สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 85.2 เหยาเหยาเสนอแผนการอีกครั้ง (รอบสอง) (2)
บนโลกนี้มีคนมากมายที่ดึงดูดสายตา
บางคนเพราะรูปโฉมภายนอกของเขา บางคนเพราะเสื้อผ้าบนตัวที่หรูหราของเขา ทว่ามีอีกประเภทหนึ่งคือบนตัวของเขามีบุคลิกที่ดึงดูดผู้คน
ส่วนขันทีน้อยตรงหน้านี้ บนร่างกายไม่มีเสื้อผ้าหรูหรา มีแต่ชุดขันทีสีน้ำเงินเข้ม รูปร่างก็เล็กบอบบางอย่างยิ่ง หากให้ ‘เขา’กองอยู่ท่ามกลางฝูงชน ไม่นานต้องถูกคนกลบฝังจนลุกขึ้นไม่ได้แน่
แต่‘เขา’กลับมีใบหน้าที่ยอดเยี่ยม
อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้า ราวสร้างจากหยกชั้นดีที่ประณีตสวยงาม
โดยเฉพาะเวลานี้ ‘เขา’ มีสีหน้าเปี่ยมด้วยความโอหังและมั่นใจในตัวเอง ทำให้คนไม่อาจละสายตาได้
ยังมีบุคลิกบนตัวของ ‘เขา’ ที่แฝงไปด้วยเสน่ห์ที่มั่นใจหลายส่วน ทำให้อดเชื่อในคำพูดของ‘เขา’ไม่ได้
เวลานี้ เหลิ่งจวิ้อวี๋ไม่รู้ตัวเลยว่าค่อยๆ ถูกบุคลิกบนตัวของเล่อเหยาเหยา และใบหน้าที่ดูมั่นใจดึงดูดไว้
ในใจเวลานี้ก็คล้ายเกิดความรู้สึกแปลกใหม่ขึ้นมา
เล่อเหยาเหยาไม่รู้ความคิดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ จึงรู้ว่าเขาร้อนใจ ดังนั้นจึงไม่รีรอ รีบเอ่ยปากขึ้นว่า
“ในเมืองหลวงทุกปีต้องจัดการแข่งขันการแสดงความสามารถด้านศิลปะขึ้นหนึ่งครั้งมิใช่หรือ! ความจริงพวกเราสามารถใช้โอกาสครั้งนี้ ให้เหล่าหญิงสาวมาถึงก่อนเข้าร่วมการแข่งขันด้วยเหตุผลที่เหมาะสม เช่นนี้จะไม่ทำให้คนของลัทธินอกรีตสงสัย อีกทั้งข้ารู้ว่าการแข่งขันแสดงความสามารถด้านศิลปะจะจัดขึ้นเป็นเวลาสองวันหนึ่งคืน ดังนั้นทุกปีเย็นวันนั้นต้องมีสถานที่ให้เหล่าหญิงสาวมารวมตัวกันที่นั้นเพื่อพักผ่อน พวกท่านว่าคนของลัทธินอกรีตจะพลาดโอกาสครั้งนี้หรือ! มีหญิงสาวมารวมตัวกันมากมาย พวกลัทธินอกรีตต้องเคลื่อนไหวในคืนนั้นแน่นอน!”
เล่อเหยาเหยาวิเคราะห์ได้ละเอียดอย่างยิ่ง ทำให้ทุกคนต่างฟังอย่างเข้าใจ
เพียงแต่ เหม่ยหลังฟังคำพูดนี้จบ อดเอ่ยถามข้อสงสัยในใจขึ้นมาไม่ได้
“แต่ตอนนี้เรื่องควักหัวใจด้านนอกลือกันอื้ออึง ครอบครัวที่มีลูกสาว ต้องให้ลูกสาวตนหลบซ่อนตัว จะให้ลูกสาวตนเข้าร่วมการแข่งขันแสดงความสามารถด้านศิลปะนี้ได้เช่นไร!”
“ใช่ ข้าเองก็คิดเช่นนี้! รวมทั้งหากหญิงสาวมารวมตัวกันมากมาย พวกลัทธินอกรีตปรากฎตัวขึ้นมากะทันหัน แม้พวกเราจะจัดคนคอยคุ้มกัน ก็ทำร้ายหญิงสาวพวกนั้นได้อยู่ดี”
ซิงที่อยู่ด้านข้างก็เอ่ยปากขึ้นเช่นกัน
เมื่อได้ฟังคำพูดของเหม่ยและซิง เล่อเหยาเหยากลับไม่ได้มีสีหน้าพ่ายแพ้ แต่ยิ้มอย่างถือดีพลางเอ่ยขึ้นว่า
“ฮ่า ฮ่า สำหรับเรื่องนี้ ทุกคนวางใจได้ เพราะหากให้หญิงสาวเหล่านั้นมารวมตัวอยู่ด้วยกัน พวกเราสามารถใช้อุบายสับเปลี่ยนได้!”
จากคำพูดของเล่อเหยาเหยา ทุกคนพลันฉุกคิดขึ้นมา ก่อนพากันมีท่าทีตกตะลึงออกมา ตบมือพลางเอ่ยว่า
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว!”
“ข้าเช่นกัน รู้ความหมายของกระต่ายน้อยแล้ว! ความหมายของกระต่ายน้อยคือ เมื่อถึงคืนนั้น ให้แอบส่งหญิงสาวเหล่านั้นไปสถานที่ที่ปลอดภัย แล้วเปลี่ยนเป็นคนของเรา เช่นนี้ทุกคนไม่ต้องกังวลแล้ว!เยี่ยม เยี่ยมจริงๆ!”
เหม่ยและซิงต่างยิ้มออกมาอย่างดีใจ
เพราะตอนนี้ได้วิธีแก้ไขเรื่องควักหัวใจ และจะยังสามารถจับกุมลัทธินอกรีตที่น่ารังเกียจพวกนั้นได้อีก ก้อนหินขนาดใหญ่ในใจของพวกเขาจึงหายไปเกือบครึ่ง จะไม่ให้พวกเขาไม่ดีใจได้เช่นไร!
“กระต่ายน้อย เจ้าคิดเรื่องพวกนี้ได้เช่นไร สวรรค์ เจ้าสามารถเป็นกุนซือได้เลยนะ!”
ซิงมีนิสัยตรงไปตรงมา กล้าที่จะรัก กล้าที่จะเกลียด ดังนั้นจึงไม่ตระหนี่ที่จะชื่นชมเล่อเหยาเหยาแม้แต่นิดเดียว
ส่วนเล่อเหยาเหยาก็รับคำชมของซิงอย่างใจกว้าง รอยยิ้มตรงหน้ายิ่งล้ำลึกและสดใสมากขึ้น
เพราะสามารถคิดวิธีนี้ได้ จึงเท่ากับสามารถช่วยชีวิตหญิงสาวบริสุทธิ์เหล่านั้นได้ สำหรับเรื่องนี้เธอดีใจยิ่งนัก
ขณะที่เล่อเหยาเหยาดีอกดีใจอยู่ในใจ คิดไม่ถึงว่าจะสบเข้ากับสายตาชื่นชมของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เข้า
แม้เหลิ่งจวิ้นอวี๋จะสีหน้าเปลี่ยนแปลงไม่มาก แต่จากสายตาแฝงความชื่นชมที่เขามองมาที่ตน เล่อเหยาเหยารู้ว่าพญายมก็กำลังดีใจเช่นกัน!
เมื่อเห็นพญายมดีใจ ใจของเล่อเหยาเหยาคล้ายกับถูกราดด้วยน้ำผึ้ง อันหอมหวาน
อีกทั้งสามารถช่วยเหลือเขา เล่อเหยาเหยารู้สึกว่าช่างดียิ่งนัก
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาไม่หวาดกลัวนัยน์ตาเย็นชาของพญายมอีก และยังยิ้มให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋อย่างใจกว้างอีกด้วย
สีหน้าดีใจ รอยยิ้มสดใสนุ่มนวล งดงาม กระจ่างใสอย่างยิ่ง
คล้ายน้ำที่ใสสะอาดบ่อหนึ่ง ลมเย็นสบายใจ แสงแดดสวยงาม ตกลงไปในใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋
ทำให้ในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋สั่นไหวอย่างรุนแรง
ผ่านไปนาน เหลิ่งจวิ้นอวี๋จำได้เช่นเดิมว่า ครั้งแรกที่เล่อเหยาเหยายิ้มให้เขา งดงามอย่างยิ่ง งดงามจริงๆ
งดงามจนคล้ายน้ำแข็งในใจมุมหนึ่ง ค่อยๆ ละลายออกมา
ดังนั้นเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เดิมทีเคร่งขรึม อดยิ้มจางๆ ที่มุมปากออกมาต่อหน้าทุกคนไม่ได้ ก่อนยิ้มให้กับเล่อเหยาเหยา
แม้เทียบกับรอยยิ้มอันสดใสงดงามของเล่อเหยาเหยา รอยยิ้มของเขาจะดูเย็นชาอย่างยิ่ง แต่กลับมากพอให้ทุกคนในที่นั้นอ้าปากค้าง ตกตะลึงพรึงเพริด
“สวรรค์ ท่า…ท่านอ๋องยิ้มแล้ว” ดวงตาซิงเบิกกว้าง ตกใจจนไม่อยากเชื่อสายตา
เหม่ยที่อยู่ด้านข้าง แม้สีหน้าจะไม่ได้เกินจริงเช่นซิง แต่ภายในแววตาก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง ก่อนพลันเอ่ยเบาๆ ว่า
“ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแล้ว”
ตรงข้ามกับเหม่ยและซิง หนานกงจวิ้นซีด้านข้างก็ตกตะลึงเช่นกัน
เพราะเขารู้จักกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋มานานหลายปี สำหรับนิสัยของเหลิ่งจวิ้นอวี๋เขาก็เข้าใจดี
ในสายตาของเขา ศิษย์พี่ใหญ่เคร่งขรึม ทั่วร่างเยือกเย็นดุจน้ำแข็ง คล้ายภูเขาน้ำแข็งที่เคลื่อนที่ได้
แม้ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่เทียนซาน จะไม่เคยเห็นเขายิ้มเลย
แต่ตอนนี้ ศิษย์พี่ใหญ่ยิ้มแล้ว!
สวรรค์!
ศิษย์พี่ใหญ่ก็ยิ้มได้!
หรือวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันตก!
ปาฏิหาริย์! ปาฏิหาริย์จริงๆ!
หนานกงจวิ้นซีตกตะลึงอยู่ในใจ แต่หลังผ่านการตกตะลึง สายตาค่อยๆ มองไปยังเล่อเหยาเหยาอย่างอดไม่อยู่ เมื่อเห็นเล่อเหยาเหยายิ้มอย่างสดใสงดงามให้กับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ หนานกงจวิ้นซีก็พบว่า ในใจตนอึดอัด คล้ายมีสำลีก้อนหนึ่งอัดแน่นอยู่ ทำให้เขาไม่พอใจอย่างยิ่ง
เพราะเขาไม่ชอบที่เล่อเหยาเหยายิ้มให้กับชายอื่น
รอยยิ้มของ ‘เขา’น่ามองและน่าหลงใหลยิ่งนัก!
แต่กลับยิ้มให้กับชายอื่น!
น่าตายนัก!
แม้ในใจจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและโมโห แต่จำต้องพูดว่า หลังจากหนานกงจวิ้นซีได้ยินการเอ่ยเล่าของเล่อเหยาเหยา เขากลับมองเล่อเหยาเหยาด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
อาจเพราะวิธีพบกันครั้งแรกของพวกเขาไม่ถูกต้อง เขาจึงเริ่มเกลียดชังขันทีน้อยตรงหน้านี้ขึ้น คิดไม่ถึง ศิษย์พี่ใหญ่จะปฏิบัติกับขันทีน้อยนี้เป็นพิเศษ ที่แท้ทั้งหมดนี้เป็นเพราะขันทีน้อยนี้มีความสามารถต่างจากคนอื่น!
ตอนนี้เขาจึงพบว่า..
ขณะที่ทุกคนคิดกันไปต่างๆ นานา ทางด้านเหลิ่งจวิ้นอวี๋นั้น หลังยิ้มจางๆ ชั่วครู่ พลันหุบยิ้มลงอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น มีสีหน้าเคร่งเครียด ก่อนเอ่ยปากกับเหม่ยและซิงว่า
“เช่นนั้นตอนนี้พวกเจ้าไปทำตามวิธีของกระต่ายน้อย ก่อนอื่น พวกเราต้อง…”
ครั้งนี้ เหลิ่งจวิ้นอวี๋มอบหมายงานให้เหม่ยและซิงมากมาย ซิงและเหม่ยหลังจากฟังจบ ก็รีบร้อนจากไป
และเวลานี้ความมืดก็ย่างกรายมาอย่างไม่รู้ตัว
เหลิ่งจวิ้นอวี๋หลังถอนหายใจเบาๆ ออกมา พลันยื่นมือกดที่คิ้ว คล้ายเหนื่อยล้าเล็กน้อย
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น ดวงตางดงามก็เป็นประกายวาบขึ้นชั่วขณะ ในใจรัดแน่นเล็กน้อย เมื่อรู้สึกถึงความเจ็บปวดของชายหนุ่มตรงหน้า
แม้ชายหนุ่มตรงหน้า จะมีสถานะสูงส่งมากมาย มีทรัพย์สินเงินทองที่ใช้ไม่มีวันหมด มีอำนาจไร้ผู้ใดเทียบได้ แต่ที่จริงเขาก็คงเหนื่อยล้าอย่างมาก!
แม้คนด้านนอกจะเล่าลือกันว่าเขาเย็นชาไร้ความรู้สึก แต่ช่วงเวลาอันสั้นนี้เล่อเหยาเหยาพบว่า ความจริงพญายมเป็นคนที่ใส่ใจผู้อื่นที่สุด อีกทั้งเขายังรักราษฎรดุจลูก ในใจล้วนคำนึงถึงแต่ราษฎร
ไม่แค่อุทกภัยครั้งก่อน ยังมีเรื่องควักหัวใจในครั้งนี้ เขาทุ่มทั้งแรงกายแรงใจ ลงมือทำด้วยตนเอง ชายหนุ่มเช่นนี้ ความจริง ทำให้คนศรัทธาอย่างยิ่ง!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาอดเอ่ยถามอย่างห่วงใยกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ได้
“ท่านอ๋อง ยามนี้สายแล้ว ท่านอ๋องยังไม่ได้เสวยเลยพ่ะย่ะค่ะ! มิสู้ให้บ่าวสั่งคนไปจัดเตรียมอาหารเย็นเถอะ!”
“เอ่อ”
เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาเอ่ยเตือนอย่างห่วงใย เหลิ่งจวิ้นอวี๋หยุดบีบคิ้ว ดวงตาเย็นชาหันออกไป เมื่อเห็นสีท้องฟ้าด้านนอก เอ่ยขึ้นอย่างพลันนึกได้ว่า
“ที่จริงตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว เช่นนั้นยกอาหารมาตอนนี้เถอะ!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้รับคำสั่งของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยารีบถอยออกไป หลังสั่งให้คนในครัวยกอาหารเย็นเข้ามาตนเองก็ไปยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้างอย่างรู้หน้าที่
ความจริง ตอนนี้เธอก็หิวมากเช่นกัน
เพราะเมื่อครู่ในห้องหนังสือ พูดไม่หยุดอยู่นาน เลยเปลืองสมองไปไม่น้อย เธอตอนนี้จึงทั้งเหนื่อย คอแห้ง และหิว
ทว่าใครให้เธอตอนนี้เป็นเพียงบ่าวรับใช้!
ดังนั้น ต้องรอให้ชายหนุ่มสองคนตรงหน้าอิ่มก่อน ถึงจะสับเปลี่ยนเป็นเธอ
แต่แม้ในใจเล่อเหยาเหยาจะคิดเช่นนี้ แต่ตอนนี้เธอหิวมากจริงๆ
โดยเฉพาะ อาหารของเย็นวันนี้หลากหลายอย่างยิ่ง
ไม่รู้ว่าคนในครัวรู้ว่าปากขององค์ชายเจ็ดและพญายมแตกต่างกันหรือไม่ จึงเตรียมอาหารเย็นมาหลากหลายเมนู
ประกอบด้วยหัวสิงโตตุ๋นน้ำแดง ปลากะพงนึ่ง กุ้งผัดพริก ซุปหูฉลามรังนก
ทุกชนิดทุกแบบ ครบถ้วนด้วยรูป รส กลิ่น
เมื่อมองทำให้คนน้ำลายท่วม
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกลิ่นอันหอมหวนนั้น
พอแล้ว ตอนนี้ท้องของเธอส่งเสียงร้องออกมาแล้ว โชคร้ายจริงๆ !
เฮ้อ เล่อเหยาเหยา ใครให้เธอเป็นเพียงบ่าวรับใช้!
เธอต้องอดทนไว้!
ไม่มอง ไม่มอง! เช่นนี้จะไม่หิวจนเกินไป!
เล่อเหยาเหยาสะกดจิตตนเองไม่หยุด อีกทั้งศีรษะเล็กก้มต่ำลง มองเพียงปลายเท้าของตนเอง
แต่แม้เธอจะควบคุมไม่ให้ตนมองได้ แต่เธอกลับควบคุมหูไม่ให้ฟังไม่ได้
โดยเฉพาะเสียงกังวานของชามและตะเกียบที่กระทบกัน ยังมีองค์ชายเจ็ดนั้นต้องตั้งใจเป็นแน่
เขารู้ว่าตนเองเวลานี้หิวอย่างมาก ดังนั้นเวลากินจึงตั้งใจ ทำเสียงให้ดัง!
อา อา อา
น่าโมโหนัก!
น่าตายนัก!เธอขอสาปให้เขาสำลักเวลากิน!
เล่อเหยาเหยาร้องตะโกนอยู่ในใจ
อาจเป็นเพราะสวรรค์ได้ยินเสียงร้องขอของเธอ สงสารเธอ ทำให้ความหวังของเธอเป็นจริง
ได้ยินเพียงเสียงไอเบาๆ แม้บางคนจงใจควบคุมไว้ แต่ยังถูกเล่อเหยาเหยารับรู้เช่นเดิม
ลืมตามองขึ้น เล่อเหยาเหยาแทบหัวเราะอย่างดีใจในโชคร้ายของผู้อื่นขึ้นมา
อีกทั้งขอบคุณสวรรค์ในใจไม่หยุด!
เพราะองค์ชายเจ็ดน่ารังเกียจนั้นกำลังสำลักเข้าจริงๆ!
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยามีท่าทางดีอกดีใจ อดยิ้มออกมาไม่ได้
อีกทั้งรอยยิ้มนั้น ยังดูดีใจในความโชคร้ายของผู้อื่นอย่างยิ่ง หนานกงจวิ้นซีที่โมโหอยู่ตรงข้ามสีหน้าพลันมึนงง
…………………………………………………………….