สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! - ตอนที่ 147.2 เรียกเปิ่นหวางว่าอวี๋ (2)
ขณะเล่อเหยาเหยาแปลกใจ ผู้จัดการเห็นสายตาไม่เข้าใจ และสีหน้านิ่งเฉยของเล่อเหยาเหยา กลับเอ่ยปากอธิบายขึ้นว่า
“ท่านกงกงคงมิทราบว่า หอยนางรมนี้เทียนหยวนผลิตได้จำนวนไม่มาก แน่นอนว่านอกจากวังรุ่ยอ๋องและวังหลวง ในเมืองหลวงมีเพียงร้านของเราเท่านั้นที่มี”
พอเอ่ยถึงตรงนี้ ผู้จัดการร้านมีสีหน้าภูมิใจอย่างมาก เล่อเหยาเหยาได้ยินจึงพลันตกใจ
ถูกต้อง ที่นี่ไม่ใช่ยุคปัจจุบัน ดังนั้นสิ่งของจึงมีความแตกต่างกันอย่างมาก
คิดไม่ถึงหอยนางรมตัวเล็กนี้ กลับเป็นเป็นของล้ำค่าเมื่ออยู่ที่นี่!
ขณะเล่อเหยาเหยาอุทานในใจ ผู้จัดการร้านคล้ายฉุกคิดขึ้นได้ จึงพลันหัวเราะฮิฮิขึ้น
“ท่านอ๋อง ลองลิ้มรสหอยนางรมนี้ดูขอรับ บุรุษทานหอยนางรม ถือว่าเป็นยาบำรุงชั้นดีเลย”
สำหรับคำพูดน่าขัน กะทันหันของผู้จัดการ และสีหน้าแปลกประหลาด ที่เล่นหูเล่นตา กลับทำให้เล่อเหยาเหยากังวลใจ
“เหตุใดบุรุษต้องทานสิ่งนี้เป็นการบำรุง หรือว่าข้าทานแล้วไม่ดีต่อร่างกายหรือ”
เพราะผู้จัดการพลันหัวเราะอย่างชั่วร้ายเป็นพิเศษ จึงทำให้เล่อเหยาเหยาสงสัย
ดวงตาคู่งามที่ถลึงจนเบิกกว้างนั้น ภายในเต็มไปด้วยความแปลกใจ
สำหรับสีหน้าแปลกใจของเล่อเหยาเหยา ผู้จัดการร้านหัวเราะฮิฮิขึ้นอีกครั้ง ก่อนเอ่ยว่า
“ท่านกงกงคงมิทราบ หอยนางรมนี้ หากบุรุษทาน ย่อมบำรุงเรื่องด้านนั้น”
“ด้านนั้นคือด้านใดหรือ”
สำหรับคำพูดของผู้จัดการร้าน เล่อเหยาเหยาฟังแล้วสับสนมึนงง ด้านหน้ามีเพียงเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายของเขา
ทว่าแม้เล่อเหยาเหยาจะฟังไม่เข้าใจ แต่ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ กลับเข้าใจ
ทันใดนั้น คิ้วน่ามองนั้นเลิกขึ้น ไม่รอให้เล่อเหยาเหยาเอ่ยถามมากกว่านี้ จึงเอ่ยกับผู้จัดการร้านนั้นว่า
“เช่นนั้นเอาหอยนางรมมาอีกจาน ไม่ สามชุดน่าจะพอแล้ว”
ผู้จัดการได้ยินจบ หัวเราะฮ่าฮ่าก่อนถอยหลังออกไป
เล่อเหยาเหยาที่น่าสงสารยังคงฟังอย่างสับสนมึนงงเช่นเดิม สุดท้ายหลังได้ยินเหลิ่งจวิ้นอวี๋สั่งหอยนางรมเพิ่มอีกสองชุด ดวงตาคู่งามพลันเบิกกว้าง
“ท่านอ๋อง ท่านยังสั่งอีกหรือ ที่นี่มีเพียงพวกเราสองคน อาหารเยอะขนาดนี้ เกรงว่าคงทานไม่หมดแน่ สิ้นเปลืองเกินไปนะ”
เล่อเหยาเหยาตกใจ
เพราะแม้ช่วงนี้เธอจะเจริญอาหาร แต่ตรงหน้าพวกเขามีอาหารกว่าสิบเมนู อาหารเหล่านี้ พวกเขาก็ทานไม่หมดอยู่แล้ว เขากลับยังสั่งอาหารมาอีกสองชุด จริงๆ เลย แม้จะมีเงินทอง ก็ไม่ควรสิ้นเปลืองเช่นนี้
สำหรับคำพูดของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋เพียงดวงตาเย็นชาเป็นประกาย ก่อนยิ้มอย่างมีเลศนัย
“ไม่สิ้นเปลือง”
เอ่ยจบ สายตาที่จับจ้องบนตัวเล่อเหยาเหยา แฝงด้วยความร้อนแรง
เห็นเช่นนั้น เล่อเหยาเหยาอดขนลุกขนชันไม่ได้
ไม่รู้เพราะเหตุใด เธอจึงมักรู้สึกว่าสายตาของพญายมดูแปลกประหลาด
สายตาที่มองเธอ ให้ความรู้สึกคล้ายหมาป่าตัวใหญ่กำลังจ้องขย้ำหนูน้อยหมวกแดง
ทว่าเล่อเหยาเหยาไม่ได้คิดมาก เพราะท้องของเธอกำลังประท้วง ตอนนี้อาหารเลิศรสอยู่ตรงหน้า เธอต้องเติมท้องให้อิ่มก่อนแล้วค่อยคิดเรื่องอื่น!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาก็ไม่เกรงใจ หยิบตะเกียบขึ้น ก่อนพลันทานอย่างเอร็ดอร่อย
พลางทาน จมูกส่งเสียงฮึมฮัมอย่างพอใจออกมาตลอดเวลา
“อืม อร่อยเหลือเกิน ปูนี้ไม่เลวจริงๆ ยังมีกุ้งดอกบัวนี้อีก อา เนื้อช่างนุ่มจริงๆ”
เล่อเหยาเหยาทานจนปากมันแผลบ แต่เธอไม่สนใจ
เพราะตรงหน้ามีอาหารโอชะมากมาย เธอจึงวางมือไม่ลง
ตรงข้ามกับเล่อเหยาเหยาที่ทานอย่างเอร็ดอร่อย เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเธอ เพียงนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ในมือเรียวยาวนั้นถือจอกสุราจิบดื่มอย่างสง่างาม
เพราะโรงเตี๊ยมอาหารทะเลนี้ไม่ได้ขึ้นชื่อเพียงอาหารทะเล สุราที่นี่ก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน!
เขาเห็นเล่อเหยาเหยาทานอาหารทะเลพวกนั้นอย่างอร่อย ดังนั้นจึงหยิบตะเกียบขึ้นมาเงียบๆ คีบหอยนางรมวางลงในชามของเล่อเหยาเหยา
“หือ”
เห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋คีบอาหารให้ตน เล่อเหยาเหยาตะลึงเล็กน้อย ก่อนใบหน้าจิ้มลิ้มพลันเขินอาย
ทว่าเธอยังเอ่ยขอบคุณเบาๆ ก่อนคีบหอยนางรมชิ้นนั้นทานจนหมด
“รสชาติเป็นเช่นไร”
“อืม อร่อยมากขอรับ”
เล่อเหยาเหยาเอ่ยพูดตามความจริง
เนื้อหอยนางรมนี้ทำออกมาได้นุ่ม เมื่อรวมเข้ากับรสชาติของกระเทียมจึงสุดยอดมากจริงๆ ทานเสร็จยังเหลือกลิ่นอยู่ในปาก!
ทันใดนั้น เล่อเหยาเหยาอดยกตะเกียบของตน คีบหอยนางรมขึ้นมาอีกชิ้นไม่ได้
ขณะกำลังจะส่งเข้าปาก พลันฉุกคิดขึ้นได้ จึงนำหอยนางรมในตะเกียบวางลงในชามของเหลิ่งจวิ้นอวี๋
“ท่านอ๋อง ท่านก็ทานสักชิ้นเถิด รสชาติเยี่ยมจริงๆ”
เล่อเหยาเหยาเพิ่งเอ่ยจบ ตะเกียบในมือกลับถูกเหลิ่งจวิ้นอวี๋สกัดไว้
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น ใบหน้าจิ้มลิ้มตะลึงงัน
ดวงตาคู่งามมองตะเกียบของตน เดิมคิดว่าพญายมรักความสะอาด ไม่ชื่นชอบตะเกียบที่ผู้อื่นใช้คีบสิ่งของมาก่อน
หลังตกใจ เล่อเหยาเหยาคิดดึงมือตนกลับมา คิดไม่ถึงกลับเห็นชายหนุ่มที่นั่งตรงข้ามตน ใช้นิ้วชี้ไปที่บนริมฝีปากของตนเบาๆ แสดงท่าทางให้เธอป้อนเขาด้วยตนเองออกมา
เสียง ‘ตูม’ ดังขึ้น ก่อนเล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงร่างกายแข็งทื่อ
ทันใดนั้น กระแสความร้อนพุ่งทะลักจากในใจขึ้นสู่เหนือศีรษะ
ป้อนอาหารเขาหรือ!
พญายมนี่จริงๆ เลย
ในใจแม้จะขวยเขินไม่หยุด แต่สุดท้ายเล่อเหยาเหยายังหน้าแดง หยิบตะเกียบที่มีหอยนางรมส่งเข้าไปที่ริมฝีปากของเหลิ่งจวิ้นอวี๋
และชายหนุ่มทานหมดในคำเดียว
อีกทั้งหลังทานเสร็จ ไม่รู้ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ กลับยังยื่นลิ้นที่ชุ่มชื้นนั้นออกมา เลียริมฝีปากอย่างยั่วยวนเป็นที่สุด ด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย
เห็นเช่นนั้นเล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงใบหน้าตนร้อนผ่าว กระทั่งใบหูแดงก่ำ เหนือศีรษะก็ไม่รู้ว่ามีควันลอยพวยพุ่งออกมาหรือไม่!
พญายมทำท่าทางนี้ได้ดึงดูดใจยิ่งนัก!
ทำให้เธออดนึกถึง จุมพิตอย่างดูดดื่มเมามันกับเขาบนยอดไม้เมื่อครู่ไม่ได้
ยิ่งคิด เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงจิตใจฟุ้งซ่าน กระทั่งหัวใจเต้น ‘ตึกตักตึกตัก’ อย่างผิดจังหวะ
เพราะกังวลและเขินอายเกินไป ดังนั้นสุดท้ายเล่อเหยาเหยาเพียงก้มหน้าลงต่ำ ก่อนทานหอยนางรมจานใหญ่ตรงหน้าจนหมดเกลี้ยง เห็นเช่นนั้นเหลิ่งจวิ้นอวี๋มองอย่างพอใจอย่างมาก
ภายในดวงตาเย็นชาพลันเป็นประกายระยิบระยับ
หอยนางรมคือยาบำรุงชั้นดี! ทว่าไม่รู้จะมีประโยชน์ต่อ ‘เขา’ ได้หรือไม่
แม้ว่า ตอนนี้ ‘เขา’ จะเป็นผู้ชายเพียงครึ่งเดียว
อาหารมื้อนี้ เล่อเหยาเหยาทานจนหมดเกลี้ยง ท้องแน่นขนัด สุดท้ายเพียงลูบท้องกลมโตอย่างพอใจ นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยสีหน้าอิ่มอกอิ่มใจอย่างเกียจคร้านขึ้นมา
“หู้ว อาหารมื้อนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ”
“ชอบหรือไม่”
เมื่อเห็นท่าทางอิ่มอกอิ่มใจของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเพียงยิ้มมุมปาก พลันรินน้ำชาให้เล่อเหยาเหยาอย่างใส่ใจ จากนั้นส่งไปตรงหน้าเล่อเหยาเหยาอย่างเงียบๆ
เล่อเหยาเหยาเห็นเช่นนั้น พลันรู้สึกกระดากอาย
เพราะความสัมพันธ์ของพวกเขาคือเจ้านายและบ่าว เขาคือเจ้านาย เธอคือบ่าว จะมีเจ้านายคนใดรินน้ำชาให้กับบ่าว!
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาคิดแย่งกาน้ำชามา
“บ่าวทำเองดีกว่า”
“ไม่ต้อง”
เมื่อทราบถึงความคิดของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงเอ่ยปากปฏิเสธเบาๆ
อีกทั้งหลังจากได้ยินเล่อเหยาเหยาแทนตนเองว่าบ่าวอีกครั้ง หัวคิ้วขมวดเป็นปมอย่างไม่พอใจ จากนั้นคล้ายฉุกคิดขึ้นได้ จึงเอ่ยขึ้นว่า
“ต่อไป ต่อหน้าเปิ่นหวาง เจ้าต้องแทนตนเองว่าข้า”
“เอ่อ”
สำหรับคำพูดชายหนุ่ม เล่อเหยาเหยาแสดงความตะลึงอย่างหนักออกมา
ดวงตาคู่งามเบิกกว้าง ตกตะลึงมากมายจนสุดที่จะบรรยาย
“นี่ นี่จะได้เช่นไร บ่าวเป็นบ่าวไพร่”
“ต่อหน้าเปิ่นหวาง เจ้ามิใช่บ่าวไพร่”
คำพูดนี้ของเหลิ่งจวิ้นอวี๋หนักแน่นอย่างยิ่ง
เมื่อได้ฟังคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ใจของเล่อเหยาเหยาอดอบอุ่นไม่ได้
เพราะแม้เธอจะไม่ใช่คนที่เกิดและเติบโตในยุคโบราณ ในใจมีแนวคิดเรื่องทุกคนต้องเท่าเทียม แต่หลังมาถึงที่นี่ ต้องถูกสอดส่องทุกย่างก้าว ไม่สะเพร่าเพราะกลัวก้าวพลาด เพราะภายในวังอ๋อง ชีวิตบ่าวไพร่คือสิ่งที่ต่ำต้อยไร้ค่าที่สุด หากเธอไม่ระวังทำผิดพลาดสิ่งใด ต้องได้รับการลงโทษ
ตอนนี้ชายหนุ่มที่สูงศักดิ์คล้ายพญายมนี้ กลับเอ่ยกับเธอด้วยประโยคเช่นนี้
ต่อหน้าข้า เจ้ามิใช่บ่าวไพร่!
ประโยคนี้ ดุจสายฟ้าที่ฟาดตรงลงมากลางใจเธอ ก่อนสลักลงในห้องหัวใจของเธอ
ในใจเอ่อล้นด้วยความปลาบปลื้มใจ
พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาเงยดวงตาคู่งามที่แฝงด้วยหมอกอันเลือนราง ยกมุมปากยิ้มกว้างให้กับชายหนุ่มตรงหน้า
“ได้ ข้าเข้าใจแล้ว ท่านอ๋อง”
“ฮ่า ๆ”
เห็นรอยยิ้มของเล่อเหยาเหยา เหลิ่งจวิ้นอวี๋ยิ้มพลางหัวเราะ
“ยังมีอีก”
“เอ่อ!” ยังมีอีกหรือ!
“ต่อไป เวลาที่เราอยู่กันเพียงลำพังสองคน เจ้าต้องเรียกเปิ่นหวางว่าอวี๋”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยจบ เล่อเหยาเหยาดุจฟ้าผ่าตอนกลางวันแสกๆ อีกครั้ง ชะงักอยู่ตรงนั้น!
อาหารมื้อนี้ ทานแล้วทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเธอใกล้ชิดกันเกินไปหรือไม่
อวี๋หรือ!
เป็นคำเรียกที่สนิทสนมยิ่งนัก
ราวกับเป็นคำเรียกที่สนิทสนมระหว่างคู่รัก
พอคิดถึงตรงนี้ แววตาเล่อเหยาเหยาปรากฏความเขินอายขึ้น พลันก้มใบหน้าเล็กลงต่ำ
หัวใจเต้นระรัวขึ้นอีกครั้ง
ไม่รู้เพราะหลังรู้ความในใจของชายหนุ่มตรงหน้าหรือไม่ เธอจึงอ่อนไหวต่อคำพูดเขาอย่างมาก
อีกทั้งท่าทีที่เขามีต่อเธอ ก็เปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย
วันนี้เขายิ้มอย่างมีความสุข
วันนี้เขาอ่อนโยน สนิทสนมกับเธออย่างยิ่ง
ความรู้สึกนั้นดุจเพื่อน และดุจคนรัก
เล่อเหยาเหยาไม่รู้ เธอรู้เพียงจู่ๆ พญายมดีต่อเธอ ทำให้เธอรู้สึกเร็วเกินไป กะทันหันจนเธอตั้งตัวไม่ทัน
ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงเอาแต่ก้มหน้าไม่พูดจา
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เห็นเช่นนั้น ทราบว่าอาจเพราะตนใจร้อนวู่วามเกินไป ดังนั้นจึงไม่ได้เร่งรัดเอาคำตอบจากเธอ เพียงเอ่ยว่า
“ไม่ต้องรีบ รอให้เจ้าสบายใจแล้ว ค่อยเรียกเปิ่นหวางเช่นนี้เถิด”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อได้ฟังคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ เล่อเหยาเหยาถอนหายใจอย่างโล่งอก ทันใดนั้นในที่สุดก็เงยหน้าขึ้นมา ยิ้มให้กับชายหนุ่ม
ทว่าเล่อเหยาเหยายิ้มได้ไม่นาน พลันมีเสียงดังอึกทึกครึกโครมขึ้นมาจากห้องด้านข้าง
เสียงดังครึกโครมนั้น ราวกับมีคนหยิบไหสุราขว้างโยนลงบนพื้นอย่างรุนแรงดังก้องออกมา ทำให้เล่อเหยาเหยาใจสั่น เห็นชัดว่ารู้สึกตกใจ
เพราะห้องนี้ไม่ได้เก็บเสียง รวมทั้งห้องนั้นอยู่ติดกับห้องของพวกเธอ ตอนนี้พวกเขาเปิดหน้าต่างด้านข้างออก เสียงจากด้านข้างจึงย่อมดังเข้ามา
เมื่อได้ยินเสียงนี้เล่อเหยาเหยาจึงตกใจจนสั่นเทิ้มทั่วร่าง ชายหนุ่มที่อยู่ตรงข้ามเธอเห็นเข้าจึงค่อยๆ ขมวดคิ้วมุ่น เห็นชัดว่ารู้สึกไม่พอใจ
……………………………..