ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 8 ความคะนึงหานี้ฝังลึกลงกระดูกข้ารู้บ้างหรือไม่
บทที่ 8 ความคะนึงหานี้ฝังลึกลงกระดูกข้ารู้บ้างหรือไม่
เมืองติ้งซีอ๋องตั้งอยู่บริเวณพรมแดนของรัฐฉีกับรัฐเหมิง
ห้ารัฐใต้บังคับบัญชาติ้งซีอ๋อง หากเริ่มเรียงจากอาณาเขตฝั่งซ้ายสุดก็เป็น ติง เหิง เหมิง ฉี เยวี่ย
ถัดจากรัฐเยวี่ยไปทางตะวันออกอีก คือเขาเรียงรันกับเขายาตราในเก้าบรรพตแห่งใต้หล้า ที่นั่นเป็นโลกของสัตว์อสูร ปกครองโดยเจ้าหุบเขาของพวกมัน ไม่เกี่ยวกับติ้งซีอ๋อง
ว่าไปแล้วก็แปลก
เก้าบรรพตในใต้หล้านี้ล้วนกระจายอยู่ในอาณาเขตของอ๋องทั้งสี่
ทางเจิ้นเป่ยอ๋องคือเขาประจัญกับเขาพยุหะ
อันตงอ๋องคือเขาโยธิน เขาสูริ เขาสรรพางค์
ผิงหนานอ๋องคือเขาสรรพจิตกับเขาพุทธะ
หากเรียงตัวอักษรตามชื่อภูเขาจะได้ความหมายเป็นผู้กล้าเผชิญกองทัพล้วนยืนเรียงอยู่เบื้องหน้าไม่หลีกลี้[1]
สัตว์อสูรในเก้าบรรพตนั้นมีอายุขัยยาวนานกว่ามนุษย์มาก แต่พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสงบและเป็นสุขเสมอมา
ตำแหน่งที่เมืองติ้งซีอ๋องตั้งอยู่แต่เดิมเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ชื่อหมู่บ้านตระกูลฮั่ว
ห้าสิบหกสิบปีก่อน มีหมอพเนจรหลังค่อมคนหนึ่งหยุดพักอยู่ที่นี่
ฝั่งตะวันออกของหมู่บ้านมีครอบครัวฮั่วเถี่ยจู้อาศัยอยู่ สามีภรรยากับลูกหนึ่งคน ชีวิตพอดำเนินไปได้อย่างอัตคัดขัดสน
ภรรยาของฮั่วเถี่ยจู้สกุลอู๋ แต่งเข้ามาจากหมู่บ้านใกล้เคียง นางพิการเล็กน้อย พิการนี้ไม่ได้หมายถึงร่างกาย แต่สมองใช้การได้ไม่ค่อยดีนัก
เวลาเจอคนนางเป็นแต่ทำท่าทำทาง จากนั้นก็หัวเราะอย่างไร้สติตลอดเวลา ตอนนั้นพวกเขาแต่งงานกันแบบเรียบง่าย บวกกับพื้นฐานครอบครัวฮั่วเถี่ยจู้ก็ไม่ได้ร่ำรวย
ไม้คานหนึ่งท่อนแบกตะกร้าหมั่นโถวขาวกับไข่ไก่ไว้อย่างละด้าน ก็นับเป็นสินสอดขอแต่งเข้าบ้านแล้ว ผ่านไปหลายปี แม่นางตระกูลอู๋ผู้นี้ก็เพิ่มสมาชิกเข้ามาให้ตระกูลฮั่วของเขา นางให้กำเนิดหนุ่มน้อยอ้วนจ้ำม่ำคนหนึ่ง รูปร่างอ้วนท้วนสมบูรณ์
ฮั่วเถี่ยจู้ดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้ทั้งวัน เสียดายมารดาเขาทึ่ม ไม่อาจเลี้ยงลูกได้
เขาคนเดียวเป็นทั้งพ่อและเป็นทั้งแม่ คืนหนึ่งตื่นมาดูแลลูกห้าหกรอบไม่พอ ตอนกลางวันยังต้องลงนาทำเกษตร ผ่านไปไม่นานนักเขาก็ล้มป่วย
คนทั้งหมู่บ้านเห็นแล้วล้วนรู้สึกสงสาร แต่เรื่องนี้ก็ไร้ทางช่วย
ดังนั้นเมื่อหมอพเนจรท่านนี้มาถึง ทุกคนเลยรวมรวบเศษเงินมาเล็กน้อยอยากให้เขาช่วยดูอาการฮั่วเถี่ยจู้และออกตำรับยาสักเทียบ ให้เขาร่างกายหายดีในเร็ววันจะได้ดูแลในบ้านต่อไม่ใช่หรือ
ใครจะคาดคิดเมื่อหมอคนนี้เข้าหมู่บ้านแล้วกลับสำรวจจุดโน้นจุดนี้อย่างกับเป็นโจร เดี๋ยวเดินซ้ายเดี๋ยวหมุนขวา
ไม่ว่าคนข้างๆ จะพูดอะไรเขาก็ไม่ต่อบทสนทนา
“ครอบครัวบ้านนั้นสะดวกให้ข้าพักด้วยหรือไม่”
ขณะที่คนทั้งหลายกำลังจะมีน้ำโห ท่านหมอกลับเปิดปากแล้ว
สถานที่ที่เขาชี้เป็นบ้านฮั่วเถี่ยจู้พอดี ทุกคนจึงรีบช่วยเขาตกปากรับคำ
บ้านฮั่วเถี่ยจู้ก็ช่างยากจนเสียเหลือเกิน เข้าห้องมาแล้วกระทั่งที่นั่งยังไม่มีสักที่ คนสิบกว่าคนก็ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
“ในห้องมีคนป่วยรึนี่!”
ท่านหมอไม่รอให้อธิบาย เขาคว้าข้อมือของฮั่วเถี่ยจู้มาก็เริ่มวัดชีพจร
“อาการเจ้าคือชีพจรเต้นช้า หายใจหนึ่งชีพจรเต้นสาม[2] ไปกลับช้านัก ช้าด้วยหยางน้อยกว่าหยิน ชีพจรจึงเต้นไม่ทัน”
“ท่านหมอ รบกวนท่านพูดง่ายๆ หน่อย เราเป็นแค่คนจนทำไร่ไถนาไม่ได้ร่ำเรียนมีการศึกษา ที่ท่านพูดเมื่อครู่นี้เราฟังไม่ออกสักกะตัว”
ฮั่วเถี่ยจู้นึกว่าร่างกายของตนเป็นโรคร้ายแรงอะไร
“ช่วงนี้รู้สึกแขนขาไร้เรี่ยวแรงใช่หรือไม่ โดยเฉพาะอาการปวดช่วงล่าง?”
“ขอรับ เป็นอย่างที่ท่านพูด กระทั่งแรงถือจอบยังไม่มี แล้วก็กินข้าวไม่ลงด้วย ไม่ได้ทำงานอะไรก็รู้สึกเหนื่อยมาก แล้ว…แล้วก็อุจจาระไม่ออก”
ฮั่วเถี่ยจู้เอ่ย
“โรคเจ้าคือความหนาวเย็นสะสม ข้าออกตำรับยาให้เจ้าใบหนึ่ง กินหมดสามเทียบรับรองเจ้ามีพลังดุจมังกรแข็งแรงดั่งเสือ”
“แปะตุ๊ก[3]สี่ตำลึง โสมคนหนึ่งตำลึง โหราเดือยไก่[4]ห้าเฉียน อบเชยหนึ่งตำลึง ขิงแก่แห้งหนึ่งตำลึง ผิวส้มหนึ่งตำลึง ชะเอมเทศห้าเฉียน พวกเจ้ารีบไปหยิบยา ตำรับนี้ต้องทำเป็นยาเม็ดกลืนจึงจะเห็นผล”
ท่านหมอไม่ได้กล่าวเกินจริง หลังยาสามเทียบฮั่วเถี่ยจู้ก็ลงดินทำงานเหมือนชายแข็งแรงก่อนหน้านี้อีกครั้งจริงๆ ท่านหมอไม่ได้เก็บเงิน บอกว่าขอเพียงให้เขาอาศัยอยู่ในบ้านชั่วคราวสักสองสามวัน ดูแลเรื่องอาหารการกินก็พอ
กลางคืนวันหนึ่ง ฮั่วเถี่ยจู้กลับมาจากในที่ดินแล้วเห็นท่านหมอกำลังสอนลูกชายเขาจำอักษร
“ทำไมจนป่านนี้ยังไม่ได้ตั้งชื่อให้ลูกอีกล่ะ”
“แหะๆ ปกติชาวไร่ชาวนาอย่างเราก็เรียกไปเรื่อยขอรับ หรือไม่ก็ตั้งชื่อต่ำต้อยให้ชีวิตราบรื่น[5] ท่านดูข้า ก็ชื่อว่าเถี่ยจู้[6]ไม่ใช่หรือ”
ฮั่วเถี่ยจู้ตบๆ ท้ายทอยอย่างเก้อเขิน
“ได้อย่างไรกัน เด็กคนนี้ฉลาดเฉลียวยิ่งนัก ต้องตั้งชื่อดีสักชื่อจึงจะเหมาะสม”
ท่านหมอพูดไปก็เริ่มขีดๆ เขียนๆ บนกระดาษ
“อักษรนี้นี่ละ วั่ง[7]! เจ้าหนุ่มน้อย ต่อไปเจ้าก็ชื่อว่าฮั่ววั่ง!”
ฮั่วเถี่ยจู้ไม่เข้าใจว่าอักษรนี้หมายถึงอะไร แต่ในเมื่อเป็นชื่อที่ท่านหมอตั้งก็ต้องดีแน่นอน
“แต่ว่าอักษรวั่งนี้มีเคราะห์อย่างหนึ่ง เจ้าดู ซ้ายมีคำว่าตายขวาเป็นดวงจันทร์ นับแต่โบราณดวงจันทร์คือหยิน เป็นของสตรี บุรุษคือดวงอาทิตย์ เป็นหยาง ความหมายของจันทร์ดับก็คือหญิงตาย เจ้าดูในบ้านนี้นอกจากภรรยาเจ้าแล้วยังมีหญิงอื่นอีกหรือไม่” ท่านหมอเอ่ย
ฮั่วเถี่ยจู้ตกใจจนพูดไม่ออก ต่อให้เขาไม่มีความรู้อะไรก็เข้าใจความหมายของท่านหมอ นั่นคือภรรยาของเขาจะตาย
“นี่เป็นเคราะห์หนึ่งที่ลูกชายเจ้าต้องพบเจอ มีเพียงใช้เลือดหัวใจของมารดาเขาจึงจะแก้ได้ ขอแค่ผ่านเคราะห์นี้ไป ภายหน้าต้องได้เป็นใหญ่และรุ่งโรจน์ ถึงขั้นแบ่งผืนดินขีดพรมแดนก็ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก หากผ่านไปไม่ได้…เช่นนั้นก็ผ่านไปไม่ได้แล้ว”
ฮั่วเถี่ยจู้คัดค้านท่านหมอด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด ในใจของเขา แม้ภรรยาจะทึ่มๆ ทื่อๆ อยู่บ้าง แต่สุดท้ายก็เป็นภรรยาของตนอยู่ดี
ยิ่งกว่านั้นยังให้กำเนิดลูกชายที่ดีเช่นนี้แก่เขาอีก ชีวิตนี้ตนก็แค่เหนื่อยหน่อยลำบากเล็กน้อยเท่านั้น จะดีหรือร้ายก็อยู่ต่อไปได้ ทั้งครอบครัวอยู่ด้วยกันจึงจะสำคัญเป็นที่สุด
ท่านหมอเห็นฮั่วเถี่ยจู้ยืนกรานเช่นนี้ ก็ไม่เอ่ยถึงประเด็นนี้อีก
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เถี่ยจู้ตื่นไปทำงานเกษตรในที่ดินแต่เช้าตามปกติ แต่หลังจากกลับมาตอนค่ำ กลับพบว่าในบ้านไม่มีเงาคนแล้ว
ฮั่วเถี่ยจู้เดินอ้อมบ้านรอบหนึ่ง เจอป้ายหลุมศพแผ่นหนึ่งอยู่หลังบ้าน พอเข้ามามองใกล้ๆ ก็เป็นลมหมดสติ ‘หลุมศพของอู๋ซื่อ[8]ภรรยาผู้ล่วงลับ’
คนในหมู่บ้านไม่เห็นฮั่วเถี่ยจู้ติดกันหลายวันก็รู้สึกประหลาด สุดท้ายมีคนชอบยุ่งเรื่องชาวบ้านคนหนึ่งอดไปเคาะประตูไม่ได้
พบว่าในลานบ้านมีกลิ่นเหม็นโฉ่ลอยมา พอมองไปตามกลิ่นนั้น ฮั่วเถี่ยจู้กอดป้ายหลุมศพไม่รู้ตายมานานเท่าไรแล้ว
ขาสองข้างถูกหนูและหมาในแทะจนเห็นกระดูก ยังมีหนอนแมลงวันสีขาวดิ้นกันยั้วเยี้ย
เมื่อทางการพิสูจน์ศพแล้วบอกว่าการตายของฮั่วเถี่ยจู้เกิดจากส่วนหัวถูกฟาดด้วยอาวุธทื่อ
จากการอนุมานในที่เกิดเหตุตอนนั้น เขาเอาศีรษะชนกับป้ายหลุมศพของภรรยาผู้ล่วงลับฆ่าตัวตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ท่านหมอย่อมตกเป็นผู้ต้องสงสัย แต่ท่าทางของเขาช่างปกติเหลือเกิน
คนในหมู่บ้านนอกจากจำได้ว่าเขาหลังค่อมแล้วก็บรรยายลักษณะเด่นอื่นๆ ไม่ออกเลยสักนิดเดียว
ลูกชายของฮั่วเถี่ยจู้อายุยังน้อย ยังไม่ได้เอาชื่อขึ้นทะเบียนบ้าน อยากตามหายิ่งเป็นการงมเข็มในมหาสมุทร
เกิดคดีฆาตกรรมทางการก็กลัวต้องรับผิดชอบ จึงเคาะให้ฮั่วเถี่ยจู้ฆ่าตัวตายเพราะความรัก ส่วนลูกของเขาก็บันทึกเป็นหายสาบสูญและไม่สนใจอีกเลย
เรื่องราวหลังจากนั้นไม่มีใครรู้แน่ชัดอีก
ชื่อฮั่ววั่งนี้ก็เหลือเพียงตัวเขาเองกับหมอหลังค่อมผู้นั้นที่รู้
ยามเมื่อชื่อนี้เล่าลือกลับมายังหมู่บ้านตระกูลฮั่วอีกครั้ง ด้านหน้าก็เพิ่มอักษรมาอีกหลายตัว
ติ้งซีอ๋อง
หนึ่งในอ๋องทั้งห้าแห่งใต้หล้า
ทุกคนต่างรู้สึกว่าฮั่ววั่งต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับหมู่บ้านตระกูลฮั่วนี้แน่นอน ไม่เช่นนั้นเหตุใดเขาต้องสร้างวังติ้งซีอ๋องอันยิ่งใหญ่อยู่ตรงนี้ด้วยล่ะ
ยิ่งกว่านั้นเขายังสกุลฮั่วด้วย
ตัวเขาเองกลับไม่เคยเปิดเผยคำใดสักประโยค ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าถามเช่นกัน
นานวันเข้าคนทั้งหลายก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องนี้อีก หลังจากหมู่บ้านตระกูลฮั่วถูกแทนที่ด้วยวังติ้งซีอ๋องแล้ว เรื่องก็ค่อยๆ เงียบหายไป
วังอ๋องรื้อสร้างใหม่ตั้งแต่ปีก่อน
ทางเข้าหลักขยายเป็นประตูบานคู่ขนาดใหญ่ห้าช่วง ด้านบนก่อรูปนูนขึ้นแบบสันหลังมังกร
ธรณีประตูและลูกกรงหน้าต่างล้วนเป็นลายสลักใหม่ล่าสุดในขณะนั้น ให้บรรยากาศโอ่โถงนิ่งสงบ รับกับรูปแบบของวังอ๋องเป็นอย่างดี บันไดหยกขาวหลายสิบขั้นด้านล่างล้วนสลักภาพของทหารหมาป่าทุ่งหญ้าเอาไว้ทั้งหมด
ไม่ว่าผู้ใดมาล้วนต้องเหยียบพวกเขารอบหนึ่ง แค่คิดก็รู้ได้ว่าความเกลียดชังของติ้งซีอ๋องนั้นฝังลึกเพียงใด
เมื่อเข้าประตูแล้ว ซ้ายขวาจะเป็นระเบียงทางเดินยาวคดเคี้ยวสองสาย เรียงรายด้วยเรือนพักนับไม่ถ้วน ทั้งหมดนั้นเป็นที่อยู่ของผู้คุ้มกันวังซึ่งถวายอารักขาวังติ้งซีอ๋อง ส่วนทางเดินใหญ่ตรงกลางเชื่อมตรงสู่ตำหนักหลัก
แม้ฮั่ววั่งอยู่ในวังของตนเองเขาก็ยังสวมเครื่องแบบทหารเต็มยศโดยไม่ประมาท
บนโต๊ะใหญ่ด้านหน้ามีหมวกม่วงทอง[9]นวหงสาหันหาทินกรวางไว้ แม้ใบหน้าอันแข็งแกร่งและเด็ดเดี่ยวนั้นหยาบกระด้างอยู่บ้าง แต่ยิ่งเห็นชัดถึงการผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก
นอกชุดตัวยาวลวดลายสัตว์มงคลเทวบารมีเทียมฟ้าคลุมไว้ด้วยเกราะเมฆแดงอาทิตย์อัสดงครบชุด เมื่อเทียบกับเฉดสีอันสง่าน่าเกรงขามทั้งวังอ๋องแล้วมันดูฮึกเหิมทรงพลังอย่างชัดเจน
“สุดท้ายหลิวจิ่งเฮ่ายังอดใจอยากทดสอบข้าไม่ไหวสินะ…ผู้แทนการตรวจสอบเล็กๆ นี่มีความจำเป็นอะไรต้องรายงานลับ ทังหมิงก็ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปได้ ปล่อยให้เขาเดินชมรอบชายแดนติ้งซีแล้วส่งข้อความไปเมืองหลวงเถิด แต่จะว่าไปแล้ว คนจำต้องอยู่ต่อ แจ้งเรื่องนี้ให้ฮุยฮั่นรู้ บอกเขาว่าพวกโจรก่อความวุ่นวายในเขตรัฐเยวี่ย สั่งเขาต้องนำทหารกวาดล้างมันให้สิ้นซาก!”
ฮั่ววั่งเคาะกล่องรายงานลับที่เพิ่งส่งมาจากรัฐติงด้วยด้ามของกระบี่ล้ำค่าตรงช่วงเอว บนปลายฝักกระบี่มีอักษรโบราณสองคำ ‘วงแหวนดารา’
………………………..
จุดพักม้าทางการ รัฐติง
หลิวรุ่ยอิ่งไม่กล้าสบตากับหลี่อวิ้นเลยตลอดทั้งวัน แต่นางยังพูดคุยจ้อกแจ้กกับเขาไม่หยุดเช่นเดิม
“ข้าว่านะสหาย หญิงงามล้ำตัวเป็นๆ คนหนึ่งหมุนไปหมุนมาอยู่ข้างกายเจ้าเช่นนี้ เจ้าจะข่มกลั้นไหวอย่างนั้นหรือ”
ทังจงซงกับเหยียนจื่อเริ่มฝึกยุทธ์ตามบัณฑิตจางแล้ว บัณฑิตจางมอบหุ่นคนตัวหนึ่งให้เขาสองคน ด้านบนแสดงเส้นลมปราณทั้งหมดในร่างกายไว้ชัดเจน รวมถึงจุดรวมเส้นปลายประสาท จุดรวมเส้นโลหิตและจานประสาท เน้นหนักให้พวกเขาตะบี้ตะบันท่องจำเข้าไป เหยียนจื่อถือหุ่นคนเริ่มท่องจำเงียบๆ ทังจงซงชำเลืองมองแวบหนึ่งก็หมดความสนใจ และวิ่งมากระเซ้าเย้าแหย่หลิวรุ่ยอิ่ง
“หรือว่าเจ้ามีคนในใจแล้ว คงไม่ใช่หมั้นหมายแล้วหรอกกระมัง!”
“ถูกต้อง นางเป็นสตรีที่น่ารักคนหนึ่ง จิตใจงดงามมาก แต่ซุกซนไปหน่อย”
คาดไม่ถึงว่าหลิวรุ่ยอิ่งจะเอ่ยอย่างเอาจริงเอาจัง คราวนี้ถึงตาทังจงซงทำอะไรไม่ถูกแล้ว
“แต่ทุกคนล้วนมีชะตาที่ตนเองต้องแบกรับ ข้าเกิดมาก็ต้องทำเรื่องน่ารังเกียจที่ไม่อาจบอกผู้ใดนี้ ตอนแรกพ่อแม่ของนางตายอยู่ในมือกรมสอบสวนด้วยโทษฐานรวมหัวก่อกบฏ แต่หลายปีต่อมาพิสูจน์ชัดแล้วว่าเป็นการป้ายสี ผู้สั่งการก็คือผู้บังคับบัญชาของข้าโดยตรง เจี่ยงชางฉงผู้ตรวจการกองสัคคะเนตร ส่วนหลักฐานที่ว่าในตอนนั้น ข้ากลับเป็นคนเก็บรวบรวม ก็ด้วยเหตุนี้ ข้าจึงมีความดีความชอบ ขุนนางเล็กๆ ที่ไม่เคยได้มีระดับขั้นกระโดดทีเดียวก็ถูกแต่งตั้งเป็นผู้แทนการตรวจสอบพิเศษ”
พูดจบหลิวรุ่ยอิ่งก็ค่อนข้างตระหนก เขารู้สึกตนเองพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดมากเกินไป
แต่ความรู้สึกสนิทสนมที่เผยให้เห็นบนตัวทังจงซงทำให้เขาไม่อาจระมัดระวังได้ คำพูดเหล่านี้ยังไม่ทันได้คิดก็ลื่นไหลออกมาจากในปากแล้ว
เขาที่รู้สึกพลาดรีบหุบปากทันควัน ในสมองกลับมีเพลงบทหนึ่งดังขึ้น เป็นเพลงยอดนิยมที่สุดในเมืองตอนเขาจากเมืองหลวงมา
คำร้องเขียนไว้เช่นนี้
ข้าจุดเทียนมงคล ร่ายรำในห้องนอนยามราตรีเหน็บหนาว
อัสสุกลายเป็นน้ำค้างในพุ่มมาลา เทียบนาวาห่างประตูทิศใต้สามลี้
จันทร์สาดส่องเมฆหมอกกลางพนา ผู้จากลาหันกลับมามองเมืองท่าน
ปาดเปลื้องสายชลบนแอ่งธารา ฝนฟ้าคะนองเมืองขวางกั้นทางรักข้า
ใจย่อมรู้เมืองหลวงนี้เจ้ามิอาวรณ์
ความมุ่งมาดทั้งปวงได้เพียงบอกโพธิสัตว์
จดหมายสีดอกท้อซีดเหลืองสูญสลาย
หัวเรื่องมิวายเว้นว่างรอเติมเต็ม
ข้ามีเรื่องในใจมากมายมิอาจบอกให้รู้แจ้ง
แต่จากไปเช่นนี้คงมิหวนคืนเป็นแน่แท้
ทุกเช้าทุกค่ำ ไยมัวคะนึงหา
ปั้นชาใหม่ทำจากดินม่วง
มิอาจแช่เอาความทุกข์ระทมออกมาได้เลย
เคยสาบานชีวิตนี้จะมิทำผิดต่อกัน
เมื่อปณิธานแรกพังทลายกลับไม่มีข่าวคราวใด
ด่านภูเขาหมื่นลี้ยังมีห่านป่าคอยส่งสาร
ข้าถอนหายใจสะบัดพู่หางม้า
จะเยาะเย้ยตนว่ารักมากล้นไปไย
ข้าผิดต่อผู้คนมากมายนับมิถ้วน
บทกลอนแลภาพศิลป์เมามายฝังกลบอยู่ปลายน้ำ
ทอดลำนำจากแดนไกลลมพัดหนี้รักไปไม่มีผู้ใดอ่าน
ท่องทั่วโลกาเหลือเพียงเกศาห้าฉื่อ[10]ห้าชุ่น
……………………………………..
[1] ผู้กล้าเผชิญกองทัพล้วนยืนเรียงอยู่เบื้องหน้าไม่หลีกลี้ แรกสุดเป็นคำพูดปลุกขวัญกำลังใจทหาร ต่อมาถูกนำมาใช้เป็นมนต์เก้าอักขระทำประกอบมุทรา เพื่อปัดเป่าภูตผีปิศาจ ขจัดภยันอันตรายหรืออุปสรรคทั้งปวง
[2] หายใจหนึ่งชีพจรเต้นสาม หมายถึงหายใจเข้าออกหนึ่งครั้งชีพจรเต้นสามครั้ง แต่อัตราของคนปกติอยู่ที่เต้นสี่ครั้ง
[3] แปะตุ๊ก ลำต้นใต้ดินแห้งของพืชชนิดหนึ่ง
[4] โหราเดือยไก่ สรรพคุณเพิ่มความอุ่นและเสริมสร้างหยางของม้าม ไต
[5] ตั้งชื่อต่ำต้อยให้ชีวิตราบรื่น สมัยก่อนชาวบ้านมีแนวคิดว่าการตั้งชื่อไม่เพราะจะช่วยปกป้องลูกจากภูตผี เพื่อให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างราบรื่น
[6] เถี่ยจู้ ความหมายตามตัวคือเสาเหล็ก
[7] วั่ง หมายถึงการมีหวัง ตั้งตารอ มองไปยังที่ไกล
[8] อู๋ซื่อ หรือสตรีสกุลอู๋ ซื่อ แปลว่านามสกุล ใช้เรียกต่อท้ายสกุลเดิมของหญิงที่แต่งงานแล้ว
[9] หมวกม่วงทอง เรียกอีกอย่างว่าหมวกรัชทายาท เป็นเครื่องประดับรัดเกล้า
[10] ฉื่อ หน่วยวัดความยาวของจีน ความยาวประมาณ 33.3 เซนติเมตร