ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 82 คนผู้นี้ไม่ควรกลับมา-2
บทที่ 82 คนผู้นี้ไม่ควรกลับมา-2
ผู้เฒ่าเข้าบ้านแล้วประสานมือกล่าวกับทั้งสามคน
“ไม่กล้าขอรับ…ผู้น้อยหลิวรุ่ยอิ่งนายกองกรมสอบสวนกลาง คารวะท่านประมุขหอตี๋!”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นตี๋เหว่ยไท่ถ่อมตนเป็นกันเองเช่นนี้ก็ออกจะตั้งตัวไม่ทัน รีบกล่าวคารวะกลับ
โอวเสี่ยวเอ๋อที่ด้านข้างก็คารวะตอบเช่นนี้เหมือนกัน ไม่มีผิดพลาดแม้แต่น้อย
มีเพียงจิ่วซานปั้นที่มองซ้ายมองขวาแล้วก็ประสานมือเลียนแบบกล่าว
“จิ่วซานปั้นจากหมู่บ้านยอดนักดื่ม คารวะท่านประมุขหอตี๋”
ตี๋เหว่ยไท่พยักหน้าให้ทั้งสามและยิ้มกล่าว
“หากคนหนุ่มสาวในหอทรงปัญญาข้าโดดเด่นได้เหมือนท่านทั้งสามจะกลุ้มไปทำไมว่าสายบุ๋นนี้ไม่รุ่งเรือง!”
ตี๋เหว่ยไท่พูดกับคนทั้งหลายหลังนั่งแยกตามฐานะแขกเจ้าบ้าน
แม้บอกเช่นนี้และหลิวรุ่ยอิ่งยังใส่ใจเรื่องลำดับการนั่ง แต่ที่จริงในบ้านหลังเล็กนี้มีแค่เก้าอี้สองสามตัวล้อมโคนต้นไม้แก่แผ่นใหญ่เท่านั้น แสดงพิธีการแขกเจ้าบ้านอะไรไม่ได้จริงๆ…
“หมิงหมิง ลองดูว่าฝีมือของเจ้าถดถอยหรือไม่!”
ตี๋เหว่ยไท่พูดกับลู่หมิงหมิง
เขาตอบรับคำหนึ่งแล้วหันกายเดินเข้าไปในห้อง
ไม่ถึงครู่เขาก็หยิบถาดชาแกะสลักดอกไห่ถังสีแดงสดเคลือบเงาอันประณีตวางไว้บนโต๊ะโคนต้นไม้
ในถาดชาวางกาน้ำชาลายเด็กเลี้ยงวัวเป่าขลุ่ยขอบเงินก้นทอง เข้าคู่ด้วยจอกชาสามใบ
“จอกชาสามใบนี้เป็นสัญลักษณ์ของสามคุณธรรม นั่นคือจารีต เมตตา ซื่อสัตย์”
ตี๋เหว่ยไท่ชี้กล่าว
สื่อเป็นนัยให้พวกหลิวรุ่ยอิ่งสามคนแบ่งกันเอง
ใครหยิบจอกจารีต ใครถือจอกเมตตา ใครใช้จอกซื่อสัตย์กำหนดยากทีเดียว
“สตรีให้ความสำคัญจารีตก่อนอื่นใด ผู้ดูแลบ้านมีความเมตตาเป็นพื้นฐาน ยุทธภพถือความซื่อสัตย์เป็นสิ่งดีงาม”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
นางแก้คำถามสามจอกนี้โดยไม่รู้ตัว
“แก่นกระบี่ตระกูลโอวมีสติปัญญาไม่แพ้บุรุษโดยแท้ มากความรู้เช่นนี้ภายหน้าต้องประสบความสำเร็จไม่ด้อยกว่า ‘บุตรแห่งกระบี่’ รุ่นปัจจุบันแน่นอน!”
ตี๋เหว่ยไท่ออกปากกล่าวชม
จากนั้นไม่รู้เขายกของว่างจานเล็กมาจากไหนอีก
“ของหวานคู่ชาเขียว ของเปรี้ยวคู่ชาแดง ถั่วแข็งคู่ชาอู่หลง”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“นึกไม่ถึงนายกองหลิวอายุยังน้อย กลับมีความรู้ด้านการดื่มชามากทีเดียว”
ตี๋เหว่ยไท่ยิ้มกล่าว
ความจริงหลิวรุ่ยอิ่งมีเวลาว่างมากมายมาดื่มชากินขนมเสียที่ไหน
บังเอิญได้ยินคนอื่นพูดตอนอยู่เมืองหลวงต่างหาก
เขาฟังแล้วรู้สึกน่าสนใจทั้งยังคล้องจอง จึงพูดพร่ำกับตัวเองสองสามหน ไม่นึกว่าจะจำได้แม่นเพียงนี้
เมื่อครู่เห็นของว่างจานเล็กเลยพูดโพล่งออกไป
“ไม่หรอกขอรับ แค่บังเอิญได้ยินคนอื่นพูดเท่านั้น…”
หลิวรุ่ยอิ่งโบกมือกล่าว
ประมุขหอตี๋ผู้นี้ส่งเบญจลักขีมาหาตนบอกว่าอยากเชิญเขาดื่มชา
ไม่นึกว่ามาถึงที่นี่แล้วต้องดื่มชาจริงๆ
ชั่วขณะหนึ่งหลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่รู้ว่านี่มีความหมายลึกล้ำอะไรกันแน่
รู้เพียงในเมื่อประมุขหอตี๋กล้าเรียกตนมาถึงนี่อย่างตรงไปตรงมา หากตนอ้างปฏิเสธคงยากหลีกเลี่ยงตกเป็นขี้ปากชาวบ้าน แล้วก็แย่ต่อชื่อเสียงของกรมสอบสวนมากด้วย
แต่พอเขาเห็นลู่หมิงหมิงก็อดสงสัยไม่ได้ว่านี่เป็นเรื่องเชื่อมโยงกันหรือเปล่า
เหตุใดลู่หมิงหมิงถึงบังเอิญตีเหล็กอยู่ในเมืองจิ่งผิง และตนก็คารวะเขาเป็นอาจารย์สอนฉินอีก
แต่การเย้ยหยันที่เบญจลักขีทำกับลู่หมิงหมิงก่อนหน้านี้ก็ไม่เหมือนเล่นละคร…
หากเป็นการแสดงคู่สมบทบาทจริง เช่นนั้นหลิวรุ่ยอิ่งก็ต้องยอมรับแล้ว
แต่ตัวเขาเป็นแค่นายกองเล็กๆ คนหนึ่ง…ไหนเลยจะมีต้นทุนคุณสมบัติให้ประมุขหอผู้รอบรู้เรียกพบด้วยตนเอง
หลิวรุ่ยอิ่งใคร่ครวญแล้วคิดว่าถ้าเขาไม่ทำเพื่อกระบี่ในมือของตน ก็ต้องทำเพื่อตำรากระบี่เจ็ดถ้อยสันดาปฉบับนั้นในใจตน
ในเมื่อรู้เบื้องหลังของอีกฝ่ายแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งก็เบาใจลง
ตอนนี้เป็นอุปกรณ์ดื่มชาและของว่างอีก ไม่แน่ยังต้องต่อสู้กันเต็มที่อีกหน
การต่อสู้ในวันนี้อาจไม่ต้องเห็นเลือด แต่การโต้ตอบระหว่างเจ้ากับข้าและถ้อยสำนวนแหลมคมในคำพูดที่ออกมาต่อเนื่องนั้นกลับจัดการยากกว่าทวนแท้ดาบจริงเสียอีก…
หลิวรุ่ยอิ่งได้แต่สงบจิตใจรับมืออย่างระมัดระวัง ส่วนจะเดินได้ถึงขั้นไหน ประคองได้ถึงเมื่อไรก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถควบคุมคาดเดาได้แล้ว
………………
“ข้าทำเองแล้วกัน”
ตี๋เหว่ยไท่เห็นฝีมือลู่หมิงหมิงออกจะห่างหายไปนาน กล่าวพลางย้ายถาดชามาข้างหน้าตนทันที
หลิวรุ่ยอิ่งก็เหมือนชาอยู่หลายส่วน
ตอนทะลวงจุดคราวก่อนยังใช้วิธีชงชาสงบใจอยู่ในอาคารกรมสอบสวนหัวเมืองรัฐติง
ชาเกิดจากพื้นดิน ช่วยปลูกฝังผู้คน หลังจากใส่ในกา เทน้ำลงไป ปิดฝาแล้วก็ได้เป็นชาหนึ่งกา
ดังคำว่าไว้ ‘ดินประคอง คนบ่มเพาะ จิตผ่องใส ฟ้าโน้มเอียง’
ยิ่งพิถีพิถันเรื่องจิตใจผ่องแผ้ว มือสะอาด ภาชนะเกลี้ยงเกลา น้ำใส ชาบริสุทธิ์
สามอย่างหลังย่อมไม่ต้องอธิบายมาก แค่ความหมายตามตัวอักษรก็อ่านเข้าใจได้
แต่จิตใจผ่องแผ้วก็ไม่ง่ายดายเช่นนั้นแล้ว
คราวก่อนหลิวรุ่ยอิ่งชงชาก็พยายามให้จิตใจสงบ ยังห่างไกลจากขั้นจิตใจผ่องแผ้วมากนัก
สงบแค่ตั้งสมาธินิ่งเงียบก็ได้
ไม่พูดจา ไม่เคลื่อนไหว ล้วนเป็นการสงบนิ่ง
แต่ผ่องแผ้วนั้นต้องขจัดทุกความคิด ไม่มีทั้งจริงเท็จ
เหมือนไม่มีสิ่งใดกลับมีทุกสรรพสิ่ง จึงจะเป็นความผ่องแผ้ว
ต่อมา สภาวะคลุมเครือนี้จะถูกขจัดสิ้นไปในชั่วขณะที่ดื่มชา
จากนั้นความรู้สึกสดชื่นแผ่กระจายทั่วฟ้าดินสี่ทิศ ความกลัดกลุ้มรำคาญใจทั้งหลายล้วนเสื่อมสลายกลายเป็นโคลน
“ข้าต้มชาให้นายกองหลิวจอกหนึ่ง ชงชาให้แม่นางโอวจอกหนึ่ง นึ่งชาให้เจ้าหนุ่มน้อยจอกหนึ่ง”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้ว่าชามีวิธีการมากมายเช่นนี้ด้วย
เขาต้มน้ำให้เดือด ใส่ใบชาลงไป มองสีชากระจายตัวก็ได้น้ำชาแล้ว
ขอแค่ไม่ลวกปากก็ดื่มลงไปเลย
ดับกระหายสำคัญที่สุด ไหนเลยจะมีเวลามาสนใจพิธีหยุมหยิมมากมายเช่นนี้
กลับเห็นตี๋เหว่ยไท่ดึงช่องเล็กใต้ถาดชาออกมา และหยิบใบชาตากแห้งจากในนั้นหยิบมือหนึ่ง
ใบชานี้ถึงง่ามมือตี๋เหว่ยไท่หากใช้แรงมากขึ้นอีกส่วนก็จะกลายเป็นกากเถ้าในพริบตา
แต่ตี๋เหว่ยไท่ก็ใช้สามนิ้วหนีบไว้อย่างมั่นคงเช่นนี้ ไม่หนักไม่เบา ไม่แน่นไม่คลาย
ลำพังแค่ทักษะบนนิ้วนี้ก็ไม่ธรรมดาแล้ว
จากนั้นเขาใส่ชาแห้งทั้งหมดลงในกา เติมน้ำวางบนเตาไผ่ดำมรกตแล้วเริ่มต้ม
ผ่านไปไม่นานคลื่นน้ำเดือดดันฝากาขึ้นมา ต้มเสร็จเรียบร้อย
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นชานี้กลายเป็นกากเถ้าทั้งหมดด้วยผลจากน้ำเดือดปุด
ตอนนี้กากชาผสมเข้ากับน้ำ ขุ่นประหนึ่งน้ำแกงผัก
หลิวรุ่ยอิ่งยกจอกชาขึ้นจิบเล็กน้อย กลับเป็นความขมฝาดยากรับไหว
เขาข่มกลั้นความรู้สึกไม่ชอบเอาไว้ ฝืนกลืนมันลงท้อง
ตอนมองไปที่ตี๋เหว่ยไท่ เขากลับยิ้มไม่พูดจาเช่นเดิม กาน้ำชาในมือล้างสะอาดอีกครั้งแล้ว
ครั้งนี้ต่างกับเมื่อครู่
ตี๋เหว่ยไท่เติมน้ำเกินครึ่งกาแล้ววางอุ่นบนเตาก่อน พอมันเดือดแล้วนำผงใบชาที่บดละเอียดไว้ล่วงหน้าใส่ลงในจอก สุดท้ายค่อยเทน้ำร้อนลงไปแล้วชง
“วันนี้มีแม่นางโอวดื่มชาชงคนเดียว ไม่มีคนให้ดวล น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
การดวลชานี้ต้องมีสองคนชงชาแข่งกันถึงจะใช้ได้
เริ่มแรกต่างฝ่ายต่างเทน้ำร้อนในปริมาณน้อย คนให้เข้ากับฟองชาจนข้นหนา
จากนั้นถึงนับเข้าสู่ขั้นตอนดวลชาอย่างเป็นทางการ
ทั้งสองต้องเริ่มรินน้ำแล้วคนต่อพร้อมกันภายใต้การดูแลของผู้ตัดสิน จนสีชาเปลี่ยนเป็นขาวใสไร้ฟองเหมือนน้ำนมถึงหยุดมือได้
ตอนท้ายผู้ตัดสินคนน้ำชาของทั้งสองฝ่ายด้วยตัวเอง ดูว่าใจกลางของจอกไหนหมุนวนแล้วไม่กระเทือนสี่ทิศ บนจอกชาไม่มีคราบน้ำเกาะติดก็เป็นผู้ชนะ
ชงชาทั่วไปรินน้ำร้อนสี่ถึงเจ็ดส่วนเป็นหลัก
ชาน้อยน้ำร้อนมาก ม่านเมฆ[1]กระจายง่าย น้ำร้อนน้อยชามากเหนียวข้นเกินไป
แต่จอกนี้ของตี๋เหว่ยไท่กลับมากถึงแปดส่วนครึ่ง
ความรู้สึกจืดจางนี้แทบไม่ต่างอะไรกับน้ำเปล่าแล้ว ดื่มในปากรสชาติน้ำก็มากกว่ารสชา ทำให้คนรู้สึกฝืนใจอยู่บ้าง
………………
ส่วนจอกนี้ของจิ่วซานปั้นกลับประหลาดลึกล้ำยิ่งกว่า
ตี๋เหว่ยไท่ไม่เพียงใส่ใบชาลงในกา ยังใส่ของเผ็ดคาวอย่างหัวหอม ขิงและกระเทียมเข้าไปเป็นเครื่องปรุงด้วย
แม้เป็นวิถีชา แต่ดูแล้วกลับเหมือนการปรุงอาหาร
เมื่อนึ่งเสร็จแล้ว ตี๋เหว่ยไท่ขูดผิวน้ำชั้นบนสุดออกให้ดู
จากนั้นใช้ช้อนไม้กวาดสิ่งสกปรกตามขอบออกช้อนหนึ่ง
แล้วจึงวางมันตรงหน้าจิ่วซานปั้น
“ข้าไม่อยากดื่มอันนี้”
จิ่วซานปั้นชี้จอกชาตรงหน้ากล่าว
นี่เป็นถึงชาที่ประมุขหอทรงปัญญาตี๋เหว่ยไท่นึ่งเองกับมือ
หากเปลี่ยนให้บัณฑิตคนหนึ่งมาที่นี่อาจคุกเข่าไม่ยอมลุก หลั่งน้ำตาตรงหน้าชา จำต้องนำกลับมาถวายธูปสามดอกเช้ากลางวันเย็น!
นึกไม่ถึงจิ่วซานปั้นกลับบอกว่าไม่อยากดื่มด้วยสีหน้ารังเกียจ
“ชานึ่งดีต่อม้ามกระเพาะ ช่วยสร่างเมาบำรุงสมอง”
ตี๋เหว่ยไท่ก็อึ้งอยู่บ้างเหมือนกัน
คิดว่าคงไม่มีใครพูดคำว่าไม่ต่อหน้าเขามานานมากแล้ว
“ม้ามกระเพาะข้าปกติ สมองปราดเปรื่อง และไม่จำเป็นต้องสร่าง ข้าแค่อยากเมา”
จิ่วซานปั้นไม่สนใจหลิวรุ่ยอิ่งที่ส่งสายตาให้เขาอยู่ด้านข้างแม้แต่น้อย เอาแต่พูดอยู่อย่างนั้น
พูดจบยังดันจอกชานี้ไปข้างหน้า เหมือนเป็นของเหลวสกปรกยิ่ง
“ฮ่าๆๆ เจ้าหนุ่มผู้นี้ชื่อจิ่วซานปั้น ก็คือไม่ห่างสุราสักชั่วเวลา?”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
จำต้องบอกว่าตี๋เหว่ยไท่ผู้นี้มีวิชาความรู้มากจริงๆ
พูดคำเดียวก็เฉลยความหมายของชื่อจิ่วซานปั้นได้ทันที
“แต่หมู่บ้านยอดนักดื่มนั้นข้าผู้เฒ่าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อน มันอยู่ที่ใดหรือ”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ยถาม
“ไกลมาก”
จิ่วซานปั้นส่ายหน้ากล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งสนใจภูมิหลังของจิ่วซานปั้นมาตลอด ยามนี้ได้ยินตี๋เหว่ยไท่เอ่ยถามจึงเงี่ยหูฟังด้วยใคร่รู้ยิ่ง
นึกไม่ถึงว่าจิ่วซานปั้นผู้สัตย์ซื่อจริงใจ ไม่เคยปิดบังสิ่งใดกลับใช้คำพูดหลักแหลมในคำถามนี้
“ในบ้านข้าไม่มีสุรา ทำให้เจ้าหนุ่มลำบากใจแล้ว”
ตี๋เหว่ยไท่สมกับเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่ปกครองหอทรงปัญญา
ทักษะความเยือกเย็นนี้ไม่มีใครเทียบได้โดยแท้
หากทำเช่นนี้กับคนรุ่นเดียวกันยังพอเข้าใจได้
แต่ไม่ว่าด้วยอายุ ประสบการณ์หรือฐานะจิ่วซานปั้นล้วนห่างชั้นกับเขามากโข กลับยังได้รับความนุ่มนวลอ่อนโยนจากตี๋เหว่ยไท่เช่นนี้ สมแล้วที่เป็นยอดบุคคลแห่งสายบุ๋น
“หอทรงปัญญาของพวกท่านไม่มีสุราใช่หรือไม่”
จิ่วซานปั้นกลับไม่ยอมปล่อยหัวข้อนี้ ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งแปลกใจมากเหมือนกัน
“เจ้าหนุ่มหมายถึงสิ่งใด”
ตี๋เหว่ยไท่เผยสีหน้าไม่เข้าใจ
“ก่อนหน้านี้ข้ามสะพานหินมาบอกว่ามีงานเลี้ยงต้อนรับ แต่กลับไม่มีสุรา…ท่านรู้หลักการไม่มีสุราไม่ใช่งานเลี้ยงหรือไม่”
จิ่วซานปั้นเอ่ยถาม
ตี๋เหว่ยไท่ฟังแล้วยิ้มกล่าว
“เจ้าหนุ่มพูดได้ถูกต้อง…แต่งานเลี้ยงนี้มีการแบ่งใหญ่เล็ก สูงต่ำ สง่าธรรมดา งานเลี้ยงเล็กธรรมดาตามฐานะชาวบ้านทั่วไปต้องมีสุราถึงสำราญใจ แต่ที่หอทรงปัญญาเตรียมให้ทั้งสามกลับเป็นงานเลี้ยงใหญ่อันสูงสง่า ความพิถีพิถันของงานเลี้ยงนี้ไม่ได้อยู่ที่อาหารหลากหลาย และไม่ได้อยู่ที่คนเยอะ ต้องคนน้อยแต่เลิศล้ำ ปริมาณน้อยแต่ยอดเยี่ยม คิดว่าทั้งสามคงได้สัมผัสด้วยตัวเองแล้วกระมัง!”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งคิดว่าอาหารน้อยแต่ยอดเยี่ยมนั้นจริง…นอกจากผลไม้ประหลาดแล้วก็มีแค่น้ำแกงอย่างเดียว
แต่ถ้าบอกว่าคนน้อย หมายถึงเบญจลักขีอย่างนั้นหรือ
เขามองชาต้มในจอกตนเอง
รู้สึกพะอึดพะอมกว่าเดิม…
สิ่งที่เหลืออยู่ในจอก พอเย็นชืดแล้วกลับเหนียวข้นกว่าน้ำแกงผักนั่นเสียอีก…
บอกว่าเป็นชาต้มยังไม่สู้บอกว่าเป็นโจ๊กชาไปเสียดีกว่า
ชั่วขณะหนึ่ง หลิวรุ่ยอิ่งจมจ่อมอยู่ใน ‘ชา’ จอกนี้โดยสมบูรณ์
เขารู้ว่าตี๋เหว่ยไท่ทำเช่นนี้ต้องมีความหมายลึกซึ้ง
ตนตระหนักได้นั่นย่อมเป็นโอกาส
ตระหนักไม่ได้ ภายหลังต้องเป็นฝ่ายถูกกระทำแน่
ไม่รู้ทำไม หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกไม่เป็นธรรมอยู่บ้าง
แต่เขาก็ปรับสภาพจิตใจอย่างรวดเร็ว…
คิดว่าเพราะช่วงนี้เหตุการณ์ราบรื่นเกินไป ทำให้จิตใจเปราะบางขึ้นเล็กน้อย
ความจริงเขาก็เป็นคนที่เติบโตท่ามกลางน้ำตาและความไม่เป็นธรรมคนหนึ่ง
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำงานในกรมสอบสวนพลาดตอนเด็กแล้วถูกลงโทษเป็นต้นมา เขาก็รู้ว่าบางเรื่องทำผิดต้องจ่ายค่าชดเชย
ค่าชดเชยนี้เริ่มแรกอาจเป็นแค่ฟาดไม้กระดานสักยก ลดข้าวสักมื้อ
แต่มาถึงตอนนี้ กลับจบลงด้วยแขนหักขาพิการและเสียชีวิต
จะว่าไประดับที่สี่ของการวางตนนั้นแสดงออกมาในชาถ้วยนี้ชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งดื่มด้วยสีหน้าเรียบนิ่งและไม่มีความคิดเห็นใด นี่ก็คือการทำตนตามสบายไม่ใช่หรือ
………………
เล่ากันว่าก่อนฟ้าดินบังเกิด พื้นที่ตรงกลางก็เป็นความโกลาหลเชื่อมโยงกัน มองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน
และชาต้มจอกนี้ก็มีชาในน้ำ มีน้ำในชา ขอบเขตคลุมเครือไม่ชัดเจนแบบเดียวกัน
เหมือนยุคแห่งความโกลาหลทุกประการเลยไม่ใช่หรือ
แต่หลิวรุ่ยอิ่งลืมเนื้อหาครึ่งหลังของเรื่องเล่านี้
ต่อมา ด้วยฮุ่นตุ้น[2]ที่อยู่ตรงกลางมีมิตรภาพแน่นแฟ้นกับจักรพรรดิโยวแห่งทะเลใต้และจักรพรรดิฮูแห่งทะเลเหนือ ทั้งสองคิดว่าฮุ่นตุ้นไม่มีเจ็ดทวาร ไม่อาจใช้การมอง ฟัง กินหรือหายใจมาสัมผัสเพลิดเพลินกับสรรพสิ่งในโลกนี้ได้
ดังนั้นจึงโน้มน้าวฮุ่นตุ้นวันแล้ววันเล่าให้ปรับแก้ตัวเองเหมือนพวกเขา
ตอนแรกฮุ่นตุ้นก็ไม่เห็นด้วย คิดว่าตนเกิดมาหน้าตาเช่นนี้อยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน
ภายหลังกลับทนสหายสองคนมาพูดโน้มน้าวไม่ไหว
ตัดสินใจแน่วแน่แล้วจึงลงมือเอง คิดอยากเปิดถวารทั้งเจ็ด
วันหนึ่ง ฮุ่นตุ้นเปิดเจ็ดถวารสำเร็จ ยังไม่ทันได้อวดโอ้กับสองจักรพรรดิเหนือใต้ เขาก็ตายและหายไป…
แต่ถึงแม้หลิวรุ่ยอิ่งนึกตอนจบนี้ไม่ออก แต่การเลือกของเขาในตอนนี้ตรงข้ามกับฮุ่นตุ้นอย่างเหนือคาดโดยสิ้นเชิง
เขายอมรักษาสถานการณ์ปัจจุบันไว้ ไม่คิดจะเปลี่ยนสภาพการณ์ตอนนี้ แม้เหมือนบึงน้ำนิ่งก็สามารถสงบจิตใจรอมันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ
ทันใดนั้น ธรรมลักษณ์บรมครูในกายหลิวรุ่ยอิ่งก็กระโดดลงจากแท่นสวรรค์ภายในโลกใบเล็กนั่นของตน
………………………………………….
[1] ม่านเมฆ ฟองบางๆ บนผิวน้ำชา
[2] ฮุ่นตุ้น สัตว์อสูรแห่งความโกลาหล อีกชื่อหนึ่งคือจักรพรรดิเจียง รูปลักษณ์เหมือนก้อนเนื้อขนาดใหญ่ ตัวสีแดงเพลิง มีสี่ปีกหกขา ไร้ใบหน้า