ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 52 พู่กันดั่งมีด วาจาบาดลึก-5
บทที่ 52 พู่กันดั่งมีด วาจาบาดลึก-5
กรมสอบสวน ภายในอาคารกรมสอบสวนหัวเมืองรัฐติง
ดวงดาวพร่างพราว ลาลับเส้นขอบฟ้า
ไม่นานนัก แสงอรุณยามเช้าก็มาถึง ท้องฟ้าแจ่มใส
หลิวรุ่ยอิ่งอดหลับอดนอนทั้งคืน ในที่สุดก็คัดลอก ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ ด้วยมือจนเสร็จ
เขามองหนังสือคัดลอกด้วยมือของตนเอง ตัวหนังสือยังนับว่าเรียบร้อย แต่ภาพอธิบายวิชากระบี่ที่แนบอยู่ด้านหลังกลับวาดอย่างคนไม่เหมือนคนผีไม่เหมือนผี…ด้ามจับกระบี่เขาวาดเหมือนด้ามไม้กวาด ไร้ซึ่งจิตวิญญาณของการรำกระบี่ ยังดีที่แขนขาครบถ้วน ถึงแม้จะดูเป็นนามธรรมไปบ้าง แต่ใช่ว่าจะไม่เข้าใจ
“ขาดก็แต่ด้ายกับเข็มเย็บรูปเล่ม ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้น…”
เขาคิดเช่นนี้อยู่ในใจ
แต่หมึกกับพู่กันยังพอว่า ถ้าหากขอเข็มกับด้ายจากอาคารกรมสอบสวน คนที่ไม่รู้คงคิดว่าตนถูกอะไรกระตุ้นเริ่มเรียนวิชาเย็บปักถักร้อย…
ทันใดนั้นจึงออกไปข้างนอก ไปซื้อที่ตลาดด้วยตนเอง
หลิวรุ่ยอิ่งถอดชุดราชการ อยากจะเดินออกไปจากมุมประตูของอาคาร หลีกเลี่ยงถนนที่คึกคัก
ก่อนจะเดินออกไป เขาจงใจนำต้นฉบับของ ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ ทิ้งไว้ในห้อง ทับไว้ใต้หมอน แล้วพกฉบับคัดลอกของตนเองไว้กับตัว
“นายกองหลิวแผลเป็นอย่างไรบ้าง”
คิดไม่ถึงว่า พอออกจากประตูก็เจอกับหัวหน้าอาคารฉินเดินมาพอดี
หลิวรุ่ยอิ่งมองเอกสารกองหนึ่งในมือของเขา คิดว่าคงอดนอนตลอดทั้งคืน
ทว่าเขาเขียนรายงานชี้แจงสถานการณ์ แต่หลิวรุ่ยอิ่งคัดลอกคัมภีร์
“ดีขึ้นเยอะแล้ว เรื่องเมื่อคืนจะว่าไปแล้วโชคดีที่หัวหน้าอาคารฉินมาทัน ไม่ฉะนั้นข้าอาจจะตายไปแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งประสานมือพูดอย่างเกรงใจ
อันที่จริง เมื่อคืนความกลัดกลุ้มใจของเขาไม่ได้ลดน้อยลงเลยจนถึงป่านนี้ แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับไม่สนใจ ไม่ว่าอย่างไรคนก็ไม่ใช่เหล็ก บาดเจ็บเลือดไหล แถมไม่ได้นอนทั้งคืน หากรู้สึกสบายคงแปลกแล้ว!
“นายกองหลิวพูดเช่นนี้เกรงใจเกินไปแล้ว พวกเราเป็นสหายของกรมสอบสวน ทุกการเคลื่อนไหวเพื่อความสงบสุขของใต้หล้า นายกองหลิวมาที่รัฐติงของข้าก็เพื่อรักษาความสงบสุขของประชาชนมิใช่หรือ ภาระหน้าที่อันพึงต้องปฏิบัติให้ข้าแซ่ฉินผู้นี้ได้ทำเถอะ”
หัวหน้าอาคารฉินพูดพลางยื่นเอกสารในมือ
“นี่คือร่างฉบับรายงานข้าแซ่ฉิน อยากให้นายกองหลิวดูสักหน่อย หากมีจุดไหนที่ไม่ใช่ความจริงหรือรายละเอียดตกหล่นขอให้ท่านช่วยบอกกล่าว”
หัวหน้าอาคารฉินพูดต่อ
ไม่เสียแรงที่เขาทำงานอาชีพนี้มานาน ชำนาญเรื่องมีมนุษย์สัมพันธ์กับผู้คน
เมื่อคืนเขาใช้ความคิดอย่างหนัก เขียนรายงานที่ค่อนข้างลำเอียง
ทั้งหมดมีสองส่วน ส่วนที่หนึ่งเล่าว่าตนและคนอื่นในกรมสอบสวนแยกทางกับหลิวรุ่ยอิ่งที่หน้าประตูหัวเมืองรัฐติง จากนั้นบันทึกขั้นตอนการต่อสู้ของหลิวรุ่ยอิ่งที่บอกกับเขา จะว่าไปแล้วฝีมือการเขียนของหัวหน้าอาคารฉินก็ไม่เลวหลิวรุ่ยอิ่งแค่เล่าลักษณะเด่นรูปร่างหน้าตาของคู่ต่อสู้นิดๆ หน่อยๆ รวมทั้งวิชาและอาวุธที่ใช้เท่านั้น แต่หัวหน้าอาคารฉินกลับเขียนได้ละเอียดยิบย่อย…เมื่อเทียบกันแล้วมหัศจรรย์กว่าพวกบัณฑิตเสียอีก
ส่วนที่สองเขียนว่าหลังจากตนเองเห็นสัญญาณของระเบิดหลงไฟแล้วรีบไปยังที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็วอย่างไร สิ่งนี้ยากที่จะแยกออกจากการฝึกฝนที่เข้มงวดและกฎระเบียบที่เคร่งครัดในยามปกติของอาคารกรมสอบสวนหัวเมืองรัฐติง หลังจากมาถึงที่เกิดเหตุแล้วช่วยหลิวรุ่ยอิ่งอย่างไร รวมทั้งเริ่มสอบสวนอย่างจริงจังเช่นไร ไม่ปล่อยให้เบาะแสใดๆ หลุดรอดไปได้แม้แต่นิดเดียว…
หากยื่นรายงานเช่นนี้ไป คงจะไม่โดนความผิดฐานละเลยหน้าที่ ถึงอย่างไรนายกองหลิวก็ยืนกรานจะไปคนเดียว ตนเองก็ไม่สามารถจับเขามัดให้อยู่ข้างกายหรือแอบส่งคนตามไปจับตาดูได้ไม่ใช่หรือ
ในทางกลับกันสำหรับหลิวรุ่ยอิ่ง ตนเขียนบรรยายถึงความกล้าหาญของเขาอย่างหาที่เปรียบไม่ได้…หนึ่งคนต่อสู้กับสองกบฏก็ไม่ด้อยกว่า แม้ขาจะโดนธนูยิง แต่เมื่อนึกถึงหน้าที่และเกียรติของกรมสอบสวน นึกถึงบุญคุณที่ใต้เท้าผู้บังคับการกรมเว่ยฉี่หลินและใต้เท้าผู้ตรวจการกองเจี่ยงชางฉงกองสัคคะเนตรเลี้ยงดูอบรมบ่มนิสัยแล้ว จึงเค้นพลังภายในกายไม่หยุด กระทั่งลืมความเจ็บปวดของบาดแผล ต่อสู้อย่างกล้าหาญ จนสองกบฏถอยหนี
สุดท้าย ยังอยู่ตรวจสอบและสืบสวนในสถานที่เกิดเหตุต่อ หลังจากกลับถึงอาคารกรมสอบสวนก็ยังไม่สนใจแผลที่เลือดไหล อยากจะเล่าเรื่องราวที่ได้พบเจอก่อน เพื่อจะได้เก็บไว้เป็นต้นฉบับแรก ช่างเป็นแบบอย่างที่สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง!
หัวหน้าอาคารฉินคิดในใจ เช่นนี้ยากที่เจ้าจะหาข้อบกพร่องจากข้า ไม่ว่าอย่างไรได้ฟังคำประจบเอาใจ ใครบ้างจะไม่ดีใจ
เขากำลังภาคภูมิใจอยู่ในใจ รู้สึกว่าเมื่อคืนตนไม่ได้เสียแรงเปล่า
แต่พอหลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยปาก รอยยิ้มของเขากลับหยุดลงทันที…
“หัวหน้าอาคารฉินลำบากแล้ว เมื่อวานข้าก็เขียนรายงานฉบับหนึ่ง แต่ลืมรายละเอียดที่เกี่ยวข้องในที่เกิดเหตุบางจุด ข้ากำลังจะไปตรวจสอบที่จุดเกิดเหตุอีกรอบ อีกอย่างหัวหน้าอาคารฉินทำผลงานโดดเด่นมาตลอด คาดว่าคงไม่มีปัญหาใหญ่ใดๆ แน่นอน”
หลิวรุ่ยอิ่งพูดเช่นนี้
อันที่จริงเขาเขียนรายงานเสียที่ไหน แค่คัดลอก ‘กระบี่เจ็ดถ้อยสันดาป’ กับมือตนเอง ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่มีเวลาปรึกษากับหัวหน้าอาคารฉินเกี่ยวกับรายละเอียดของรายงาน…
หัวหน้าอาคารฉินได้ยินหลิวรุ่ยอิ่งพูดจริงจังเช่นนี้ ความคิดหลายอย่างก็เริ่มถาโถมเข้ามาทันที
“นายกองหลิวเป็นเสาหลักของกรมสอบสวนข้าจริงๆ มุมานะบากบั่นเช่นนี้ คาดว่าอนาคตจะต้องเติบโต ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น!”
หัวหน้าอาคารฉินได้แต่คุยโวอย่างเกรงใจประโยคหนึ่ง ไกล่เกลี่ยให้ตนเองเพื่อหาทางลง
คิดไม่ถึงว่า ตอนที่หลิวรุ่ยอิ่งเดินเลี้ยวออกจากโถงทางเดินไปแล้ว หัวหน้าอาคารฉิน ‘ฉีก’ ทำลายเอกสารที่อยู่ในมือทิ้ง
หลังเดินออกจากมุมประตูแล้ว หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกสบายใจขึ้นทันที
ถึงแม้เขาจะไม่ได้รำคาญหัวหน้าอาคารฉิน แต่มักรู้สึกว่าอีกฝ่ายเสแสร้งมากเกินไป ไร้ความจริงใจ แม้งานของตนเองจะเป็นงานที่ไร้ความซื่อสัตย์ในใต้หล้า แต่การปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนก็ต้องมีความใส่ใจกัน หลิวรุ่ยอิ่งไม่ใช่คนเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ และไม่รู้ว่าวันเดือนปีเกิดของตนทำนายแล้วจะเข้าขากับคนแบบไหน แต่เขารู้สึกว่าเวลาอยู่กับหัวหน้าอาคารฉินแล้วไม่ค่อยสบายใจนัก
หากจะพูดถึงการมีปฏิสัมพันธ์กับคน เขากลับนึกถึงทังจงซงมากกว่า…
“ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่วังติ้งซีอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง ไม่รู้ว่าฮั่ววั่งเตรียมจะสั่งสอนอะไรเขา…”
หลิวรุ่ยอิ่งรู้ว่าการเย็บรูปเล่มหนังสือต้องใช้เข็มกับด้าย ดังนั้นจึงเข้าไปในร้านขายเสื้อผ้าแห่งหนึ่งบนท้องถนน
คิดไม่ถึงว่าจะขายแต่เสื้อผ้าสำเร็จรูป แม้แต่ผ้าพับก็ไม่ขาย แล้วจะมีเข็มกับด้ายได้อย่างไร
วันนี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้สวมชุดราชการ…ดังนั้นจึงไม่มีใครเกรงใจเขา เจ้าของร้านเสื้อผ้าลากแขนเขาออกจากร้าน ชี้ไปที่ป้ายข้างบนเพื่อให้เขามองเห็นชัดเจน
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเล็กน้อย…ต่อให้เจ้ามีเสื้อผ้าสำเร็จรูป ก็ต้องใช้เข็มกับด้ายทำออกมาไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงปั้นน้ำเป็นตัวบอกว่าไม่มีเล่า!
ทว่า เมื่อได้คำแนะนำจากเจ้าของร้าน เขาถึงรู้ว่าต้องไปที่ไหน จนกระทั่งหาร้านตัดเย็บเสื้อผ้าเจอ
“ท่านลูกค้าอยากจะปะเสื้อผ้าหรือว่าตัดเสื้อผ้าเล่า ถ้าต้องการเสื้อผ้าสำเร็จรูป ร้านเล็กของข้ามีอยู่สองสามชุดแม้จะเป็นการคืนสินค้าจากลูกค้าคนก่อน แต่ราคาถูกทีเดียว ไม่มีผลต่อการสวมใส่เลยสักนิด!”
จากขนาดของป้ายร้านค้า ความสูงต่ำของวงกบประตู มองปราดเดียวก็แยกออกถึงระดับของร้านค้าแล้ว
ร้านเสื้อผ้าเมื่อครู่นี้ ป้ายร้านค้าพื้นสีดำเคลือบทอง แขวนอยู่สูงๆ อย่าว่าแต่เจ้าของร้านเลย แม้แต่เด็กในร้านก็จมูกสูงโด่ง
ร้านตัดเย็บเสื้อผ้าตอนนี้ เป็นท่อนไม้พ่นสี เขียนป้ายร้านด้วยตนเอง ดังนั้นจึงไม่มีต้นทุนที่น่าภูมิใจอะไร
“ข้าอยากซื้อเข็มกับด้าย”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“ขนาดกี่ชุ่น เย็บอะไร”
เจ้าของร้านเป็นเถ้าแก่เนี้ยท่านหนึ่ง มองหลิวรุ่ยอิ่งดูไม่เหมือนคนที่เป็นงานเย็บปักถักร้อย จึงถามด้วยความประหลาดใจ
“อืม…สามารถนำมาเย็บรูปเล่มหนังสือได้ทำนองนั้น”
หลิวรุ่ยอิ่งควักสมุดคัดลอกของตนออกมา แล้วพูดกับเถ้าแก่เนี้ย
“พรืด!”
คิดไม่ถึงว่าเถ้าแก่เนี้ยจะหลุดหัวเราะออกมา
พลางคิดในใจ เจ้าหนุ่มผู้นี้หน้าตาหล่อเหลา ดูท่าคงเรียนหนังสือจนบ้าไปแล้ว…ถึงกับวิ่งมาซื้อเข็มซื้อด้ายที่ร้านเย็บผ้าบอกว่าจะซ่อมหนังสือ…’
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกแปลกใจ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า
และเถ้าแก่เนี้ยท่านนี้กลับมีน้ำใจ ชี้ทางให้หลิวรุ่ยอิ่ง
“โถงรื่นรมย์!”
ไม่ใช่ร้านอื่น แต่เป็นร้านสาขาในหัวเมืองรัฐติงซึ่งขายตำราวรรณกรรมที่ใหญ่ที่สุดในใต้หล้า
โถงรื่นรมย์ที่อยู่ในใจของบัณฑิต มีค่าเท่ากับตระกูลโอวสำหรับผู้ฝึกยุทธ์
โถงรื่นรมย์เป็นศูนย์รวบรวมสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับห้องอักษร ส่วนตระกูลโอวสร้างกระบี่ที่ยอดเยี่ยมและแหลมคมที่สุด
ดังที่กล่าวว่า ‘อยากทำงานให้ดีต้องมีเครื่องมือที่ดีก่อน’ ไม่สนว่าเขาจะรู้หนังสือกี่มากน้อย อ่านตำรากี่เล่ม เขียนวรรณกรรมดีหรือไม่ ล้วนต้องจัดเตรียมอุปกรณ์ก่อนหนึ่งชุด
พู่กันเยี่ยน หมึกผิ่น กระดาษอวี้ แท่นฝนหมึกฉี
ทั้งสี่อย่างนี้เป็นสุดยอดของดีในใต้หล้า เรียกรวมกันว่าสิ่งล้ำค่าในห้องหนังสือ
พู่กันจากรัฐเยี่ยนอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง เป็นพู่กันชั้นดี แม้จะเบา แต่การใช้งานกลับไม่เบาทีเดียว พู่กันเยี่ยนผลิตจากงานฝีมือชั้นยอด ราคาพอๆ กับไข่มุกตงไห่ และหมึกผิ่นก็มาจากรัฐผิ่นอาณาจักรอันตงอ๋อง เนื้อเนียนละเอียดถึงแม้จะดำปี๋ ทว่าแวววาว น้ำหมึกสะอาด ไร้สิ่งแปลกปลอมเจือปน ทนทานราวหยก มีกลิ่นหอมเตะจมูก
พู่กันดีกระดาษยอด แท่นฝนหมึกเลื่องชื่อ!
รัฐอวี้ของอาณาจักรผิงหนานอ๋องมีชื่อเสียงเรื่องหินหยกประเภทต่างๆ ว่ากันว่ากระดาษฟางมีส่วนผสมของผงหยกด้วย เวลาเขียนจะชัดและแม่นยำ ราวกับเยื่อหุ้มไข่ บางละเอียด ยอดเยี่ยมที่สุดในใต้หล้า ประหนึ่งสาวงามในสายตานักกวีที่โดนเนรเทศ ยากที่จะลืมเลือน แท่นฝนหมึกฉีจากรัฐฉีก็เป็นของชั้นดีเช่นกัน เนื่องจากเป็น ‘หินฉี’ ของดีในท้องถิ่นของอาณาจักรติ้งซีอ๋อง คุณสมบัติหินมีความแข็งแกร่ง มันวาว ละเอียด เรียบเนียน เมื่อนำไปทำเป็นแท่นฝนหมึกแล้วยิ่งละเอียด ชุ่มชื้น อ่อนโยน นุ่มนวล และเรียบกริบ! แท่นฝนหมึกฉีชั้นดี แค่เพียงลมหายใจเดียวก็เริ่มฝนหมึกได้แล้ว ทำให้ใช้หมึกเขียนได้เร็วขึ้น
“คิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะยุ่งยากเพียงนี้…”
หลิวรุ่ยอิ่งเดินเข้าไปในโถงรื่นรมย์ สินค้ามากมายละลานตา มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ของพู่กันและหมึก ทำให้เขารู้สึกไม่เข้ากับที่นี่อย่างเห็นได้ชัด
คนที่เดินเข้าออกส่วนใหญ่ล้วนใส่ชุดบัณฑิต มีหญ้ากำมะหยี่ขาวบัณฑิตขั้นหนึ่งเป็นส่วนใหญ่ และมีบรรพตตาดเขียวบัณฑิตขั้นสี่สองคนเดินแวบผ่านเป็นบางครั้งแต่กลับทำให้คนรอบๆ ล้วนอิจฉา
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกต้อยต่ำ…แอบเดินตามเข้าไปเงียบๆ เมื่อเจอคนช่วยงานในร้านถามกลับหลีกเลี่ยงไม่ตอบ แล้วมองหาด้วยตนเอง
………………………….
“แม่นางผู้นี้ ไม่ทราบว่าท่านต้องการสิ่งใด ลองบอกก่อนได้ ให้ข้าน้อยช่วยแนะนำ!”
“แม่นางผู้นี้ กระดาษในมือท่านถึงแม้จะดี แต่ยังสู้กระดาษอวี้ไม่ได้ ตอนพ่อข้ายังหนุ่มแน่นโชคดีเก็บสะสมดาบไว้สองสามเล่ม หากแม่นางไม่รังเกียจ อยากจะเชิญแม่นางไปตีราคาด้วยกัน”
หลิวรุ่ยอิ่งมองกลุ่มคนที่ล้อมรอบอยู่ข้างหน้า คนนั้นพูดคนนี้พูดกันอย่างคึกคัก จึงอดไม่ได้ที่จะชะโงกศีรษะไปมอง
เห็นเพียงสตรีสองคนกำลังถูกบัณฑิตห้อมล้อม คนหนึ่งมองซ้ายแลขวาไม่สนใจ ใบหน้าแสดงสีหน้ารำคาญ อีกคนกลับเลือกกระดาษอย่างตั้งใจ หันไปยิ้มเล็กๆ ให้คนที่อยู่ข้างๆ เป็นครั้งคราวตามมารยาท
ทั้งสองคนนี้หากไม่ใช่เจ้าหมิงหมิงกับเกาลัดคั่วน้ำตาลแล้วจะเป็นผู้ใดเล่า
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นสองคนนี้ทั้งดีใจทั้งตระหนก ตอนนี้เห็นคนเยอะจึงไม่รู้ว่าควรทักทายอย่างไร ไม่ว่าอย่างไรแม้แต่ชื่อของนางก็ยังไม่รู้ ได้แต่เกาศีรษะแกรกๆ ทำตัวไม่ถูก
“นี่!” จู่ๆ เกาลัดคั่วน้ำตาลก็กวาดตามองเห็นร่างเงาของหลิวรุ่ยอิ่งจึงเอ่ยเรียก
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าตนเองถูกพบเข้าแล้ว จึงได้แต่เดินขึ้นหน้าไปพูดคุย
“น้องสาว บังเอิญเชียว!”
หลิวรุ่ยอิ่งใช้คำเรียกขานตอนที่ดื่มสุราในคืนนั้น
เจ้าหมิงหมิงเห็นหลิวรุ่ยอิ่ง นัยน์ตาพลันเป็นประกาย ดีใจอย่างยิ่ง
ถึงแม้ภายนอกนางจะมีมารยาทต่อบัณฑิตกลุ่มนี้ แต่ในใจนั้นกลับรำคาญเป็นที่สุด ตั้งแต่นางเดินเข้ามาในร้านคนกลุ่มนี้ก็เข้ามาพูดคุยกับนางไม่หยุด เหมือนแมลงวันบินหึ่ง น่าหงุดหงิดยิ่งนัก หากอยู่ที่เขาเรียงรัน นางจะจับพวกเขาไปให้อสูรที่ยังไม่ตื่นรู้กิน
“คุณชายมาที่โถงรื่นรมย์ทำไมหรือ”
เจ้าหมิงหมิงถาม
บัณฑิตกลุ่มนั้นเห็นหลิวรุ่ยอิ่งเข้ามา คุณหนูหน้าตางดงามผู้นี้เป็นฝ่ายเอ่ยพูดก่อน จึงแสดงสีหน้าโกรธอย่างอดไม่ได้
“ข้ามาซื้ออุปกรณ์ซ่อมหนังสือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“โอ้ ชาวยุทธ์เช่นท่านอ่านหนังสือออกด้วยหรือ”
เกาลัดคั่วน้ำตาลถามหยอกล้อ
บัณฑิตที่อยู่โดยรอบได้ยินว่าหลิวรุ่ยอิ่งเป็นชาวยุทธ์ จึงอดไม่ได้ที่จะดูถูกเยาะเย้ยเขา ไม่มองเขาเป็นคนอีกต่อไป จากนั้นเริ่มห้อมล้อมเจ้าหมิงหมิงไม่หยุดอีกครั้ง
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเจ้าหมิงหมิงอยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วน จึงมีน้ำใจช่วยแก้สถานการณ์ให้นาง
“พวกเจ้ารบกวนเช่นนี้ แม่นางผู้นี้จะเลือกสินค้าอย่างตั้งใจได้อย่างไร”
หลิวรุ่ยอิ่งพูด
“เอ๊ะ! เจ้าเป็นชาวยุทธ์จะเข้าใจอะไร! พวกเรากำลังแนะนำแม่นางผู้นี้อยู่ แม่นางผู้นี้จะได้เลือกของที่ถูกใจ”
บัณฑิตคนเมื่อครู่ที่อยากให้เจ้าหมิงหมิงไปลองกระดาษที่บ้านของเขาพูดขึ้น เขาสวมชุดบรรพตตาดเขียวขั้นสี่ ไม่ว่าจะเป็นระดับขั้นก็ยังโดดเด่นกว่าผู้อื่น
“ชาวยุทธ์ก็เข้าใจเรื่องของชาวยุทธ์…อย่างเช่นชาวยุทธ์จะรู้ว่าอย่าทำให้สุราดีต้องผิดหวัง อย่าล่วงเกินหญิงงาม”
หลิวรุ่ยอิ่งยักไหล่พูด
“หญิงงาม…คำนี้คู่ควรให้เจ้าพูดออกมาหรือ อีกอย่างข้าจะล่วงเกินหรือไม่ล่วงเกินก็ไม่เกี่ยวกับเจ้า แม่นางผู้นี้ยังไม่ได้กล่าวอันใด เจ้าก็เข้ามายุ่งเสียแล้ว”
บัณฑิตในชุดบรรพตตาดเขียวขั้นสี่ก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เริ่มมีปากเสียงกับหลิวรุ่ยอิ่ง ไม่ยอมลดราวาศอก
……………………………………………………………………….