สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 22 เคสที่ 11 ตึกเรียนเก่า (2)
เนื่องจากต้องฆ่าเวลารอสองทุ่มเพื่อไปยังตึกเรียนเก่า หลังจากกลับมาจากเซเว่น พวกผมจึงตัดสินใจหาของเล่นแก้เบื่อ เพื่อให้ถึงเวลานั้น
“ฟูลเฮ้าส์!”
“…หนอย”
และก็กลายเป็นว่านั่งเล่นไพ่อยู่กับดิวซะงั้น ไม่ดิ…ที่จริงยังมีเรื่องน่าพิศวงอีกอย่าง
“จิ๊บ! (รอยัลสเตรชฟลัช!)”
ไอ้เจ้าลูกเจี๊ยบที่ดูทรงน่าจะสติปัญญาไม่ถึงพอจะเล่นไพ่ของมนุษย์ กลับใช้ปีกเล็กๆจับไพ่และร่วมเล่นเป็นขาที่สามซะงั้น
ขนาดไพ่ก็ใหญ่กว่าตัวมันซะอีก แต่ลงท้ายกลับกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือยากสำหรับการเล่นโป๊กเกอร์สุดๆ
อืม…ไพ่บังหน้าเจี๊ยบซะมิด จนอ่านสีหน้าไม่ได้เลยล่ะ
“เจี๊ยบชนะอีกแล้วเรอะ”
ผมทำหน้าเซ็งๆ
“…ก็เจี๊ยบเล่นไพ่เก่งนี่นา”
ถามจริงเหอะ นี่หล่อนเคยเล่นไพ่กับลูกเจี๊ยบมาก่อนด้วยเหรอ? ต้องว่างขนาดไหนกันเนี่ย? ที่สำคัญคือมันเล่นไหวได้ยังไงนี่ก็ยังไม่รู้เลย
หมอนี่เป็นแค่ลูกเจี๊ยบธรรมดาจริงเร้อ
ผมคิดเช่นนั้นมองเจี๊ยบ
“จิ๊บ?”
“…แกใช่ลูกเจี๊ยบแน่เหรอ…”
“จิ๊บๆ!”
นั่นแหละ ฟังไม่รู้เรื่องเลยสักนิด มีภูตผีตัวไหนคุยกับสัตว์รู้เรื่องบ้างมั้ยนะ อยากเรียกมาที่สภาให้ได้เดี๋ยวนี้เลย
…นี่ก็เล่นกันมาได้สักพัก ดิวจึงเก็บไพ่เข้าสำรับตามเดิม ยังมีพวกบอร์ดเกมที่เอามากองๆเอาไว้อีกตรึม แต่เพราะใช้จำนวนคนเล่นเยอะ จนสุดท้ายเลยมานั่งเล่นโป๊กเกอร์กันแทนนี่แหละ
“นี่ดิว เธอเอาเจี๊ยบมาเลี้ยงได้ไงน่ะ?”
“…เก็บได้”
“หมายถึงเจอมันบาดเจ็บแล้วก็พามารักษาที่บ้าน แล้วก็อยู่กับมันมาตั้งแต่ตอนนั้นน่ะเหรอ?”
“…คริสโตเฟอร์ดูหนังมากไปแล้วนะ…”
ก็หล่อนอธิบายมาแค่นั้นเองนี่หว่า
ดิวกัดขนมก่อนพูด
“…เปิดประตูบ้านแล้วเจอน่ะ”
“ครับ?”
“…ได้ยินเสียงกริ่งเลยคิดว่าของมาส่ง พอเปิดประตูก็เจอเจี๊ยบยืนอยู่หน้าบ้าน”
“งั้นมันไม่เรียกว่าเก็บได้แล้วเฟ้ย”
“…แต่เจี๊ยบมีป้ายคล้องคอที่เขียนว่า ‘ช่วยเก็บผมไปเลี้ยงด้วยฮับ’ อยู่ด้วยนะ …ถ้างั้นก็น่าจะเรียกว่าเก็บมาเลี้ยงได้สิ?”
“เจี๊ยบโว้ย!!!”
เล่นเอานึกภาพได้เป็นฉากๆ นี่เจอไปขนาดนั้นยังคิดว่าหมอนี่เป็นลูกเจี๊ยบธรรมดาอีกเรอะ?
แย่แล้วไง… มองไปมองมาเริ่มรู้สึกว่าเจ้าตัวนี้มันน่ากลัวกว่าที่คิดไว้เยอะเลยนะเนี่ย
สายตาเจี๊ยบจ้องมาที่ผมแบบมีเลศนัย
มีความรู้สึกว่าถ้าพูดอะไรไป มีหวังโดนจะงอยปากเล็กๆนั่นแทงทะลุคอหอยไงไม่รู้
เกิดมาผมก็ไม่เคยกลัวอะไรเป็นรูปธรรมนักหรอก แต่สำหรับเจ้าสัตว์หน้าขนระบุประเภทไม่ได้แบบนี้น่ะ ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจดีกว่า
ผมจึงตัดสินใจพักประเด็นนั้นไว้ก่อน
“พึ่งทุ่มกว่าเอง แต่ไม่มีอะไรทำแล้วสิ”
“…ทำความสะอาดดีมั้ย?”
“วันก่อนพลอยทำไปแล้ว …เดี๋ยวนะ รู้สึกลืมอะไรไปอย่างแฮะ”
ที่จริงมันต้องมีใครสักคนมาทำความสะอาดให้ผมไม่ใช่เหรอ? แล้วนี่ก็ผ่านมาตั้งนาน หายหัวไปไหนล่ะเนี่ย? พันธสัญญาที่ลงไว้อ่อนไปเรอะ?
“…งั้นกินขนมก่อนสิ”
“ที่กินไปเมื่อกี้ก็แทบอ้วกแล้ว เธอยังไม่อิ่มอีกหรือไง?”
“…ตั้งแต่เกิดมายังไม่รู้เลยว่าอิ่มเป็นยังไง…”
น่าสงสารชะมัด… โดนประเด็นเรื่องเชื้อสายเข้าไปแบบไม่ทันตั้งตัว ก็ทำเอารู้สึกหวั่นไหวแปลกๆ
ดิวเคี้ยวขนมหน้านิ่งก่อนทำหน้าเหมือนนึกขึ้นได้
“…อิ่มแล้ว”
“แล้วไหนบอกว่าไม่เคยอิ่มไม่ใช่เรอะหา!?”
“…ยังหิวอยู่แต่ไม่อยากกิน”
“แล้วมันไม่เรียกว่าอิ่มตรงไหนกันเล่า!”
“…คริสโตเฟอร์อย่าโง่สิ”
“ที่โง่มันเธอต่างหาก! ยัยผีปอบนี่!”
“…เป็นอินคิวบัสที่ขี้บ่นจัง”
“ตูเป็นซาตานว้อย!”
“…แค่ลูกครึ่งเองไม่ใช่เหรอ? คิดว่าตอนนั้นฉันฟังผ่านๆหรือไง?”
บ้าจริง… เถียงไม่ออกเลย
ปล่อยไว้แบบนี้ได้รู้สึกแพ้ไปตลอดแน่ ต้องหาอะไรสักอย่างที่ทำให้ตัวเองชนะ คิดสิ คริสโตเฟอร์ คิดสิ…!
ผมไม่ยอมเถียงแพ้ยัยคนที่แทบจะซ้ำชั้นแหล่ไม่ซ้ำแหล่แบบนี้หรอก!
อื๋อ? ซ้ำชั้น…
“นี่ดิว…”
“…งือ?”
“พวกเราก็อยู่มอห้า แถมเป็นสภานักเรียนเหมือนกัน…”
“…ยะ อยากพูดอะไร…”
“ต่อให้ไม่นับว่าฉันเรียนเก่งเป็นอันดับหนึ่งของชั้นปีก็เถอะ แต่ช่วงนี้ก็ใกล้สอบแล้วด้วย …ถ้าสภานักเรียนสอบตกคงดูไม่ดีใช่มั้ยล่ะ?”
“…ฉันกลับบ้านดีกว่า”
ดิวที่สัมผัสได้ถึงอันตรายก็หน้าซีดพร้อมลุกขึ้น
“โนๆ! เธอบอกจะช่วยฉันวันนี้ไม่ใช่เรอะ!? เหลือเวลาอีกตั้งเยอะ เดี๋ยวฉันช่วยติวหนังสือให้!”
ผมดึงแขนดิวที่กำลังวิ่งออกประตู
“กลับบ้านเวลานี้คนเดียวอันตรายนะเฟ้ย! เดี๋ยวจบเรื่องเมื่อไหร่ฉันไปส่ง จะรีบกลับไปไหนกันเล่า!!!”
“ไม่เอา! ไม่อยากอ่านหนังสือ!”
“อย่าห่วงน่า! ขอรับรองเลยว่าผ่านชั่วโมงนี้ไปเธอได้เกิดใหม่เป็นคนละคนแน่!”
“นั่นมันหมายถึงตายไม่ใช่เหรอ!?”
“แค่เอาขี้เลื่อยออกจากสมองเธอเท่านั้นแหละ!”
ชนะแล้ว นั่นคือคำที่ผมคิดขณะดึงแขนยัยผีปอบที่กำลังหนีการติวหนังสือ
สมาชิกสภานักเรียนทั้งหมดหกคนนั้น ถ้าให้ว่าเรื่องผลการเรียนตั้งแต่ฉลาดไปโง่ ก็จะเรียงลำดับได้เป็น ผม พลอย พี่ต้น พี่น้ำ สไปรท์ …และก็ดิว
อย่างที่เข้าใจ ยัยนี่เรียนโง่กว่าสไปรท์ซะอีก!
“ปล่อยนะ!”
ดูเหมือนดิวจะตื่นตระหนกจนพูดชัดถ้อยชัดคำ ทั้งที่ปกติจะทำเสียงเหมือนง่วงตลอดเวลา
ก็เพราะไม่อยากเรียนแบบนี้ไงเล่า ถึงได้ทำข้อสอบไม่ได้น่ะ!
“เธอควรขอบคุณฉันด้วยซ้ำ! คิดว่ามีนักเรียนกี่คนอยากให้ฉันติวหนังสือให้กัน!”
“คริสโตเฟอร์ก็ไปติวให้คนอื่นสิ! ฉันขอรับไว้แค่น้ำใจ!”
“ไม่ได้ๆ ถ้าเป็นงั้นก็เหมือนฉันแพ้น่ะสิ!”
“แพ้!? คริสโตเฟอร์พูดอะไรอยู่เนี่ย!?”
ผมอาศัยช่องว่าง ใช้มืออีกข้างคว้าจับลูกเจี๊ยบบนไหล่ดิว
“อ๊ะ!”
“ถ้าอยากได้เจี๊ยบคืนก็ว่าง่ายแล้วให้ฉันติวหนังสือซะ!”
“จิ๊บ!”
เจี๊ยบส่งเสียงร้องด้วยความหวาดกลัว แต่ว่าไงดีล่ะ…จากมุมผมตอนนี้รู้สึกว่าเสียงร้องของไอ้ลูกเจี๊ยบนี่มันน่าขนลุกสุดๆ
ดิวขบริมฝีปาก
ก่อนที่จะ…
“…แค่ลูกเจี๊ยบน่าขนลุก อยากได้ก็เอาไปเถอะ”
“หะ?”
“จิ๊บ!?”
และดิวก็ปิดประตูเสียงดัง หายไปจากห้อง
เหลือแค่ผมกับเจี๊ยบที่ใบ้รับประทานทั้งคู่
…ไม่รู้พูดออกมาเพียงแค่เพราะไม่อยากเรียนหนังสือหรือเปล่า แต่ถ้านั่นเป็นใจจริงของดิวล่ะก็…
ทำไมรู้สึกมือเปียกๆหว่า
ผมเหลือบสายตามองมือข้างนั้น
“จิ๊บ…! จิ๊บ…”
“ร้องไห้เลยเรอะ!?”
น้ำตาไหลหลั่งจากดวงตากลมเล็กๆของเจี๊ยบ
บรรลัยล่ะ เกิดมายังไม่เคยปลอบลูกเจี๊ยบมาก่อนเลยด้วย ทำไงดีล่ะเนี่ย
…สุดท้ายผมก็นั่งปลอบเจี๊ยบอยู่สักพัก และดิวที่หายไปก็กลับมาในห้องด้วยใบหน้าเรียบเฉย และตอนนี้ก็ได้เวลาไปตึกเรียนเก่าเพื่อเริ่มเคสกันแล้ว
+ +
อีกราวยี่สิบนาทีก็จะสองทุ่มตรง …ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าที่เจ้าของเคสบอกว่าจะเห็นประมาณสองทุ่มน่ะ หมายถึงสองทุ่มเป๊ะๆรึเปล่า ถึงจะค่อนข้างแน่ใจว่าเป๊ะก็เถอะ
และถ้าให้คิดตามสูตรสำเร็จเรื่องสยองขวัญล่ะก็ การที่จะโผล่ออกมาในเวลานั้นพอดีก็ไม่น่าแปลก
ผมมองตึกเรียนเก่าที่ปกคลุมไปด้วยต้นไม้รกรุกรัง
รู้สึกถึงกลิ่นไม่ค่อยดีนิดหน่อย …แต่ไม่ได้กลิ่นเลือดแฮะ เพราะงั้นต่อให้จะเป็นวิญญาณคนโดดตึกจริงๆ ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ผ่านมาสักพัก
งั้นก็คงเรียกไอ้สิ่งที่กำลังจะเจอว่า ‘ผีเจ้าที่’ ได้สินะ? ถ้าในกรณีที่เป็นวิญญาณจริงๆล่ะก็
“ฉันพึ่งเคยมาครั้งแรกเลยแฮะ”
ดิวก็พูดเสริมให้คำพูดของผม
“…ไม่มีนักเรียนคนไหนอยากเข้าใกล้ตึกนี้หรอก …ยิ่งช่วงนี้มีข่าวลือแบบนั้นด้วย”
“ก็นะ รีบสำรวจชั้นอื่นๆกันเถอะ แล้วค่อยไปดาดฟ้าทีเดียว”
“…ได้”
“ฉันจะเริ่มตั้งแต่ชั้นสี่ขึ้นไป ส่วนเธอก็สามชั้นล่าง ตกลงนะ?”
“อืม”
พวกผมรีบเร่งสำรวจชั้นต่างๆตามที่แบ่งหน้าที่ เนื่องจากโครงสร้างภายในก็เหมือนกับอาคารเรียนหลักที่ใช้ปกติ ลงท้ายการสำรวจก็ใช้เวลาไม่นาน
แต่ระหว่างการสำรวจ ก็มองเห็นวิญญาณที่เป็นประเภทที่สองอยู่บ้างนิดหน่อย พวกมันจะอยู่เป็นที่นิ่งๆ ไม่เข้ามายุ่งเกี่ยว
วิญญาณพวกนั้นสวมใส่ชุดนักเรียนเสียส่วนมาก คงเป็นวิญญาณที่ยึดติดกับตึกเรียนนี้ล่ะมั้ง?
เริ่มจะสังหรณ์ใจแปลกๆขึ้นมาชัดๆแล้วสิเนี่ย… ถ้าวิญญาณที่อยู่ในตึกนี้จะอยู่กันเฉยๆล่ะก็ ทำไมไอ้วิญญาณคนโดดตึกที่เห็นบนดาดฟ้า ถึงต้องมาโดดตึกที่นี่ทุกวันตอนสองทุ่มกันล่ะ?
“ไปเห็นก็รู้เองแหละนะ …แล้วจะเป็นวิญญาณจริงรึเปล่าก็ยังไม่รู้เล้ย”
ผมพึมพำและปิดประตูห้องสุดท้ายของชั้นหก ก่อนมุ่งหน้าไปที่ดาดฟ้า
…ผมรอดิวอยู่สักพัก จนเมื่อเธอขึ้นมา ผมก็เอ่ย
“เป็นไง? เจออะไรแปลกๆมั้งมั้ย?”
“…ก็ไม่แปลกนะ”
ดิวตอบเสียงเรียบๆ
เพราะอยู่ในยุคที่ผีสางเห็นได้ทั่วบ้านทั่วเมือง ยิ่งกับในโรงเรียนนี้ที่ส่วนใหญ่เป็นตัวตนประมาณนั้นอยู่แล้ว ผมกับดิวจึงค่อนข้างชินชากับวิญญาณที่เห็นในตึก
และตอนนี้ก็ได้มาอยู่ที่ดาดฟ้ากันเรียบร้อย
อีกสองนาทีจะสองทุ่ม
“ชมรมเรียงแก้วมองมาที่นี่จากตรงไหนกันนะ?”
“…คงมองจากตึกชมรม ทำไมเหรอ?”
“ถ้าจากตึกชมรม งั้นก็ต้องฝั่งนี้สินะ…”
ผมเดินไปยังทิศทางที่เมื่อมองออกไปก็จะเป็นจุดที่ตั้งตึกชมรม
ผมเช็กขอบตึกเพื่อหาร่องรอย
“…คริสโตเฟอร์ ทำอะไรอยู่หรอ?”
“ในกรณีที่เป็นคนโดดตึกล่ะก็ อย่างน้อยก็น่าจะมีรอยเท้าหรืออะไรสักอย่างน่ะ”
“…วิญญาณใส่รองเท้าด้วย?”
“ก็คงแล้วแต่ตัวไปนั่นแหละ แต่มาตรวจดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายนี่นะ”
แม้วิญญาณจะไม่มีกายเนื้อ ทว่าก็สัมผัสสิ่งของได้ …แต่ที่ผมหาเบาะแสก็ไม่ใช่เพราะเรื่องวิญญาณหรอก
ผมกุมคาง
“ฉันคิดเผื่อกรณีว่ามีใครมาแอบแกล้งเพื่อสร้างข่าวลือ ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็น่าจะเหลือหลักฐานไว้”
“…แล้วจะอยากสร้างข่าวลือไปทำไม?”
“เหตุผลก็มีร้อยแปดพันเก้า แต่ถ้าลองยกตัวอย่างเป็นพวกชมรมข่าวดูล่ะ?”
“…อืม …อยากสร้างเรื่องแปลกๆเพื่อเอาไปเขียนข่าวสินะ…”
นั่นก็เป็นหนึ่งในความเป็นไปได้ ยังมีสถานการณ์ที่น่าจะเกิดขึ้นอีกหลายอย่าง …ชมรมเรียงแก้วจากโรงเรียนอื่นมาสร้างความวุ่นวายเพื่อให้ชมรมเรียงแก้วของโรงเรียนเราไม่เป็นอันซ้อม
ก็นั่นแหละ ลงท้ายก็เป็นแค่ความเป็นไปได้ คนที่ต้องหาข้อเท็จจริงก็คือพวกผม…
ติ๊ด…! ติ๊ด…!
“…อ๊ะ!”
“ของฉันเอง จะตกใจทำไมเนี่ย?”
“…รู้สึก …บรรยากาศแปลกๆน่ะ”
ดิวตอบพร้อมซุกมือในกระเป๋าเสื้อกันหนาว
ผมก็ปิดการแจ้งเตือนโทรศัพท์ที่ตั้งไว้เมื่อถึงเวลาสองทุ่มตรง
ที่ลองตรวจสอบดูเมื่อกี้ ก็ไม่พบร่องรอยอะไร อย่างน้อยก็ตัดประเด็นว่ามีคนจัดฉากไปได้อย่างหนึ่ง
เพราะงั้นก็จะเหลือแค่ อุปทานหมู่ของนักเรียน กับเป็นวิญญาณโดดตึกจริงๆ…
“ฮ้า~ วันนี้ก็มาสายไปหน่อยแฮะ เอาเถอะๆ ยังไงก็ไม่มีใครเห็นอยู่แล้วด้วย~”
ได้ยินเสียงเด็กสาวที่พูดแบบไม่คิดมาก ดังมาจากด้านหลัง
ผมกับดิวหันไปมอง
มองเห็นร่างโปร่งใสของเด็กสาวสวมชุดนักเรียน แขนข้างหนึ่งบิดงออย่างผิดรูป สภาพร่างกายโชกไปด้วยเลือด ลำคอเอียงไปด้านขวาคล้ายกระดูกคอหัก
และในวินาทีนั้นที่รู้สึกว่าบรรยากาศเย็นยะเยือกลง
ผมหรี่ตามอง
“…สรุปเป็นวิญญาณจริงๆสินะ…”
“…คิดว่านะ”
ดิวก็ตอบพร้อมหรี่ตาเช่นกัน
“พอต้องมาโดดทุกวันงี้ก็เบื่อไงไม่รู้สิ แล้วพอโดดๆเข้าก็ไม่เจ็บแล้วด้วย รู้สึกเหมือนเล่นบั้นจี้จั๊มไงชอบกล”
เธอบ่นพึมพำและไม่ได้ชายตามาที่พวกผมเลยแม้แต่น้อย
พร้อมใช้ร่างกายโปร่งใสเดินผ่าน และไปหยุดยืนอยู่ที่ขอบตึก อ้าแขนรับลม
“วันนี้เอาหัวหรือขาลงดีนะ? แต่เอาหัวลงก็ทำเอาสติหลุดไปแว๊บนึงด้วย สนุกกว่าเอาขาลงเยอะเลย~”
“…นี่เธอ”
ผมเอ่ยเรียก
แต่เด็กสาวไม่แม้แต่จะฟัง
“อืมๆ เอาหัวลงแล้วกัน งั้นก็ถือว่าสไตรท์ด้วยหัวมาสี่วันแล้วสินะ? ค่อยเปลี่ยนพรุ่งนี้แล้วกัน!”
จังหวะต่อมา เด็กสาวก็ทิ้งดิ่งลงกระแทกพสุธาทันที
ผมกุมศีรษะ ก่อนได้ยินเสียงไม่น่าฟังดังขึ้นที่ด้านล่างตัวตึก
“ให้ตายสิ…”
“…ดูเธอจะชอบโดดตึกน่าดูเลยนะ”
“ระบบลงโทษพวกฆ่าตัวตายนั่นแหละ …ที่จริงฉันก็น่าจะเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว เฮ้อ…”
การฆ่าตัวตายนั้นผิดกฎ ผมจะไม่ลงลึกเรื่องบาปบุญคุณโทษก็แล้วกัน แต่ขอใช้คำว่าผิดกฎแทน
เพราะงั้นบุคคลที่กระทำการนั้น จึงจำเป็นต้องมารีพีทการตายของตัวเองซ้ำๆจนกว่าการลงโทษจะสิ้นสุดลง
ประเทศเกิดผมไม่มีอะไรแบบนี้หรอก นี่คือระบบเฉพาะของโลกหลังความตายของประเทศไทยล่ะนะ ผมที่อยู่ไทยมานานก็เลยได้ศึกษามาบ้างนิดหน่อย
ถ้าเป็นงี้ก็จัดการยากกว่าในกรณีที่เป็นคนจัดฉากอีกนะเนี่ย ที่ผมหาร่องรอยก่อนหน้านี้ ส่วนหนึ่งก็ภาวนาว่าให้เป็นการจัดฉากของใครสักคนนั่นแหละ
ขี้เกียจไปเจรจากับนรกของที่นี่น่ะ…
ป๊อง!
เสียงเหมือนระเบิดควันเด็กเล่นดังขึ้น เด็กสาวที่มีสภาพร่างกายชุ่มไปด้วยเลือดก็โผล่ขึ้นมาที่ดาดฟ้าอีกครั้ง สภาพยับเยินกว่าเมื่อกี้อีกต่างหาก
“เริ่มอยากจะโดดอีกรอบแล้วสิ แต่ทำไปก็ไม่นับรอบอยู่ดี ค่อยมาใหม่พรุ่งนี้แหละ”
“นี่เธอ”
และวิญญาณสาวก็สนใจพวกผมสักที
“เอ๋? อ้าว? พวกนายก็จะโดดเหมือนกันหรอ?”
“เฮ้ออออ”
ผมที่โดนเด็กสาววิญญาณโดดตึกถามเช่นนั้นก็พ่นลมหายใจยาวๆ
“อะไรของนาย? เสียมารยาทจัง”
“เหลืออีกกี่รอบ?”
เมื่อผมถาม เด็กสาวก็เอียงคอจนศีรษะชิดหัวไหล่
“อีกสามสิบกว่ารอบน่ะ ไม่ไหวเลยเนอะ? กว่าจะสู่สุขคติได้นี่ยากจัง …ว่าแต่นายเป็นใครกันเนี่ย?”
“ประธานนักเรียน คริสโตเฟอร์ …ได้รับแจ้งเรื่องการโดดตึกของเธอ”
“จะไล่ที่กันเหรอ?”
“ไม่ใช่…”
“อีกอย่าง ดึกขนาดนี้ก็ไม่น่าจะรบกวนใครนี่? ฉันคำนวณเวลาไว้อย่างดีแล้วนะ?”
“พอดีช่วงนี้มีชมรมที่ต้องซ้อมดึกๆน่ะ พอเห็นเธอก็พาลเอากลัวจนซ้อมไม่ไหว”
“งั้นนายก็ไปห้ามไอ้ชมรมบ้านั่นไม่ให้ซ้อมตอนดึกซะสิ ฉันฝ่าฝืนการลงโทษได้ที่ไหนกันเล่า”
มันก็ชมรมบ้าอย่างที่ว่าจริงๆนั่นล่ะ มาเรียงแก้วบ้าอะไรตอนสองทุ่มก็ไม่รู้
ดิวกระตุกแขนเสื้อผม
“เอ่อ…คริสโตเฟอร์ ฉันไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่”
เออเนอะ ภูตผีปกติไม่รู้ระบบการจัดการของโลกหลังความตายนี่นะ คงเหมือนกำลังฟังเรื่องเล่าที่เข้าใจยากอยู่ล่ะมั้ง?
ผมส่ายศีรษะ
“เดี๋ยวฉันจัดการเอง เธอไม่ต้องเข้าใจก็ได้”
“…งั้นฉันกินขนมรอนะ”
ผมมองส่งดิวที่ไปนั่งห่างๆพร้อมหยิบขนมที่ซุกไว้ในเสื้อฮู้ดขึ้นมากิน
“เอาล่ะ ฉันจะขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน เธอช่วยไปโดดที่อื่นได้มั้ย?”
เด็กสาวใช้ฝ่ามือโปร่งใสโบกไปมา
“ได้ที่ไหนกันล่ะ? ฉันถูกลงโทษตรงนี้ ต่อให้ไปโดดที่อื่นก็ไม่นับรอบอยู่ดี พวกนายก็ทนๆเอาหน่อยไม่ได้เหรอ? อีกเดือนหน่อยๆฉันก็ไปแล้ว”
“ไม่ได้ๆ ฉันมีหน้าที่จัดการความเรียบร้อยของโรงเรียน เดือนหน่อยๆของเธอ ทำฉันลำบากแน่”
“งั้นนายก็ไปคุยกับ‘เจ้านั่น’ให้หน่อยสิ …ได้มั้ยล่ะ? เพราะฉันก็แค่วิญญาณฆ่าตัวตาย ได้แต่ทำตามเจ้านั่นแต่โดยดีนั่นแหละ”
เธอใช้นิ้วที่ชุ่มโชก ชี้ไปด้านหลังของผม
ผมหันกลับไป
…ผ้าผืนใหญ่สีดำลอยอยู่กลางอากาศ แต่ที่จริงแล้วนั่นคือกลุ่มก้อนของควันสีเทามีจิตสำนึกที่ปกคลุมด้วยผ้าอีกที
หรือก็คือ ผมพบกับร่างชุดคลุมดำที่ลอยอยู่กลางอากาศ
กลิ่นอายที่คุ้นเคยเสียจนต้องเบ้ปาก
“ยมทูตสินะ…”
“อีก…สามสิบ…สอง…”
ยมทูตพูดแทรกขณะที่ผมพึมพำในลำคอ ดูเหมือนจะนับจำนวนการลงโทษของเด็กสาวคนนี้อยู่… ไม่สิ ถ้าที่ประเทศนี้น่าจะต้องเรียกว่ายมบาลรึเปล่านะ?
เคสที่ 11 ตึกเรียนเก่า /มีต่อ