สภานักเรียนกับโรงเรียนสิ่งมีชีวิตลี้ลับ - ตอนที่ 13 เคสที่ 7 ชมรมข่าว
“รบกวนช่วยพวกเราด้วยเถอะ!”
ผมรับฟังคำพูดของเด็กสาวหัวหน้าชมรมข่าวด้วยสีหน้าบอกบุญไม่ค่อยรับเท่าไหร่นัก
และตอบด้วยเสียงเชิงตำหนิ
“อย่างเธอยังมีหน้ามาขอร้องสภานักเรียนอีกเหรอ?”
“สภานักเรียนต้องช่วยเหลือนักเรียนทุกคนนี่?”
“นี่เธอจำได้ใช่มั้ยว่ารอบก่อนทำอะไรไว้?”
“หมายถึงที่เขียนข่าวว่านายเผาห้องชมรมรึเปล่า?”
“เออ”
“พวกเราก็ขอโทษไปแล้วไง”
…เรียกว่าไม่มีสำนึกเลยก็คงได้ล่ะมั้ง?
วันนี้ก็ยังอยู่ในช่วงเวลาชมรมอีกแล้ว และเคสของวันนี้ ก็คงจากหัวหน้าชมรมข่าวคนนี้นั่นล่ะ
เด็กสาวที่สวมใส่แว่นตาหนาเตอะ เลนส์หนาขุ่นจนมองไม่เห็นดวงตา ใบหน้ามีกระนิดหน่อย แต่งกายด้วยเครื่องแบบนักเรียนหญิงตามปกติ พร้อมด้วยแจ็คเก็ตสีดำทับอีกทีหนึ่ง ปากกาและดินสอมากมายที่อยู่ตรงกระเป๋าเสื้ออก
จะว่าคล้ายนักข่าวมันก็ได้อยู่หรอก แต่รู้สึกมันขาดๆเกินๆไปหน่อย
ผมก็รู้จักเธออยู่นิดหน่อย …ตอนไปหาครูใหญ่ก็มีบังเอิญเจออยู่บ้าง รู้สึกจะอยู่มอหกสินะ?
…ถึงเมื่อครู่ผมจะบอกว่าเคสวันนี้คงจะมาจากชมรมข่าว แต่ก็ยังไม่ได้รับงานอย่างเป็นทางการ อยู่ในช่วงกำลังหารือ
ไม่สิ สภานักเรียนไม่มีสิทธิ์ต่อรองกับคนที่มาขอให้ช่วยอยู่แล้ว ที่พิรี้พิไรอยู่แบบนี้ก็เพราะผมไม่ค่อยอยากจะช่วยเท่าไหร่
กระนั้น ผมก็ต้องทำตามหน้าที่อย่างช่วยไม่ได้ แต่มาถึงขนาดนี้ก็ขอบ่นสักหน่อยแล้วกัน…
อาจจะยังจำกันได้ ครั้งที่ผมไปชมรมวิจัยอนิเมะ จากที่ต้องการแค่ยุบชมรม เรื่องราวกลับบานปลายจนกลายเป็นผมเผาชั้นหนังสือของชมรมวิจัยอนิเมะพร้อมกับหนังสือการ์ตูนอีกนิดหน่อย
หลักๆก็แค่เรียกยามมาช่วยดับไฟ และก็จบลงด้วยดี
แต่ว่า ชมรมข่าวดันไปป่าวประกาศว่าผมเป็นประธานนักเรียนคลั่งชอบเผาห้องชมรมไปซะอย่างนั้น
ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าเจ้าพวกนี้มีหน้าที่เขียนข่าวให้น่าสนใจ แต่ถึงขั้นไปไกลเบอร์นั้น มันก็เกินขอบเขตที่จะรับได้ไปหน่อย
แม้สุดท้ายจะได้กุมารทองนั่นช่วยพาไปหาคุณยาย และจบสถานการณ์น่าอึดอัดจากสายตานักเรียนได้แล้วก็ตาม…
…ความจริงที่ว่าผมยังเคืองๆกับชมรมข่าวอยู่ก็ยังไม่หายไป
“นายรู้รึเปล่า? กว่าพวกเราจะหาข่าวเขียนได้สักเรื่องมันยากขนาดไหน? นายผิดเองต่างหากที่ทำตัวให้พวกเราไปเขียนข่าวได้แบบนั้น”
อืม ไม่สำนึกจริงๆด้วย
ผมพ่นลมหายใจ
“อยู่ในโรงเรียนแบบนี้ มันจะหาเรื่องให้เขียนยากขนาดนั้นเลยเรอะ?”
“นี่ๆ ถึงจะมีสิ่งมีชีวิตลี้ลับป้วนเปี้ยนก็เถอะ แต่ส่วนใหญ่ก็ชินๆกับบรรยากาศประมาณนี้กันอยู่แล้ว คิดว่าแค่เอาเรื่องที่เกิดตามปกติมาเขียนมันจะได้ใจคนอ่านหรือไง?”
“แล้วที่ปั้นน้ำเป็นตัวว่าฉันเป็นคนเผาห้องชมรมเนี่ย ได้ใจคนอ่านขนาดนั้นเลยเรอะ?”
“ก็นายมันลูกซาตานนี่นา? นักเรียนคนอื่นก็อยากเห็นนายทำอะไรแย่ๆสักครั้งนั่นแหละ นายผิดเองที่ทำตัวดีเกินไปต่างหาก”
…ไปๆมาๆ เหมือนยัยนี่จะโยนให้ทุกอย่างเป็นความผิดของผมซะเต็มที่เลยนะ
ผมเบือนหน้าหนีพลางเกาศีรษะ
“สภานักเรียนก็มองว่าพวกเธอทำหน้าที่ชมรมได้ดีเยี่ยมล่ะนะ แต่อยากให้เพลาๆเรื่องนำเสนอข่าวเท็จหน่อยก็ยังดี”
“เป็นนักข่าวก็ต้องเขียนเฟคนิวส์เป็นธรรมดาสิ?”
“…นี่เธอมองนักข่าวเป็นอะไรกันแน่หา?”
“คนที่จะเขียนเรื่องธรรมดาให้ออกมาน่าสนใจ!”
“ถ้าทำได้จริงแบบไม่ต้องโกหก ฉันจะขอชมเชยมากๆเลยล่ะ”
“อ๋า ถ้าเรื่องนั้น ฉันก็มีเรื่องนึงจะเขียนอยู่นะ?”
“หือ? เรื่องไหน?”
“‘สภานักเรียนที่ต้องช่วยเหลือนักเรียนทุกคน ไม่ยอมช่วยเหลือชมรมข่าว’ น่ะ”
“……”
ผมหรี่ตามอง
เด็กสาวชมรมข่าวก็แค่ยิ้มบางๆ
“นั่นก็เป็นแผนสำรองล่ะนะ ถ้าสภานักเรียนไม่ยอมช่วยล่ะก็”
และนั่นก็ไปถึงประเด็นที่ข้ามไป ว่าชมรมข่าวมาขอให้สภานักเรียนช่วยอะไร
…เธอบอกว่าช่วงนี้ไม่มีข่าวน่าสนใจให้เขียน เลยอยากให้สภานักเรียนช่วยคิดให้สักเรื่อง …แน่นอนว่านี่ก็เป็นเคสที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตลี้ลับอีกแล้ว
กระนั้น ผมก็จำเป็นต้องช่วยเหลือนักเรียนทุกคนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขนาดเคสเชิงชู้สาวก่อนหน้านี้ ผมก็ยังทำไปแบบไม่คิดอะไรแม้ในใจจะตำหนิอยู่หน่อยๆ
…แต่ว่าไงดีล่ะ กับชมรมข่าวที่เอาเรื่องผมไปเขียนซะชั่วแบบนั้นน่ะ รู้สึกไม่อยากช่วยไงไม่รู้สิ
อารมณ์ส่วนตัวบวกอคติล้วนๆเลยล่ะ
“ประธานคะ”
พลอยใช้ศอกกระทุ้งเบาๆ
ตอนนี้พวกผมนั่งอยู่โต๊ะรับแขก โดยที่เด็กสาวชมรมข่าวนั่งจิบน้ำอยู่ฝั่งตรงข้าม
“ว่าไง?”
“ฉันก็เข้าใจว่าประธานหงุดหงิด แต่ยังไงพวกเราก็ต้องทำตามหน้าที่นะคะ?”
“รู้อยู่หรอก…”
“ถ้าให้พวกเขาไปเขียนเกี่ยวกับสภาแบบนั้น ฝั่งที่แย่จะเป็นประธานเองนะคะ …แถมนั่นจะเป็นเรื่องจริงด้วยอีก”
ตามนั้นแหละ คือถ้าผมไม่ช่วย ชมรมข่าวก็จะไปเขียนว่าร้ายสภานักเรียนที่ไม่ทำตามหน้าที่ และคงไปขอให้ใครช่วยอีกไม่ได้ เพราะผมก็ไม่ยอมทำตามหน้าที่จริงๆ
เพราะงั้น ทางเลือกก็เหลือแค่อย่างเดียวก็คือหลับหูหลับตาทำงานไปเท่านั้น …เหนื่อยใจจริง
“เฮ้อ แค่เรื่องเดียวก็พอสินะ?”
ผมพูดเหมือนถอนหายใจ เด็กสาวชมรมข่าวก็พยักหน้า
“ใช่ๆ ขอแค่ผ่านช่วงนี้ไปได้ก็พอ ฉันรู้สึกว่าต่อจากนี้จะมีเรื่องน่าสนใจให้เขียนอีกเพียบเลยล่ะ!”
“รู้อนาคตหรือไง?”
“ลางสังหรณ์ของนักข่าวน่ะ!”
ถ้าลางสังหรณ์ที่ว่าเป็นจริง แสดงว่าหลังจากนี้ไม่นาน ผมต้องเจอกับเรื่องน่าปวดหัวอีกเพียบเลยน่ะสิ
…ผมก็เริ่มสังหรณ์ไม่ดีแล้วเหมือนกันนะเนี่ย
“งั้นคนคิดหัวข้อก็คือพวกฉันใช่มั้ย?”
“ไม่ๆ ถึงฉันจะบอกว่าให้สภานักเรียนช่วยสักเรื่องก็เถอะ แต่ทางฉันก็เตรียมหัวข้อไว้เพียบเลยล่ะ”
เด็กสาวหยิบปึกกระดาษออกมาจากกระเป๋าเสื้อด้านในและกองไว้บนโต๊ะ
“นี่เป็นหัวข้อเกี่ยวกับสภาชิกสภานักเรียนที่คนอื่นอยากรู้ …นายช่วยเลือกมาสักหัวข้อให้ฉันเอาไปเขียนหน่อย”
“ถ้ามีหัวข้อแล้วจะมาขอให้สภานักเรียนช่วยทำไมเนี่ย?”
“บางเรื่องถ้าไม่มีหลักฐานอ้างอิงชัดๆ ก็เอาไปเขียนไม่ได้หรอก”
…พอออกมาจากปากคนที่เอาเรื่องของผมไปเขียนมั่วๆซั่วๆแล้วมันดูเชื่อถือไม่ได้ไงไม่รู้สิ
ผมกับพลอยหยิบเขียนมาสุ่มๆและอ่าน
“‘ประธานนักเรียนเปลี่ยนเพศได้รึเปล่า’ …เหรอ?”
“‘พี่ต้นมีแฟนรึยัง’ …เหรอคะ?”
และนั่นคือที่อ่านออกเสียง
ในปึกกระดาษพวกนั้นยังมีหัวข้อต่างๆอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น…สไปรท์สามารถแปลงร่างได้จริงมั้ย? หัวของพี่น้ำอยู่ที่ไหน? หรือแม้กระทั่งว่าดิวเคยกินเครื่องในมนุษย์หรือเปล่า…
ผมโยนมันลงโต๊ะตามเดิม
“นี่นักเรียนคนอื่นอยากรู้เรื่องแบบนี้จริงดิ?”
“แหม ก็นะ แต่ฉันก็เข้าใจแหละว่าส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่ค่อนข้างส่วนตัว เพราะงั้นนายก็ช่วยเลือกมาสักอย่างที่ไม่กระทบกับพวกนายมากก็พอ”
“อะไรก็ได้…สินะ…”
ผมพึมพำพร้อมคลี่ปึกกระดาษหาหัวข้อที่ทำง่ายๆและไม่ลำบากมาก
ถ้าจะให้สรุปเคสนี้คร่าวๆล่ะก็ ผมก็แค่หาหัวข้อมาสักอันที่อยู่ในปึกกระดาษพวกนี้และหาหลักฐานอ้างอิงให้ เพราะหัวข้อตรงหน้านี้ก็ล้วนเกี่ยวกับสภานักเรียนทั้งนั้น
และหลังจากได้หลักฐานอ้างอิง ยัยนี่ก็จะเอาไปเขียนข่าว และก็ถือว่าจบเคส
เด็กสาวชี้นิ้ว
“ที่จริงเอาอันที่นายหยิบมาอันแรกก็ได้นะ?”
“อันไหน?”
“ก็ที่ว่านายเปลี่ยนเพศได้รึเปล่าน่ะ?”
“จะอยากรู้ไปทำไม ไม่สำคัญสักหน่อย”
“เห~ ไม่ตอบแบบนี้ ดูเหมือนนายจะเปลี่ยนเพศได้จริงๆสิเนี่ย?”
“ให้ตายสิ …หืม? นี่เธอ รูปนี้ถ่ายไว้เมื่อวานเหรอ?”
ผมถามขณะถือรูปถ่ายใบหนึ่งไว้ในมือ มันสอดแทรกอยู่กับปึกกระดาษที่ผมบังเอิญค้นเจอ
เธอชะโงกมองรับคำพูด
“อ๋อ ใช่ๆ ก็นายเล่นบินลงมาจากดาดฟ้าแบบนั้น จะว่าเป็นสกู๊ปเด็ดก็ยังได้เลย แต่เพราะกล้องมันถ่ายได้ไม่ชัดเท่าที่ตาฉันเห็นล่ะนะ ลงท้ายก็ใช้ไม่ได้อยู่ดี”
“หืม…”
ผมมองรูปที่ผมใช้เดดวิงบินลงจากดาดฟ้าตึกด้วยใบหน้าเรียบเฉย
แต่ตอนนั้นผมก็ไม่เห็นใครอยู่ข้างล่างเลยนี่นา? ไปถ่ายไว้ตอนไหนล่ะเนี่ย?
“พอดีถ่ายจากตึกชมรมน่ะ คงซูมเยอะไปหน่อยเลยเบลอ”
“งั้นเหรอ? แต่แค่ฉันบินได้แล้วมันแปลกตรงไหน?”
“บินกับลอยมันคนละเรื่องกันนา? ถึงจะมีกระสือหรือกระหังที่ดูเหมือนบิน แต่ที่จริงก็เรียกว่าการลอยนั่นแหละ สิ่งมีชีวิตลี้ลับที่บินได้ชัดๆแบบนาย ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยๆหรอก”
ผมก็ไม่รู้หรอกนะว่ามันต่างกันยังไง ที่จริงคนใกล้ตัวที่พอจะถามได้ก็คือพี่ต้นล่ะนะ พี่เขาเป็นกระหังตัวเป็นๆซะด้วยสิ …ไม่แน่ ยัยนี่อาจจะเข้าใจเกี่ยวกับกระหังหรือกระสือผิดไปก็ได้
เอาเถอะ ใจจริงผมก็อยากให้เคสนี้จบเร็วๆ ไม่ต้องต่อความยาวสาวยืดหรอก
ผมคิดเช่นนั้น ก่อนสะบัดรูปถ่ายเบาๆ
“เอาอันนี้แหละ”
“หมายถึงที่นายบินได้น่ะเหรอ?”
“อ่า”
เป็นหัวข้อที่ลงลึกเรื่องความสามารถของผม อย่างน้อยก็สามารถจบเคสโดยที่ไม่ต้องขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัวของสมาชิกสภาคนอื่น
เด็กสาวดันแว่น
“อืมๆ เอางั้นก็ได้ …แต่ยังไงก็อยากได้เรื่องที่นายเปลี่ยนเพศได้มากกว่านา?”
“ไหนบอกว่าเป็นเรื่องไหนก็ได้ไม่ใช่เรอะ?”
“จ้าๆ ขอบ่นนิดบ่นหน่อยไม่ได้เลยเหรอ?”
“เฮ้อ…เธอนี่นะ”
ผมลุกขึ้น
นอกจากผมกับพลอยและเด็กสาวชมรมข่าว ในห้องสภายังมีคนอื่นอยู่ด้วย
ผมเหลือบมองสองคนนั้นพร้อมเอ่ย
“พี่น้ำ สไปรท์ ฝากสภาแป๊บนึงนะ”
“ซื้อน้ำมาฝากพี่ด้วยล่ะ”
“ในตู้เย็นก็มีไม่ใช่เหรอครับ?”
“พี่อยากได้จากน้องคริสนี่?”
“เฮ้อ …เธอล่ะ เอาอะไรด้วยมั้ย?”
ผมถามสไปรท์ที่นั่งอยู่กับพี่น้ำ ดูเหมือนจะเห็นว่าพวกผมกำลังคุยเคสและไม่อยากรบกวน จึงเปลี่ยนไปนั่งกันเงียบๆอยู่ริมห้องตั้งแต่ที่ชมรมข่าวเข้ามาแล้ว
…กำลังเล่นเกมมือถือกันอยู่ สบายกันจริงนะ
สไปรท์ตอบด้วยสีหน้าคร่ำเครียด
“เอาโชคดีที่นึง”
“…ไม่เข้าใจ”
“หนูสุ่มกาชาได้แต่เกลืออะ กลับมาฝากเอาโชคดีมาให้ด้วยนะ!”
“ของอย่างนั้นมันเอามาให้ได้ด้วยเหรอ? แล้วถ้ามันสุ่มได้ไม่ดีก็เติมเพิ่มไปสิ”
“หนูไม่ได้รวยเหมือนพี่คริสโตเฟอร์สักหน่อย”
“สรุปไม่เอาอะไรสินะ? …ไปกันเถอะพลอย แล้วก็เจ้าของเคส”
สองสาวลุกตามขึ้นมา
จะไปกับเจ้าของเคสสองต่อสองก็ได้แหละ แต่หิ้วพลอยไปด้วยน่าจะหมดห่วงมากกว่า
บางทีพลอยก็จะช่วยเตือนในจุดที่ผมมองข้ามล่ะนะ แถมมีความรู้สึกว่าเจ้าของเคสจะเหลี่ยมอะไรใส่ผมซะด้วยสิ
เด็กสาวชมรมข่าวดันแว่นอีกครั้ง
“ที่ได้ยินมาว่าเรียกนักเรียนที่มาขอความช่วยเหลือว่าเจ้าของเคสนี่ เรื่องจริงสินะ?”
“ฉันไม่ถนัดเรียกแบบสนิทสนมกับนายจ้าง”
“โห? มืออาชีพมากเลยนะเนี่ย? สนใจมาช่วยงานชมรมข่าวมั่งมั้ย?”
“นี่ก็ช่วยอยู่ไม่ใช่เรอะ?”
“หมายถึงพาร์ทไทม์อะไรแบบนั้นน่ะ!”
“ถ้าให้ค่าจ้างจะคิดดูอีกที”
“นายรวยอยู่แล้วนี่?”
“ไม่ชอบทำงานให้ใครฟรีน่ะ ขอดักไว้ก่อนว่างานสภาที่ทำอยู่ ก็แค่ใจรักเท่านั้นแหละ”
งานสภานอกจากจะเป็นงานที่ปวดขมับแทบจะทุกครั้ง แถมยังไม่ได้ค่าจ้างเป็นชิ้นเป็นอันน่ะ ที่ทำอยู่ตอนนี้ก็เพราะอุดมการณ์ล้วนๆ
ทั้งๆที่ประเสริฐขนาดนี้ ทำไมผมต้องมาทนปวดเศียรเวียนกล้าอยู่ทุกวันเลยล่ะเนี่ย? ถึงผมจะเป็นซาตานก็เถอะ แต่ถ้าโดนสวรรค์กลั่นแกล้งในรูปแบบนี้ก็รู้สึกรับไม่ได้ไงชอบกล…
+ +
เจ้าของเคสแค่อยากได้หัวข้อไปเขียนสักเรื่อง โดยที่ให้พวกผมเลือกจากปึกกระดาษเหล่านั้น และสุดท้ายก็ได้เป็นเรื่องการบินของผม
ดูจากหัวข้ออื่นๆแล้ว นอกจากจะเป็นส่วนตัวอย่างมาก ยังต้องไปรบกวนสมาชิกคนอื่นด้วยอีก เพราะงั้นถ้าใช้หัวข้อนี้ คนที่ได้รับผลกระทบสุดก็คือผม ซึ่งเป็นผลดีกับสมาชิกคนอื่น
และผมก็ไม่ได้คิดจะปิดบังความสามารถส่วนนี้ของตัวเองเท่าไหร่นัก เพราะงั้นก็ถือว่าไม่ได้มีผลกระทบอะไรมาก
ถึงงั้นก็เถอะ …แค่ที่ผมบินได้มันน่าสนใจขนาดนั้นเลยเหรอ? เริ่มจะไม่ค่อยเข้าใจสายตาที่นักเรียนคนอื่นมองผมซะแล้วสิ
แต่เอาเถอะ อย่างน้อยก็ถือว่าจบเคสได้ง่ายกว่าที่คิด…
“ตอนนี้เอาแค่รูปตอนนายบินชัดๆก็พอ ส่วนหลังจากนี้ก็ขอให้เขียนบทความเกี่ยวกับความสามารถของนายมาสักประมาณสิบหน้าเอสี่ก็เป็นอันใช้ได้!”
…ดูเหมือนจะไม่ง่ายอย่างที่คิดแล้วสิ
นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ร่วมงานกับชมรมข่าวอย่างเป็นทางการ …แม้จะเป็นแค่หัวข้อเล็กๆ แต่ดูเหมือนต่อให้มีรูปแล้วแต่ถ้ายังไม่มีหลักฐานหรือรายละเอียดชัดๆ ก็ยังเอาไปเขียนเป็นข่าวไม่ได้
อย่างรูปที่หล่อนได้ก็แค่รูปเบลอๆตอนผมบินเท่านั้น นอกจากจะไม่รู้ว่าทำไมผมถึงบินได้ ยังไม่รู้รายละเอียด ลงท้ายจึงยังไม่ได้ถูกลงในหน้าหนังสือพิมพ์โรงเรียน
เป็นเหตุผลว่าทำไมหัวข้อเป็นปึกนั่นถึงไม่ถูกนำมาใช้สักที เป็นเพราะว่ายังไม่มีแหล่งอ้างอิงนั่นเอง
ที่ผมกำลังทำอยู่ตอนนี้ ก็ถือว่าเป็นการอ้างอิง อาจจะคล้ายๆกับการสัมภาษณ์นั่นแหละ
…ขั้นตอนก็ดูจริงจังดีนะเนี่ย? แสดงว่าที่ปั้นน้ำเป็นตัวเรื่องที่ผมไปเผาห้องชมรมนี่ก็น่าจะจนตรอกน่าดู
ผมถอดเสื้อเบลเซอร์ออก เจ้าของเคสก็มาหยิบเสื้อไปถือไว้ให้ …อำนวยความสะดวกให้ผมสุดๆเลยล่ะ
“ถึงฉันจะตั้งตารอบทความของนายก็เถอะ แต่ถ้านายช่วยอธิบายขั้นตอนการบิน วิธีใช้ หรือรายละเอียดยิบย่อยต่างๆให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้ ก็จะขอบใจมากเลย”
“งั้นฉันพูดให้เธอฟังแล้วไม่เขียนบทความอะไรนั่นได้มั้ย?”
ให้เขียนบทความบ้าอะไรตั้งสิบหน้า ผมก็ไม่ได้ว่างขนาดนั้นสักหน่อย
เธอกุมคาง
“อืม…ก็ได้นะ เดี๋ยวฉันเอาที่นายพูดไปเขียนต่อเองก็ได้ ขออนุญาตอัดเสียงไว้หน่อยแล้วกัน ไม่ว่ากันเนอะ?”
พร้อมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
ตอนนี้พวกผมมาอยู่ที่ดาดฟ้าของตึกเรียน โดยที่เจ้าของเคสก็ยกเก้าอี้ขึ้นมาด้วยสองตัว
อีกทั้งยังมีกล้องราคาแพงที่ใช้ขาตั้งราคาไม่ต่างกันวางอยู่ กำลังจะเริ่มถ่ายการสัมภาษณ์
…รู้สึกทะแม่งๆไงไม่รู้สิ
เธอใช้โทรศัพท์เป็นไมค์พร้อมใช้อัดเสียงไปในตัว
“เทคหนึ่ง เสลทเข้า! แอคชั่น!”
“นี่เธออยู่ชมรมหนังหรือไง?”
“อย่าพึ่งขัดได้มั้ยเนี่ย? ดูสิต้องเริ่มใหม่หมดเลย”
“ไม่ๆ หลักๆก็ใช้แค่รูปไม่ใช่เรอะ? แล้วจะถ่ายวิดีโอทำไม?”
ก็คงจะไอ้นี่แหละที่ทำผมรู้สึกทะแม่งๆ จะเอาไปลงหนังสือพิมพ์โรงเรียนไม่ใช่เรอะ? แล้วจะใช้กล้องถ่ายไว้ทำเพื่อ?
เจ้าของเคสหัวเราะในลำคอ
“แหม เพื่อนายหลุดอะไรแปลกๆมาจะได้เก็บไว้แบล็กเมล์ทีหลังไง? อีกอย่างชมรมฉันกับชมรมหนังก็ฮั้วๆกันนั่นแหละ ที่ถ่ายไว้ก็เอาไปให้ชมรมหนังอีกต่อนึงด้วย”
เริ่มจะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมานิดๆแล้วสิ ทำไมมันวุ่นวายจังล่ะเนี่ย?
“นี่คุณรองประธาน ช่วยตีเสลทให้หน่อยได้มั้ย?”
“อะ เอ๊ะ? ตะ ตีเสลท?”
อาจจะลืมกันไปว่าพลอยก็ตามมาด้วย แม้ผมจะเอามาให้เพื่อให้สบายใจขึ้น แต่ลงท้ายเธอก็เหมือนไม่มีบทอะไรเท่าไหร่
เจ้าของเคสจึงมอบหมายหน้าที่ให้ ไม่รู้ว่าเพราะสงสารหรือว่าอะไร
“ยังงี้นะ พอฉันบอกว่าเสลทเข้า เธอก็เอาไอ้นี่ตีหน้ากล้องนะ?”
“อะ เอ่อ…เข้าใจแล้วค่ะ”
“อื้มๆ”
เจ้าของเคสจัดแจ้งเรียบร้อยก็กลับมานั่งที่เก้าอี้ข้างๆ
ผมกอดอกพลางบ่นในลำคอ
“ถ้าจะรบกวนลูกน้องฉัน เธอไปเรียกพวกชมรมข่าวไม่ก็ชมรมหนังมาช่วยไม่ดีกว่าเรอะ?”
“คนอื่นก็มีงานของตัวเองน่ะ ฉันก็เลยต้องทำงานนี้คนเดียว ยังไงก็ได้สภานักเรียนช่วยอยู่เลยด้วย”
“…เปล่าหรอก แค่จะบอกว่ายัยผีนางรำนั่นบื้อกว่าที่เธอคิดเยอะเลยล่ะ…”
“???”
เจ้าของเคสดันแว่นด้วยท่าทีงงงวย
ก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ และเริ่มอัดเสียง
“เอาล่ะ! พร้อมนะคุณรองประธาน!”
“อะ คะ ค่ะ!”
“เทคสอง! สเลทเข้า…”
“ฮึ้บ!!!”
วินาทีนั่นเอง ที่พลอยเอาเสลทฟาดไปที่กล้องราคาแพงเต็มเหนี่ยว
ตัวกล้องที่รับแรงกระแทกไม่ไหวก็ล้มไปทั้งขาตั้ง
ผมมองพร้อมอุดปากกลั้นหัวเราะ
เจ้าของเคสก็ทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อ
พลอยปาดเหงื่อเบาๆและหันมาพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ปะ…เป็นไงคะ?”
“ยังจะกล้าถามอีกเหรอ!?”
“อะ เอ๋???”
พลอยรับเสียงตะโกนของเจ้าของเคสด้วยสีหน้างงงวย
“คิดไงถึงได้ไปฟาดกล้องซะเต็มรักแบบนี้เนี่ย!?”
“กะ ก็เมื่อกี้คุณบอกให้ตีหน้ากล้อง…”
“หมายถึงตีเสลทที่หน้ากล้อง ไม่ได้ให้ตีกล้องสักหน่อย!!!”
พลอยหน้าเสียเล็กน้อย ส่วนเจ้าของเคสก็เดินไปหากล้อง
“โธ่…ลูกแม่…พังมั้ยเนี่ย…”
ผมมองเจ้าของเคสที่น้ำตาไหลด้วยความขบขัน
ที่จริงผมก็พอรู้ขั้นตอนการถ่ายหนังอยู่นิดหน่อย จากที่เคยไปเดินผ่านตอนชมรมหนังถ่ายทำ แต่อย่างพลอยคงไม่เข้าใจหรอก…
เล่นเอาเสลทไปตีกล้องแบบนั้น อืม…เป็นการแอคชั่นแบบที่ผู้กำกับไม่ต้องสั่งเลยล่ะ
“ประธานคะ คือฉันทำผิดตรงไหนเหรอคะ…”
“คงผิดที่ตีเบาไปนั่นแหละ”
“ฉันก็คิดงั้นเหมือนกันค่ะ…”
“นี่พวกนายพูดบ้าอะไรกันอยู่เนี่ย!?”
ลงท้ายก็จบหัวข้อการบินด้วยเดดวิงของผมด้วยดี ถึงจะมีกล้องที่กลับบ้านเก่าไปตัวนึงก็เถอะ…
อีกทั้งกล้องนั่นก็เป็นเงินส่วนตัวของเจ้าของเคสด้วย สุดท้ายก็เลยต้องจ่ายค่าเสียหาย
“เอ่อ ประธานคะ เดี๋ยวฉันจ่ายเองก็ได้…”
“ไม่ต้องหรอก ที่จริงฉันก็มีส่วนผิดที่ไม่ห้ามเธอแต่แรกด้วย”
ผมรู้แต่แรกแล้วว่ายัยพลอยบื้อขนาดไหน ถ้าเรื่องไหนที่เธอไม่เข้าใจ ก็จะมีภาพฮาๆให้เห็นแบบนี้แหละ ที่ไม่ยอมห้ามก็เพราะอยากเห็นล่ะนะ…
…คุ้มสุดๆเลยล่ะ
อีกอย่าง ผมก็เงินเหลือซะด้วยสิ ให้ผมจ่ายค่าเสียหายแทนก็ไม่ระคายผิวหรอก
อ่า ต่อจากนี้ก็จะได้ช่วยเหลือชมรมข่าวแบบไม่มีอคติแล้วล่ะนะ ได้เห็นยัยแว่นหนาเตอะนี่ร้องไห้แบบนั้น มันช่างกระชุ่มกระชวยหัวใจจริงๆ
การสัมภาษณ์ก็จบไปแล้ว ผมก็สาธยายวิธีการใช้เดดวิงให้ฟังไปแบบไม่ขาดตกบกพร่อง รวมถึงให้ถ่ายรูปขณะบินอยู่กลางอากาศชัดๆไปอีกสองสามรูป
“ต้องเป็นสกู๊ปที่ดีแน่! อยากให้ถึงพรุ่งนี้เร็วๆแล้วสิ!”
เจ้าของเคสตื่นเต้นอย่างมาก …ไม่เข้าใจเลยจริงๆแฮะ
“ต่อไปฉันอยากเขียนเรื่องที่นายเปลี่ยนเพศได้น่ะ! ไว้มารบกวนใหม่วันหลังนะ!”
ผมยิ้มแห้งพร้อมโบกมือไล่ไปให้พ้นๆ…
ระหว่างเดินกลับห้องสภา
“ว่าแต่ว่า…”
“หืม?”
พลอยก็เกริ่นนำจนผมสงสัย
“ประธานเปลี่ยนเพศได้จริงๆเหรอคะ?”
“นี่เธอก็อยากรู้ด้วยเรอะ…”
“ก็…มั้งคะ?”
“เฮ้อ พวกเราต้องอยู่ด้วยกันอีกนาน เดี๋ยวก็คงมีโอกาสได้เล่าจริงๆจังๆนั่นแหละ ทนเอาหน่อยแล้วกัน”
พอผมพูดไปอย่างนั้น พลอยก็กะพริบตาไปสองสามที
“นะ นั่นสินะคะ ต้องอยู่ด้วยกันอีกนานเลย แย่จริงๆนะคะเนี่ย”
“เป็นไรไป? หน้าเธอแดงๆนะ?”
“อากาศร้อนค่ะ! ประธานไม่ร้อนหรือไงคะ!?”
“ร้อนสิ รีบไปตากแอร์ที่สภากันเถอะ”
“ค่ะ!”
และก็จบเคสง่อยๆไปอีกหนึ่ง ทั้งหมดทั้งมวลก็กลายเป็นนั่งสาธยายเดดวิงให้เด็กสาวหัวหน้าชมรมข่าวฟัง แล้วให้เอาไปเขียนต่อเอาเอง และให้เธอถ่ายรูปตอนผมใช้เดดวิงชัดๆก็เท่านั้น
อย่างน้อยก็ถือว่าจบเคสได้ง่ายๆ
เพราะหลักๆเธอก็แค่อยากได้หัวข้อไปเขียนช่วงนี้เท่านั้นเอง
แต่ที่จริง…ผมก็ค่อนข้างตั้งตารอเลยล่ะ ว่าจะเขียนออกมาเป็นได้เป็นแบบไหน หวังว่าจะออกมาดีล่ะนะ…
เคสที่ 7 (ชมรมข่าว) /จบ