือนสไปรท์กับพี่น้ำจะทำงานได้สมกับที่ควรจะทำในสภานักเรียนเกินคาดจนน่าหงุดหงิด …ในทางกลับกันก็รู้สึกภูมิใจเล็กๆ
“ที่จริงผมก็พอรู้ความต้องการของคริสโตเฟอร์อยู่แล้วล่ะ อยากรู้ว่า ‘ศาลาพักใจ’ ของผมทำงานกันยังไงสินะ?”
“นั่นชื่อชมรมเรอะ?”
“ชื่อนี้สร้างความเข้าใจถึงจุดมุ่งหมายชมรมได้ง่ายน่ะ นอกจากจะรับเคสปัญหาต่างๆแล้ว นักเรียนที่มาเพียงเพราะอยากพูดคุยระบายความอัดอั้นในใจก็มีด้วย เรียกว่าเป็นชมรมที่สร้างขึ้นมาเพื่อทำทุกอย่างให้นักเรียนสบายใจล่ะนะ”
“ชื่ออย่างกับหลุดมาจากละคร”
“ผมอุตส่าห์ถามคนรู้จักที่มีเซนส์ด้านการตั้งชื่อมาเลยนะ?”
คงจะไปถามเทพที่อยู่แถวนี้เอาล่ะมั้ง ยังไงหมอนี่ก็เทวทูต จะเข้าหาเทพที่ต่อให้มีพื้นเพคนละประเทศก็ทำได้ไม่ยาก
เอ็มพยักหน้ากับตัวเอง
“ผมมีหน้าที่ประเมินชมรม และยังเน้นไปที่การประเมินสภานักเรียนเป็นหลัก แต่ว่านะ…รู้แล้วเหยียบไว้ล่ะ คือพวกผู้บริหารก็อยากให้ผมมาจี้หาจุดให้สภานักเรียนต้องโดนยุบนี่แหละ แต่ในเมื่อพวกเราก็รู้จักกันมานาน ผมเลยมีความคิดว่าถ้าการทำงานของผมสามารถเป็นแบบอย่างให้สภานักเรียนปรับปรุงไปในทางที่ดีขึ้นได้…”
“พูดง่ายๆคือต่อให้ฉันนั่งดูการทำงานของพวกแกเพื่อเอาไปพัฒนาสภา แกก็ไม่เกี่ยงสินะ?”
“อืม ผมยินดีให้ความร่วมมือเต็มที่ เป็นไปได้ผมก็อยากให้สภานักเรียนผ่านการประเมิน”
พูดเหมือนคนประเมินไม่ใช่ตัวเองอย่างไรอย่างนั้น แต่มันจะคิดมุมไหน ผมก็ได้เปรียบทั้งนั้น
ผมป้ายนิ้วไปทางโต๊ะมุมห้องที่ชบานั่งอยู่
“งั้นฉันจะไปดูจากตรงโน้นจนหมดเวลาชมรมแล้วกัน”
“เข้าใจล่ะ ถ้าสงสัยในการทำงานของพวกผมตรงไหนก็แย้งได้เลย หรือจะเอากระดาษมาจดก็ได้”
หมอนี่เล่นพูดยั่วโมโหแบบไม่คิดอะไรแบบนี้ได้ ก็นับว่ามีความสามารถน่าดู
ผมย้ายมานั่งตรงข้ามชบาที่โต๊ะมุมห้อง ระหว่างนั้น เห็นลูกเคสที่ต่อคิวเข้ามาไม่ขาดสาย
ผมไลน์บอกสมาชิกสภาว่าวันนี้ให้แยกย้ายกันกลับได้เลย ยังไงก็ไม่มีอะไรให้ทำ แถมผมยังต้องอยู่ตรงนี้จนหมดเวลาชมรมอีก
เมื่อเสร็จเรียบร้อย ผมเอ่ยทัก
“ไง เธออยู่มอหกสินะ?”
“…”
ชบาจ้องหน้าผม แต่สายตาใต้ผมหน้าม้ากลับเหม่อลอยชอบกล
ผมพูดต่อ
“เอ็มเป็นเทวทูต เชอรี่ก็เป็นซัคคิวบัส มีเธอคนเดียวนี่แหละที่เป็นภูตผีซึ่งมีเชื้อสายในประเทศนี้ผิดกับสองคนนั้น เป็นยังไงมายังไงถึงมารู้จักเอ็มได้เนี่ย?”
“…”
จ้อง…
“นางกวักสินะ ฉันลองเปิดรูปดูในเน็ต ใช่เชื้อสายใกล้ๆกับผีนางรำรึเปล่า?”
ผมแยกการแต่งกายไม่ออก แต่สองอย่างนั้นไม่ว่ามองยังไงก็ใส่ชุดไทยด้วยกันทั้งคู่ อาจจะเป็นเชื้อสายใกล้ๆกันก็ได้…
แม้จะสงสัยเช่นนั้น
“…”
“นางกวักเป็นใบ้เรอะ?”
ดิวที่ว่าพูดเท่าที่จำเป็นแล้ว เจอยัยนี่คือต่อให้จำเป็นก็ไม่พูดเลยนี่หว่า
พอผมว่าเช่นนั้น ชบาก็ก้มหน้าลง
“…คนแปลกหน้า …ห้ามคุย”
“เป็นเด็กประถมเรอะ!?”
ทั้งห้องหันมามองเป็นตาเดียว ตามด้วยเสียงตำหนิ
“พี่คริสโตเฟอร์ เสียงดังจังค่ะ”
“น้องคริสคะ นี่ไม่เหมือนห้องสภาที่นึกจะตะโกนก็ตะโกนนะ”
“ถึงผมจะบอกเป็นเชิงว่าจะทำอะไรก็ได้ก็เถอะ แต่แบบนี้มันรบกวนคนอื่นๆนะ? คริสโตเฟอร์”
ผมเดาะลิ้นก่อนปัดมือขอโทษสามคนนั้น
หันกลับมาคุยกับชบาต่อ ถึงจะเหมือนคุยกับกำแพงก็ตาม
“คนแปลกหน้า…เฮ้อ ก็ได้ ฉันชื่อคริสโตเฟอร์”
“…รู้อยู่แล้ว”
“แล้วมันเรียกคนแปลกหน้าได้ที่ไหนกันเล่า”
“…ฉัน…คุยไม่เก่ง”
“แค่ตอบคำถามฉันมาก็ได้”
“…อืม…”
ชบาครุ่นคิด
“…ใช่…ยาว…ไม่ใช่…ไม่ใช่”
หะ หะ หะ? อะไร อะไร? รหัสอะไรสักอย่างเรอะ?
ผมขมวดคิ้ว
ชบาก้มหน้า
“…อยู่มอหก …เรื่องที่เจอน้องเอ็มมันยาวเล่าลำบาก …นางกวักไม่ใช่เชื้อสายเดียวกับผีนางรำ …และฉันไม่ได้เป็นใบ้”
ฟังแล้วก็เก็ทอยู่หรอก แต่ใครสั่งใครสอนให้ตอบคำถามทีละสี่คำถามด้วยคำพูดสั้นๆแบบนั้นแต่แรกกันหา?
“พูดก็พูดเถอะ ถ้าคุยกับคนไม่เก่งล่ะก็…อย่างพี่น้ำน่าจะเป็นไทป์ที่น่าจะคุยด้วยยากไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมถึงได้เอาพี่น้ำมาเข้าไอ้…ไอ้…ศาลาพักใจนี่ได้กันล่ะ?”
ชื่อชมรมพูดแล้วกระดากปากยิ่งนัก
อย่างพี่น้ำที่ร่าเริงจนเกินพอดีแล้ว ผมคิดว่าน่าจะเป็นประเภทที่คนเงียบๆแบบชบาพูดคุยด้วยยาก
“…ที่จริงน้องเอ็มเป็นคนชวนน่ะ …แต่ฉันก็คุยกับน้ำได้ปกติ…”
“สรุปคุยกับคนเก่งหรือไม่เก่งเนี่ย?”
“ก็…น้ำไม่มีหัว เลยรู้สึกเหมือนคุยกับอากาศ”
เข้ เกือบหลุดขำแล้วไง
…อืมๆ เข้าใจล่ะ ส่วนใหญ่เวลาคุยกับคนอื่นลำบากจะเพราะมีปัญหาด้านการสบตาระหว่างสนทนา ดังนั้นกับพี่น้ำที่เป็นผีไร้หัวเลยไร้ปัญหา
“อะ เอ่อ…อย่าบอกน้ำนะ เดี๋ยวน้ำจะโกรธเอา…”
“ไม่บอกๆ แต่พี่น้ำคงไม่โกรธหรอกน่า เผลอๆจะมองเป็นเรื่องตลกด้วย”
“…คริสโตเฟอร์คิดว่าตลกเหรอ?”
“ท้องแข็งเลยล่ะ”
“…อืม”
นักเรียนยังคงเข้ามาไม่ขาดสาย ผมที่แค่สังเกตการณ์เฉยๆก็ว่างเกินพอดี เลยตัดสินใจถามต่อในประเด็นที่ยังฉงน
“ไหนๆก็ว่างแล้ว ช่วยเล่าเรื่องตอนเจอเอ็มให้ฟังหน่อยได้มั้ย?”
“…ยาวนะ…?”
“มีเวลาอีกตั้งเยอะ”
“…ก็ได้”
ดูเหมือนจะเริ่มเปิดใจให้ผมนิดหน่อย อย่างน้อยเจ้านางกวักนี่ก็น่าคบหากว่ายัยซัคคิวบัสนั่นตั้งเยอะ ถ้าจะถามอะไรเกี่ยวกับเอ็ม คุยกับชบาน่าจะสบายใจต่อตัวผมมากกว่า
และไม่รู้ทำไมถึงได้เห็นพี่น้ำส่งรังสีหงุดหงิดมาทางพวกผม
ถึงจะใช้เวลาในการฟังนานกว่าที่คิดเพราะชบาเรียบเรียงคำพูดไม่เก่งนัก แต่ผมก็นึกขอบคุณที่เล่าให้ผมฟังแบบไม่ปิดบัง แต่ที่จริงประเด็นของเรื่องก็ไม่มีตรงไหนให้ปิดบังอยู่แล้วน่ะนะ
เอ็มที่จู่ๆมาเข้าเรียนที่จิตตฯสาขาสองตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว ได้รู้จักชบาผ่านการแข่งขันตอบคำถามรายการหนึ่ง จนสุดท้ายก็ได้ทำความรู้จัก ก่อนจะสนิทกันเหมือนปัจจุบัน
ก็เป็นเรื่องของมิตรภาพวัยเรียนที่หาได้ทั่วไป แต่นึกสงสัยว่าเจ้าเทวทูตบ้านี่เคยไปแข่งรายการอะไรไว้บ้าง เพราะที่ชบาพูด เอ็มก็ได้แชมป์รายการตอบคำถามที่ว่านั่นด้วย
“ไง คริสโตเฟอร์ ได้ข้อมูลที่ต้องการรึเปล่า?”
เอ็มเดินมาที่โต๊ะริมห้องพลางเอ่ยมาแบบนั้น ผมกับชบาหันมอง
“พอใจแล้ว ส่วนใหญ่ก็แค่รับลูกเคสให้เหมือนเป็นญาติหรือคนสนิทอะไรแบบนั้น”
“ฮะฮะ มองแบบนั้นก็ได้ พวกเขาก็แค่อยากได้ความสบายใจน่ะ อย่างน้อยพวกเราก็ทำได้แค่รับฟัง ถ้าแค่นั้นช่วยพวกเขาได้ก็ควรทำล่ะนะ”
“ไม่รู้สิ ปกติสภาไม่เคยรับฟังปัญหาส่วนตัวบ่อยซะด้วย”
“นั่นก็เพราะนักเรียนยังไม่เชื่อใจสภานักเรียนเต็มร้อยล่ะมั้ง? เคสถึงได้ถึงมีแค่เอาปัญหามาให้แก้”
“จะว่างั้นก็ได้มั้ง?”
“แต่ผมไม่ได้มาถามเรื่องนี้หรอก …ได้ข้อมูลเรื่องของผมเยอะรึเปล่า? คุยกับพี่ชบาซะนานเลยนี่?”
พอเอ็มกล่าว ชบาก็ทำหน้าลำบากใจ
“…ละ เล่าไม่ได้เหรอ…?”
“เล่าได้ๆ ผมไม่ได้ว่าอะไร แค่น้อยใจที่คริสโตเฟอร์ไม่ยอมมาถามผมตรงๆแค่นั้นเอง”
พร้อมขยิบตาให้ผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“คุยกับแกแล้วเสียอารมณ์”
“แค่เป็นผมก็ผิดแล้วสินะ”
“ประมาณนั้น”
เอ็มนั่งลงก่อนเท้าศอกกับโต๊ะ
“พวกเรานี่คงคล้ายๆทอมแอนด์เจอร์รี่เนอะ?”
“ฉันยกให้แกสองตัวเลย”
“ฮะฮะ”
เอ็มหัวเราะคิกคัก จะยกตัวอย่างว่าเหมือนแมวกับหนูที่ตีกันทุกตอนก็เชิญ แต่ผมไม่ขอเป็นเลยสักตัว
ผมเหลือบมองสไปรท์กับพี่น้ำ ที่ตอนนี้กำลังจับกลุ่มคุยเล่นพร้อมด้วยเชอรี่อีกคน
“ทำยังไงถึงให้สองคนทำงานได้?”
“ผมสิต้องถาม คริสโตเฟอร์ไปทำอีท่าไหนพวกเธอถึงได้โดดงานกันขนาดนั้น”
“สรุปจะไม่บอกสินะ”
“ใจร้อนชะมัด …ผมแค่หางานที่พวกเธอน่าจะแสดงประสิทธิภาพสูงสุดได้ต่างหากล่ะ”
“หา?”
“เชอรี่ไม่ได้แค่คุมแถวเฉยๆหรอก ผมให้เธอช่วยคัดแยกลูกเคสที่จะเข้ามาว่าควรไปที่โต๊ะไหน ผม คุณเสือสมิง หรือว่าคุณผีไร้หัว”
“อ่า…หะ?”
ผมงงงวย เอ็มส่ายศีรษะเบาๆ
“จะเห็นว่าลูกเคสที่คุณเสือสมิงรับไปทำจะเป็นมอห้ากับมอหก ผมพิจารณาว่าลูกเคสจะรู้สึกยินดีและเปิดใจมากกว่าถ้าได้พูดคุยกับรุ่นน้องที่สดใสอย่างเต็มเปี่ยมอย่างคุณเสือสมิง”
สดใสอย่างเต็มเปี่ยม…
“ส่วนลูกเคสมอสี่ ผมจะให้คุณผีไร้หัวเป็นคนรับเรื่อง ถ้าอยู่มอสี่คงไม่สะดวกใจที่ต้องพูดปัญหาของตัวเองให้คนที่อายุเท่ากัน เพราะงั้นจึงเป็นหน้าที่ของคุณผีไร้หัวที่แฝงด้วยความเป็นผู้ใหญ่”
พูดถึงพี่น้ำอยู่ใช่มั้ยนั่น? นึกว่าพูดถึงคนอื่นซะอีก
“ผมให้ลูกเคสที่ต่อคิวบอกเรื่องที่จะปรึกษาคร่าวๆให้เชอรี่แล้ว จากการคัดแยกของเชอรี่ คุณเสือสมิงจะได้เคสปัญหากลุ้มใจที่สามารถใช้ความไร้เดียงสาของคุณเสือสมิงขจัดได้ ส่วนเคสของคุณผีไร้หัวจะต้องใช้ความคิดนิดหน่อย หรือพูดง่ายๆว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะจริงจังขึ้นมาหน่อยนึง ซึ่งคุณผีไร้หัวสามารถรับมือได้”
“เห…”
“แล้วทีนี้ พอหัวเรื่องเป็นประเด็นที่สามารถจัดการได้โดยง่าย การทำงานจึงมีความเพลิดเพลินและสนุกมากขึ้น เป็นเหตุให้ทั้งสองคนรู้สึกเอนจอยกับงานชมรมน่ะ เป็นไง? พอจะเห็นภาพรึเปล่า?”
“แค่จัดเคสที่เหมาะกับลูกน้องให้สินะ”
“อืม”
“แต่ก็อาจจะมีเคสที่ไม่เหมาะกับใครเลยก็ได้ไม่ใช่หรือไง?”
ถึงผมจะได้เปรียบเพราะมีสมาชิกสภาเยอะ แต่ก็ใช่ว่าทุกเรื่องที่เข้ามาจะเอาไปให้สมาชิกสภาได้อย่างเหมาะสมทุกครั้งอยู่ดี
เอ็มเลิกคิ้ว
“เคสยากๆแบบนั้นคริสโตเฟอร์ก็ต้องจัดการเองสิ ไม่งั้นจะเป็นประธานไปทำไม?”
“…อ๋อเรอะ”
“อย่างที่ผมทำอยู่ ถ้าเป็นเคสที่เชอรี่คัดมาดันเกินที่คุณเสือสมิงกับคุณผีไร้หัวจะรับมือได้ ก็จะโยนมาให้ผมจัดการ …ถึงนี่จะไม่ใช่สภา แต่ตำแหน่งของผมก็เหมือนกับคริสโตเฟอร์คือเป็นคนคุมทุกอย่าง ฉะนั้นถ้าเรื่องไหนที่เกินมือสมาชิกคนอื่นๆ ก็เป็นหน้าที่ที่ต้องจัดการให้ได้”
เก่งจริงๆเล้ย ให้ตายสิ
ผมเคาะส้นเท้า
เอ็มก็ยิ้มและลุกขึ้น
“ประมาณนี้แหละ ผมหวังว่าคริสโตเฟอร์จะได้เรียนรู้นะ”
“เออ”
“ต้องเรียนรู้จริงๆนะ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นคริสโตเฟอร์ได้แย่แน่”
“รู้แล้วน่า ประเมินสภาใช่มั้ยล่ะ”
“เรื่องนั้นก็ด้วย แต่พอดีผมคิดเรื่องดีๆออกเรื่องนึงล่ะ จะบอกว่าเป็นการแกล้งคริสโตเฟอร์ก็ได้”
“ทำบ้าอะไรไปเนี่ย? ไอ้เทวทูต”
“ฮะฮะ ไว้รอลุ้นเร็วๆนี่แล้วกัน”
เอ็มไม่ยอมให้ผมถามต่อ ลงมือสั่งให้ศาลาพักใจแยกย้ายกันกลับ ส่วนผมที่ขี้เกียจจะถามแล้วก็แยกออกมาทั้งๆแบบนั้น
และจะได้รู้ภายหลังว่าไอ้เทวทูตบ้านี่มันน่าเตะสักทีจริงๆ
เคสที่ 39 สังเกตการณ์ /จบ