ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 94 หลุมศพนกแก้วข้างสระเฟิ่งหวง-6
บทที่ 94 หลุมศพนกแก้วข้างสระเฟิ่งหวง-6
วันที่หนึ่ง สองฝ่ายต่อสู้กันสุดกำลัง
บัณฑิตกลืนนกแก้วทั้งเป็นไปหลายตัว พอรู้สึกว่าเรี่ยวแรงกลับมาบ้างแล้วจึงดิ้นรนอย่างสุดกำลังยิ่งกว่าเดิม
ทว่าคนย่อมต้องมีเวลาเหนื่อยและง่วง แต่นกแก้วกลับสามารถสลับกันพักผ่อนได้
ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยจะงอยปากของนกแก้วกลับจิกกินเนื้อหนังบนร่างกายของบัณฑิตไม่ได้ง่ายดายเพียงนั้น
ในที่สุด ในยามที่บัณฑิตอ่อนกำลังลง นกแก้วตัวหนึ่งก็ใช้กรงเล็บของมันเจาะดวงตาเขาจนบอด
นกแก้วที่พบกว่าจุดนี้อ่อนนุ่มจึงกรูกันเข้ามาตรงโพรงลูกตาที่เปิดอยู่ในทันใด
เส้นประสาทบนใบหน้าคนอ่อนไหวที่สุด
เหล่านกแก้วเข้าจู่โจมข้างบนจากดวงตา เบื้องล่างจากทวารหนัก มุดเข้ามาสองทาง สามวันให้หลังจึงกินร่างกายของบัณฑิตแซ่หวงจากข้างในจนหมดเกลี้ยง…
เมื่อนั้นตี๋เหว่ยไท่จึงสั่งให้คนนำคุกน้ำนี้ไปโยนไว้ในสระเฟิ่งหวงเพื่อจับนกแก้วที่กินเนื้อคนทั้งหมดถ่วงน้ำให้ตาย
หลังจากตักพวกมันขึ้นมาก็ฝังไว้ริมสระเฟิ่งหวง ซ้ำยังเขียนตัวอักษรด้วยมือไว้สามตัวว่า ‘บ้านนกแก้ว’
ครั้งนั้น เดิมทีเหล่าบัณฑิตในใต้หล้าล้วนชื่นชอบนกแก้ว
เพราะรู้สึกว่ามันฉลาดกว่านกอื่นตรงที่พูดได้และดูงดงาม
แต่นับจากนั้นเป็นต้นมา ภายในหอทรงปัญญาทั่วทั้งบริเวณกลับไม่เคยได้ยินแม้แต่เสียงนกร้องอีกเลย
ตี๋เหว่ยไท่บอกว่านกแก้วไร้ความผิด แต่คนมีความผิด การให้นกแก้วลงทัณฑ์ โทษตายแก่คนทำผิดนับเป็นเรื่องที่จนใจนัก… ด้วยเหตุนี้จึงสร้างหลุมศพไว้ให้กราบไหว้เคารพโดยเฉพาะและนับเป็นการขู่ขวัญไปด้วยในเวลาเดียวกัน
ภาพสะท้อนจากอดีตเป็นครูของเรื่องในวันหน้า ทุกคนอย่าได้เอาอย่างการกระทำของบัณฑิตแซ่หวงผู้นั้น
แต่ภาพที่เต็มไปด้วยเลือดเช่นนี้ เหล่าบัณฑิตทั้งมวลจะเคยพบเห็นที่ใดมาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงพากันเปรียบตี๋เหว่ยไท่กับปีศาจร้าย ผู้เอาชีวิตโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
เมื่อได้ยินการเปรียบเปรยนี้ ตี๋เหว่ยไท่กลับมีท่าทีเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงทำกิจของตนต่อไปอย่างละเมียดละมัย
เมื่อสะสางคดีตำราขบถได้แล้ว แม้เก้าตระกูลจะรู้สึกเป็นกังวลกับวิธีโชกเลือดเช่นนี้ของตี๋เหว่ยไท่ แต่เรื่องนี้ก็ผ่านไปแล้ว
คนในเก้าตระกูลมองคนนอกสกุลเช่นมดแมลงเรื่อยมา อีกอย่างยามคนเดินจะมาสนใจว่าเหยียบแมลงตัวน้อยตายไปกี่ตัวด้วยหรือ
เมื่อเทียบกันแล้ว เรื่องที่ว่าจะปูนบำเหน็จความชอบแก่ตี๋เหว่ยไท่อย่างไรต่างหากจึงเป็นเรื่องที่รู้สึกลำบากใจ
พวกเขาไม่ต้องการให้ตี๋เหว่ยไท่มีอำนาจมากเกินไปและมีบารมีเหนือกว่าเก้าตระกูล แต่ก็ไม่อาจไม่แสดงท่าทีใดเลย เพราะจะตกเป็นขี้ปากคน
นึกไม่ถึงว่าหลังจากตี๋เหว่ยไท่จัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว สิ่งที่วางอยู่ตรงหน้าเก้าตระกูลกลับเป็นเพียงหนังสือร้องขอซึ่งเป็นกระดาษแผ่นเดียว บอกว่าเขาต้องการออกจากตำแหน่งยอดประตูมังกรของตน
หนังสือร้องขอไล่เรียงทั้งความผิดและความชอบของตนในคดีตำราขบถออกมาได้อย่างสมเหตุสมผลยิ่ง นอกจากนี้ ยังอธิบายถึงสภาพการณ์ในช่วงเวลานี้ของหอทรงปัญญารวมทั้งเรื่องที่ยังพัฒนาไม่เพียงพอและควรปรับปรุงในภายภาคหน้าไว้อย่างละเอียด
ถ้อยคำสะสวยงดงาม เนื้อหาจริงใจยิ่ง สามารถมองเห็นความภักดีเหลือล้นที่ตี๋เหว่ยไท่มีต่อหอทรงปัญญา และเลือดแห่งความซื่อสัตย์ที่มีต่อเก้าตระกูล
ในตอนท้ายของหนังสือ ตี๋เหว่ยไท่กลับเสนอข้อเสนอแนะข้อหนึ่ง
เขาเสนอว่าให้จัดตั้งกลุ่มใหม่ขึ้นมากลุ่มหนึ่ง ให้มีชื่อว่าหน่วยเฟิ่งหวง โดยให้ขึ้นตรงกับเก้าตระกูล คอยควบคุมดูแลเรื่องต่างๆ อย่างเคร่งคัดเพื่อไม่ให้เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีก
เมื่อเก้าตระกูลเห็นหนังสือฉบับนี้ก็ยินดีนัก อดชมเชยไม่หยุดปากไม่ได้ว่า ตี๋เหว่ยไท่เป็นผู้มีความสามารถที่แบกรับภาระสำคัญได้ดี จึงอาศัยโอกาสนี้หาทางออกให้ตนเองได้อย่างสวยงาม ด้วยการอนุญาตตามหนังสือร้องขอนี้
แต่เพื่อแสดงออกถึงความเชื่อใจและยกย่องตี๋เหว่ยไท่จึงให้เขาก่อตั้งหน่วยเฟิ่งหวงนี้ให้เสร็จสิ้นก่อนจึงจะออกจากตำแหน่งนี้ได้
หน่วยเฟิ่งหวงนี้ก็คือแผนการขั้นที่สองของตี๋เหว่ยไท่
จากนั้น เขาก็เรียกตัวนักรบเดนตายที่เคยเรียกตัวมาครั้งคดีตำราขบถทั้งหมดมา แทบจะทันทีทันใดก็สามารถก่อตั้งหน่วยเฟิ่งหวงที่ดูคล้ายภักดีต่อเก้าตระกูลแต่ความจริงแล้วล้วนเป็นคนแซ่ตี๋ทั้งหมด
เมื่อการสำเร็จ เขาก็ลาออกจากตำแหน่งยอดประตูมังกรจริงดังว่า และเพื่อหลีกเลี่ยงคำครหา เขายังออกไปจากหอทรงปัญญาชั่วระยะเวลาหนึ่งด้วย
เวลาที่เขาจากไป เป็นเวลากลางดึก
เขาจากไปเงียบๆ เพียงลำพัง ไม่มีบทกวีสุราเสียงร้องเพลง ทั้งไม่มีใครมาส่ง
จากไปอย่างเงียบๆ เช่นนี้
วันที่สอง เมื่อผู้คนในหอทรงปัญญาตั้งแต่สูงถึงต่ำรู้เรื่องนี้ก็รู้สึกโศกเศร้าเป็นที่สุด
ตี๋เหว่ยไท่ให้คำอธิบายว่าตนเองหมกมุ่นปักใจในบทกวี อยากอ่านตำรานับหมื่นม้วนออกเดินทางนับหมื่นลี้ เมื่ออยากทำทั้งสองสิ่งจึงออกพเนจรไปในใต้หล้า แต่ผู้คนที่มีดวงตากระจ่างกลับพากันบอกว่าเก้าตระกูลข้ามแม่น้ำแล้วพังสะพาน สุดท้ายก็คือเสร็จนาฆ่าโคถึก เสร็จศึกฆ่าขุนพล
ไม่นาน คำวิพากษ์วิจารณ์ทำให้เรื่องราวกลับตาลปัตร
ผู้คนที่แรกเริ่มต่อต้านวิธีโชกเลือดของเขา กลับเริ่มตีหน้าซื่อเห็นใจและสงสารเขา…
หารู้ไม่ว่า แม้ตัวของตี๋เหว่ยไท่จะไม่ได้อยู่ในหอทรงปัญญา แต่เขากลับกำลังนั่งประจำแท่นบัญชาการอยู่ในที่ลับอย่างมั่นคง รู้ทุกความเป็นไปกระทั่งลมพัดหญ้าไหวทั้งมวลในหอทรงปัญญาเหมือนรู้จักนิ้วในมือตน
เมื่อราชสำนักของฮ่องเต้ล่มสลาย หอทรงปัญญาก็ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก
จะอย่างไรก็เป็นการล้มสลายของหนึ่งอำนาจเก่า และต้องแทนที่ด้วยความเจริญรุ่งเรืองของอำนาจใหม่
ประวัติศาสตร์ก็เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าผู้ใดที่เคยเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์ล้วนต้องค่อยๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น แต่ไรมาเรื่องราวของตนเองล้วนแล้วแต่ว่าตนเองจะบอกเช่นใด ส่วนตัวเจ้าใต้พู่กันของผู้อื่นจะมีหน้าตาอย่างไร ก็นับว่าเป็นภาพคนละภาพกันแล้ว
แม้ห้าอ๋องล้มล้างราชวงศ์สิ้นซาก แต่กลับยังพะว้าพะวังต่อหอทรงปัญญา…
แต่คนในเก้าตระกูลกลับมองสถานการณ์ในยามนี้ไม่แตกฉาน ยังคงถือตนหยิ่งทะนง แล้วจะไม่ให้ห้าอ๋องเดือดดาลได้อย่างไร
คนทั้งห้านี้ นับได้ว่านายใหญ่ที่เพิ่งได้ขึ้นเป็นเซียนทีเดียว ไม่รู้ว่าต้องผ่านภูเขาซากศพทะเลโลหิตมาเท่าใดจึงสามารถรักษากายทั้งหมดให้อยู่ครบ และยามนี้พวกเขากำลังชี้นิ้วสั่งการทั่วแผ่นดิน ยามที่จิตใจกำลังฮึกเหิม ไหนเลยจะทานรับกับโทสะเช่นนี้ได้
แต่หอทรงปัญญาซึ่งมีรากฐานมานับพันปีแห่งนี้ก็มีบารมีสูงส่งในจิตใจของผู้คนในใต้หล้ายิ่งนัก…สูงส่งกระทั่งแม้แต่ห้าอ๋องในเวลานั้นก็ยังไม่อาจสั่นคลอนได้
แต่ฉิงจงอ๋องหลิวจิ่งเฮ่ากลับคิดว่าเหตุใดต้องเปลืองแรงและต้องทำลายหอทรงปัญญานี้เสียให้จงได้ นอกจากไม่ทำลายแล้วยังมอบที่ดินขนาดใหญ่ให้ผืนหนึ่งและยังมีคำสั่งที่เอื้อประโยชน์เป็นพิเศษแก่หอทรงปัญญากว่าแต่ก่อนด้วย
ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าห้าอ๋องหาใช่โจรป่าโหดร้ายไร้คุณธรรม แต่เป็นผู้นำปราดเปรื่องที่คำนึงถึงจิตใจทั้งรับฟังความเห็นของประชา และรู้จักใช้อำนาจอย่างเหมาะควร
ส่วนคนในเก้าตระกูลแสนเน่าเฟะจวนเจียนส่งกลิ่นเหม็นแห่งหอทรงปัญญานั้น เมื่อใดที่มีท่าทีจงใจท้าท้ายแม้แต่น้อย ก็ไม่เชื่อว่าจะไม่มีคนที่ไม่ลุกฮือขึ้นมา
แต่หลังจากห้าอ๋องจัดการด้วยวิธีเช่นนี้แล้วจึงเพิ่งพบว่า
หอทรงปัญญากลับเปลี่ยนนายใหญ่ไปนานแล้ว
หอตระหง่านพังทลาย ไม่เหลือเก้าตระกูลอยู่อีกแล้ว
ตี๋เหว่ยไท่ผู้เคยเป็นยอดประตูมังกร ได้กลายเป็นประมุขแต่เพียงผู้เดียว
เวลานั้น กำลังมีการก่อสร้างขนาดใหญ่เพื่อทำลายร่องรอยของเก้าตระกูลให้หมดสิ้น และสร้างหอทรงปัญญาขึ้นมาใหม่ท่ามกลางซากปรักหักพังนั้น
เมื่อทูตที่ห้าอ๋องส่งมาได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็ทำได้เพียงทำไปตามน้ำ ประกาศเรื่องการแบ่งที่ดินและคำสั่งพิเศษแก่ตี๋เหว่ยไท่ก่อนรีบร้อนจากไป
หากจะบอกว่าตี๋เหว่ยไท่ไม่คำนึงถึงบุญคุณก่อนเก่าจึงได้โค่นล้มเก้าตระกูลก็ไม่ผิด
หรือหากจะบอกว่าตี๋เหว่ยไท่ฉลาดลึกล้ำ โค่นเก่าสร้างใหม่ ปรับปรุงหลักจริยศาตร์ก็ไม่ผิดเช่นกัน
ทว่าสิ่งเดียวในเก้าตระกูลที่ยังคงถูกเก็บรักษาเอาไว้ก็คือจวนหลังเก่าของอี้เฮ่า…
จำต้องบอกว่าหอทรงปัญญาในทุกวันนี้ทั้งแข็งแกร่งและรุ่งเรืองยิ่งกว่าในยุคสมัยของเก้าตระกูลไม่รู้เท่าใด
อย่างน้อยทุกคนล้วนรู้สึกมีความหวัง
ไม่ว่าจะมาจากแห่งหนใด แซ่ใดนามใด ขอเพียงมีความสามารถและตั้งใจศึกษาก็จะสามารถลืมตาอ้าปากขึ้นมาได้
ในวันที่หอทรงปัญญาถูกสร้างขึ้นมาใหม่เสร็จสมบูรณ์
แสงอาทิตย์สาดส่องมาบนแดนสุขสัญจรใหม่อีกครั้ง
เลือดแดงฉานและความมืดมิดทั้งมวลก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
…………………………
“สระเฟิ่งหวงที่ว่านั่นก็คือสุสานของหอทรงปัญญาหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
เขากับเซียวจิ่นข่านเดินเคียงไหล่กัน
สองมือของเซียวจิ่นข่านว่างเปล่า ไม่ได้ถือไม้เท้า
แต่เมื่อมองจากฝีเท้าของเขาแล้ว เขากลับเดินได้มั่นคงยิ่งกว่าหลิวรุ่ยอิ่งเสียอีก
เห็นทีเขาคงเคยเดินบนเส้นทางสายนี้มาไม่รู้กี่รอบแล้ว กระทั่งว่าที่ใดมีหลุมเล็กๆที่ใดมีก้อนหินล้วนจดจำได้อย่างชัดเจนนัก
หลิวรุ่ยอิ่งอยากไถ่ถามเขาเหลือเกินว่าคนตาบอดผู้นี้ใช้สิ่งใดจดจำเส้นทาง แต่ก็กลับรู้สึกว่าคำพูดเช่นนี้ดูเจาะจงและเหยียดหยามเกินไป จึงไม่กล้าพูดออกจากปาก
“ของที่มองไม่เห็น กลับทำให้จดจำได้ชัดเจนยิ่งกว่าของที่มองเห็นเสียอีก”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“หือ?”
หลิวรุ่ยอิ่งคล้ายฟังไม่เข้าใจ
“ทุกวันเมื่อเจ้าตื่นขึ้นก็จะต้องลืมตา มีช่วงเวลาที่พูดน้อยสักหน่อยอยู่สี่หรือห้าชั่วยาม ในเวลานั้นสามารถดูและอ่านสิ่งต่างๆ ได้กี่มากน้อย แต่สามารถจดจำได้ทั้งหมดหรือไม่ เกรงว่าเมื่อย้อนนึกถึง จากสิบคงไม่เหลือแม้หนึ่งกระมัง”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งคิดดูสักพักก็เห็นว่าเป็นดังนั้นจริง จึงพยักหน้ารับ
ความจริงแล้วตัวเขาเองก็รู้สึกว่ามีหลายหนที่เขาไม่ได้เห็นว่าเซียวจิ่นข่านเป็นคนตาบอดด้วยซ้ำ
“ข้าจดจำด้วยจำนวนก้าว”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
“กี่ก้าวจะมีก้อนหิน กี่ก้าวจะเจอหลุม เมื่อจดจำได้แล้วหลบไปก็สิ้นเรื่องแล้ว”
“แต่หลังจากฝนตกหนักคราวหนึ่งก็จะชะล้างจนทำให้พื้นเปลี่ยนไปนี่”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ไม่ว่าจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างไร ก็ล้วนต้องเดินไปตามทางที่เคยเดินอยู่ดี ต่อให้เจ้ามองเห็นก็ต้องทำเช่นนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ ส่วนความเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่บังเอิญเกิดขึ้น เจ้าเองก็มองไม่เห็น ไม่ใช่ว่าเหมือนกันกับข้าหรอกหรือ ว่ากันตามตรงก็เหมือนกันทั้งสิ้น”
เซียวจิ่นข่านกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้มีทีท่าอะไร เพียงแต่ฟังอยู่เงียบๆ เช่นนี้
แต่คำถามแรกเริ่มที่สุดของเขา เซียวจิ่นข่านกลับยังไม่ได้ให้คำอธิบายแก่เขา
“ท่านนายกองหลิว ใต้เท้าเซียว ท่านประมุขหอเชิญท่านทั้งสองไปพบสักครู่ขอรับ”
ผู้ที่มาคือฮวาลิ่ว
หลิวรุ่ยอิ่งพบว่าสายตาที่เขามองตนไม่เป็นมิตรอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นบนใบหน้าของเขายังมีคราบน้ำตาสองรอยอีกด้วย…
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าใบหน้าของเซียวจิ่นข่านก็ดูประหลาดอย่างยิ่ง เห็นชัดว่าเรื่องนี้ก็อยู่นอกเหนือความคาดหมายของเขาเช่นกัน
“ดึกดื่นป่านนี้ ท่านประมุขมีเรื่องรีบเร่งอะไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ท่านนายกองหลิว…อย่างมากก็เหลืออีกเพียงสองชั่วยามครึ่งก็จะฟ้าสางแล้ว ดึกดื่นที่ไหนกัน”
ฮวาลิ่วกล่าวทั้งมีความโกรธแค้นอยู่ในน้ำเสียง
“ฮวาลิ่ว นี่เจ้าเป็นอะไรไป”
เซียวจิ่นข่านถาม
ท่าทีเช่นนี้ของฮวาลิ่วทำให้เซียวจิ่นข่านเองก็รู้สึกเสียหน้าเช่นกัน
“ใต้เท้าเซียว…ข้า…”
ฮวาลิ่วกลับสะอื้นขึ้นมา แต่ก็ยังฝืนสะกดเอาไว้
“เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
เซียวจิ่นข่านก็สัมผัสได้ว่าคล้ายเกิดเรื่องใดขึ้น ไม่เช่นนั้นฮวาลิ่วคงไม่เสียกิริยาเช่นนี้
คนทั้งสามเดินไปถึงแม่น้ำไหลสี่ฤดู และเห็นว่าตี๋เหว่ยไท่ยืนอยู่ที่นั่นแล้ว
เขาเอามือไพล่หลัง สีหน้าเคร่งเครียด เมื่อเห็นหลิวรุ่ยอิ่งมาแล้วก็เพียงพยักหน้าน้อยๆ เท่านั้น
สายตาของเขามองไปยังศพศพหนึ่งไม่ห่างออกไปนัก
ศพนี้นอนราบอยู่กับพื้นอยู่ริมแม่น้ำไหลสี่ฤดู
หัวหันไปทิศตะวันตก เท้าหันไปทิศตะวันออก
หากว่า…นั่นยังนับได้ว่าเป็นหัว
เพราะหัวของแยกออกเป็นสองฝั่งตามรอยแสกของผม
มันสมองกระจายอยู่เต็มพื้น…และนับได้ว่าเป็นปุ๋ยชั้นดีเยี่ยม
“นายกองหลิว รู้หรือไม่ว่ายามนี้จิ่วซานปั้นอยู่ที่ใด”
ตี๋เหว่ยไท่ถาม
หลิวรุ่ยอิ่งงุนงงนัก เขาสนทนาและดื่มสุราอยู่กับเซียวจิ่นข่านทั้งคืน แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจิ่วซานปั้นอยู่ที่ใด
พอเอียงตาไป เขาก็เห็นว่าโอวเสี่ยวเอ๋อยืนขมวดคิ้วแน่นอยู่ข้างๆ จึงขยับเข้ามาใกล้อย่างเงียบๆ และถามว่า
“จิ่วซานปั้นเป็นอะไรหรือ”
ยังไม่ทันได้คำตอบจากโอวเสี่ยวเอ๋อ
ทิศตะวันออกก็สว่างจ้าขึ้นมา
หลิวรุ่ยอิ่งจึงเพิ่งมองศพนั้นได้กระจ่างตา และอดร้องออกมาอย่างตกใจไม่ได้..
“นะ…นี่…มันเรื่องอะไรกันแน่”
………………………..
เมืองจิ่งผิงมีคนนอกเข้ามาอีกแล้ว
นับจากครั้งก่อนที่หลิวรุ่ยอิ่งต่อสู้กับมนุษย์แท่งน้ำแข็งอย่างหนักหน่วงภายในเมือง เดิมทีชาวเมืองไม่ได้รู้สึกอะไรเมื่อเห็นคนนอก แต่เวลานี้กลับพากันหวาดกลัว…
ที่ว่ากันว่าถูกงูกัดหนหนึ่งกลัวเชือกดึงถังที่บ่อน้ำไปสิบปี ก็เป็นหลักการนี้นั่นเอง
“นี่พวกเราเดินมาทั้งคืนแล้วนะ!”
คนหนุ่มผู้หนึ่งกล่าว
“ใกล้จะถึงแล้ว!”
คนชราผู้หนึ่งกล่าว
“หากเผียวเจิ้งหงมาจะดีสักแค่ไหน…ยังช่วยพวกเราจัดการเรื่องต่างๆ ก่อนหน้าได้!”
คนหนุ่มกล่าว
“อย่าคิดว่าทุกเรื่องจะเพียบพร้อมเพียงนั้น มีเรื่องให้ประหลาดใจและเกินคาดบ้างก็ดีไม่ใช่หรือ”
คนชรากล่าว
“เรื่องประหลาดใจและเกินคาดที่สุดตลอดทางมาที่นี่ก็คือข้ากำลังจะหิวตายอยู่แล้ว!”
คนหนุ่มกล่าวอย่างรำคาญใจยิ่งนัก
“จวนจะถึงอยู่แล้ว พอผ่านเมืองจิ่งผิงก็จะถึงทันที!”
คนชรากล่าว
“ท่านหลอกข้ามาเช่นนี้ตลอดทาง! ท่านมันตาแก่บ้า…หากเชื่อคำท่าน หอทรงปัญญานี่คล้ายว่าจะอยู่ข้างเมืองติ้งซีอ๋อง เหตุใดท่านไม่บอกว่าอยู่หน้าประตูบ้านข้าเสียเลยเล่า”
คนหนุ่มเอ่ยปากค่อนแคะ แต่คนชรากลับกล่าวอย่างไม่ยี่หระแม้แต่น้อย
“ผ่านเมืองจิ่งผิงไป เดินผ่านแดนสุขสัญจรก็ถึงแล้ว”
คนหนุ่มกระโดดลงจากหลังม้าด้วยโทสะ หย่อนบั้นท้ายนั่งกับพื้นกล่าว
“หากไม่ให้ข้ากินเนื้อวัวตุ๋นมันดิน (มันฝรั่ง) หม้อหนึ่ง ไม่ว่าจะพูดอย่างไรข้าก็ไม่ไปเด็ดขาด!”
“เจ้าดูเนื้อเฒ่าๆ บนตัวข้าสู้เนื้อวัวได้หรือไม่ แต่ข้าว่าเจ้ากลับดูเหมือนมันดินหัวหนึ่ง! รีบลุกขึ้นมาเร่งเดินทางเร็วเข้า!”
คนชราหวดแส้ใส่ตัวคนหนุ่มครั้งหนึ่ง ส่วนตนเองกลับมุ่งหน้าเดินไปข้างหน้า
“มารดามันเถอะ… ไม่อ่อนไม่ยอมกิน วันๆ เอาแต่บีบบังคับตาเฒ่าอย่างข้าอยู่ได้!”
“ถุย!”
คนหนุ่มถ่มเสมหะไปทางด้านหลังของคนชรา พลางคลึงข้อมือที่ปวดล้า
บทกวีร้อยบท บทประพันธ์สิบบท ไม่เคยให้เขาพักเลยจนถึงเวลานี้…
………………………………………