ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 502 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-9
บทที่ 502 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-9
…………….
หลี่จวิ้นชางกับเถ้าแก่เนี้ยเสียใจกับการประเมินก่อนหน้านี้เล็กน้อย…
ทุกคนต่างมีหน้ากากและเปลือกนอกจริง
แต่ความสง่าของจิ้นเผิงหาใช่การแสร้งทำเช่นคนอื่น
หรือต่อให้เสแสร้ง แต่เขายังรักษาความตั้งใจเดิมของตนในสถานการณ์เช่นนั้นได้ ความสง่านี้กลับกลายเป็นจริงแท้อย่างยิ่ง
ผู้สง่างามแสร้งทำท่าทางได้ ขอแค่เป็นเช่นนี้ทุกเวลาทุกโอกาส แม้เป็นมารยาทจอมปลอมเพียงใดก็กลายเป็นความอ่อนน้อมแท้จริงได้
พลาดโอกาสอันดียิ่งในครั้งแรกเหมือนตีกลองครั้งแรกฮึกเหิม ครั้งที่สองเสียขวัญ…
แต่ถึงเป็นเช่นนี้จิ้นเผิงก็ยังทำให้จิ้งเหยาหมดทางถอยหนีด้วยอานุภาพหนึ่งกระบี่
ด้วยสายตาของหลี่จวิ้นชางกับเถ้าแก่เนี้ยย่อมดูออกว่าจิ้นเผิงสามารถออกกระบี่ปิดตายช่องว่างเหนือศีรษะของจิ้งเหยาก่อนร่างของเขาจะกระโดดขึ้นสูง แต่จิ้นเผิงยังคงไม่ทำเช่นนี้…
นี่ทำให้หลี่จวิ้นชางกับเถ้าแก่เนี้ยไม่เข้าใจ
แต่ฟังจากบทสนทนาของทั้งสองในโถงใหญ่ก่อนหน้านี้ได้ไม่ยาก เหมือนพวกเขาสองคนมีอดีตกันเล็กน้อย
ส่วนคืออะไร ทั้งสองพูดจาคลุมเครือ คนนอกฟังแล้วคิดไม่ตกใคร่ครวญไม่ออกโดยสิ้นเชิง
ครั้งที่สองเสียขวัญ ครั้งที่สามหมดกำลังใจ
หากบอกว่าครั้งที่สองจิ้นเผิงยังมั่นใจเจ็ดส่วนว่าสามารถฆ่าศัตรูได้ในหนึ่งกระบี่ โอกาสครั้งที่สามทั้งสองกลับเสมอกัน
จิ้งเหยาฟันดาบจากบนลงล่างย่อมได้เปรียบกว่าจิ้นเผิงแกว่งกระบี่รับศัตรูจากพื้นไม่น้อย
แม้จิ้นเผิงมีโอกาสออกกระบี่หลังจากแรงกระโดดของจิ้งเหยาหมดลง แต่เขากลับออกตอนแรงลงของอีกฝ่ายเต็มกำลัง
จิ้งเหยาอยู่ในขั้นสุดยอดแล้ว จิ้นเผิงเพิ่งโจมตีขึ้นจากพื้น
โอกาสเมื่อครู่หมดสิ้น แพ้ชนะตัดสินได้ง่าย
หนทางเดียวคือจิ้นเผิงต้องอาศัยขั้นฝึกยุทธ์ของตนมาฝืนสู้กระบี่หนึ่ง
“เจ้าคิดว่านี่เป็นเลือดของใคร”
เถ้าแก่เนี้ยมองหลี่จวิ้นชางพลางเอ่ยถาม
หลี่จวิ้นชางจ้องมองเลือดสดหลายหยดบนพื้น น้ำตาคลอไม่เอ่ยสิ่งใด
เถ้าแก่เนี้ยเหมือนรู้สึกถึงอารมณ์ที่ต่างออกไป นางผู้มีนิสัยแก่นแก้วดุดันมาตลอดก็สำรวมกิริยายืนเงียบอยู่ข้างกายเขา ยังยื่นมือข้างหนึ่งวางบนหลังเขาเบาๆ แล้วลูบขึ้นลงตามสันหลัง
หลี่จวิ้นชางสัมผัสถึงความอุ่นจากแผ่นหลัง กระแสอุ่นไหลผ่านหัวใจทำให้สงบลงฉับพลัน
“ข้าไม่เป็นไร”
หลี่จวิ้นชางหันมาจับมือเถ้าแก่เนี้ยพลางกล่าว
เถ้าแก่เนี้ยยกมืออีกข้าง ปลายนิ้วชี้ไล้ผ่านแก้มหลี่จวิ้นชางแผ่วเบา เหลือรอยน้ำบางๆ สายหนึ่ง คราบน้ำตามักหายไปอย่างรวดเร็ว แต่ขอเพียงเอ่ยปากมันก็จะปรากฏต่อเนื่องคล้ายไม่รู้จักเบื่อหน่าย ประหนึ่งเบ้าตายิ้มตื้นนั้นไม่อาจรองรับความทุกข์ท่วมท้นหัวใจ จึงต้องแย้มเปิดให้ไหลออกเงียบๆ เช่นนี้
ตอนนี้เถ้าแก่เนี้ยก็ไม่รู้ว่านางเผชิญหน้าหลี่จวิ้นชางด้วยความรู้สึกแบบใด แต่นางรู้ว่าตอนได้เจอหลี่จวิ้นชางครั้งแรกเป็นการหลบลี้แน่นอน เดิมอยากเปลี่ยนสภาพแวดล้อมใหม่เพื่อช่วยให้ลืมเลือน แต่เรื่องบางเรื่องจะลืมได้จริงหรือ
เด็กหนุ่มที่เคยทำให้นางอบอุ่นในช่วงเวลานับไม่ถ้วน ยิ้มแล้วสุขุมเยือกเย็นเหมือนแสงอาทิตย์ยามบ่ายต้นฤดูร้อน เด็กหนุ่มที่รีบตื่นมาดูอาทิตย์ยามเช้า นับดาวตอนพลบค่ำเป็นเพื่อนแล้วแบกนางที่หลับสนิทกลับบ้าน อย่างไรนางก็ลืมไม่ลง…
ตอนนี้นึกทบทวนแล้วเหมือนความฝันมากกว่าฉากในลานด้านหลังเสียอีก ในเมื่อเป็นความฝัน การทะนุถนอมคงจะดีงามกว่าการลืมเลือน
อย่างน้อยเถ้าแก่เนี้ยก็รู้ว่าแม้เมื่อก่อนมีเรื่องไม่สมดังใจ ไม่สุขใจและไม่พึงพอใจเท่าใดล้วนต้องยอมรับด้วยความยินดี บางครั้งอาจเจ็บปวดนัก แต่เมื่อความเจ็บนั้นแผ่ขยายเต็มที่ย่อมพลิกจากร้ายกลายเป็นดี เถ้าแก่เนี้ยไม่เกลียดเขา นอกจากเรื่องไปไม่ลาก็ไม่มีเหตุผลใดให้เจ็บแค้นใจ
ตัวนางละทิ้งแทบทุกสิ่งมาเหมืองแร่นี้เพื่อยืนหยัดในการตัดสินใจแรกเหมือนกันไม่ใช่หรือ พวกเขาสองคนล้วนไม่มีทางให้ถอยกลับ สู้เลือกเดินตามนั้นยังดีกว่า ฉวยจังหวะตอนยังไม่ถูกเรื่องเลวร้ายเหล่านี้ตีแตกพังทลายหรือทำสับสนเดินหน้าต่อไปโดยไม่ขลาดกลัว
หลี่จวิ้นชางเคยกล่าวคำสัญญากับเถ้าแก่เนี้ยไว้มากมาย พวกเขาในตอนนั้นล้วนมีกำลังมากพอให้บรรลุ แต่ตอนนี้ไม่ว่าเถ้าแก่เนี้ยหรือหลี่จวิ้นชางต่างไม่ใช่หนุ่มสาวและไม่เพ้อฝันอีกต่อไปแล้ว เถ้าแก่เนี้ยจึงไม่กล้าพนัน…นางไม่มีความกล้าหาญที่จะออกจากจวนชิงในรัฐหงอย่างแน่วแน่เด็ดขาดเช่นก่อนหน้านี้แล้ว สิ่งที่เหลือมีแค่ความสับสนนับร้อยพันตลบ…
ยามค่ำคืนเงียบสงัด ส่วนใหญ่เถ้าแก่เนี้ยนอนไม่หลับเพราะกำลังคิดว่าหากตอนแรกตนไม่ออกจากจวนชิงแล้วตอนนี้จะเป็นเหตุการณ์แบบใด จะแต่งงานตามคำแนะนำของพ่อแม่ ข้างกายมีคนคุ้มครองตนเช่นคนทั่วไปใช่หรือไม่ แม้ไม่สนุกเท่าใด อาจถึงขั้นจืดชืดเล็กน้อย แต่ก็สามารถใช้ชีวิตที่ไม่ใช่ของตัวเองสักนิดด้วยความเคารพกันและกันได้จนวันสุดท้าย
………………..
บนหาดทรายโกบีฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของโรงเตี๊ยมเถ้าแก่เนี้ย
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากำลังเดินไปยังเงาร่างที่เขาเห็นจากหน้าต่างก่อนหน้านี้
“ท่านมาแล้ว”
เกาเหรินไพล่มือกล่าว
“เจ้ารอข้าอยู่ไม่ใช่หรือ”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาถาม
“ถูกต้อง กระหม่อมกำลังรอท่านอยู่พ่ะย่ะค่ะ”
เกาเหรินกล่าว
ยังคงไม่หันมา
“เช่นนั้นเจ้าคงคำนวณไว้แล้วว่าข้าจะมา”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากล่าว
ฝีเท้าเขาหยุดในตำแหน่งที่ห่างจากเกาเหรินสามจั้ง
“หรือเจ้าคำนวณไม่ได้ว่าข้าจะมาเมื่อไร ยืนตากลมอยู่ที่นี่ครึ่งชั่วยามโดยไม่มีมูลเหตุคงลำบากแย่กระมัง…”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากล่าวต่อ
“หากกระหม่อมคำนวณได้ถึงขั้นนี้ ท่านคงไม่ทำท่าทีเช่นนี้กับกระหม่อมหรอกพ่ะย่ะค่ะ”
เกาเหรินเอียงกายเล็กน้อยพลางกล่าว
“แล้วควรทำเช่นไร”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาถาม
“ย่อมต้องรบเร้าเชิญกระหม่อมไปเป็นแขกในวังเจิ้นเป่ยอ๋องอันหรูหราของท่าน พร้อมนำสุราที่ดีที่สุดและเรียกแม่นางที่งามที่สุดมา”
ยังเบี่ยงกายมาหาเจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาสองสามส่วน
“ก็เพราะเจ้ามีความคิดเช่นนี้ เจ้าถึงคำนวณไม่ได้ว่าข้าจะมาเมื่อไร”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากล่าวเหยียด
“ท่านดูแคลนกระหม่อมมากเลยหรือ”
เกาเหรินถาม
คราวนี้กายเขาหันมาจนสุด เผชิญหน้ามองเจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยา
“เปล่าๆๆ ข้าไม่เคยดูถูกใคร อย่างมากข้าก็แค่ไม่ค่อยเข้าใจเจ้าเท่านั้น”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากล่าวพลางโบกมือรัว
“ท่านถามกระหม่อมได้”
เกาเหรินยิ้มกล่าว
“ข้าถามเจ้าแล้วถ้าเจ้าไม่ตอบจะไม่เสียหน้าแย่?”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ท่านไม่ถามย่อมได้แต่คาดเดา กระหม่อมยอมให้คนอื่นดูแคลนได้ แต่กระหม่อมไม่อาจยอมให้คนอื่นเข้าใจผิดพ่ะย่ะค่ะ”
เกาเหรินกล่าว
“ดังนั้นเจ้าจะต้องตอบแน่นอน!”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ไม่แน่หรอก!”
เกาเหรินยักคิ้ว ตอบอย่างมีไหวพริบ
“เจ้ามาเขตเจิ้นเป่ยอ๋องข้าคิดจะทำอะไรกันแน่ หรือทำเพื่อเงินไม่กี่ล้านตำลึงจริงๆ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะยินดีเป็นคนรับใช้ชาวทุ่งหญ้า”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากล่าว
เกาเหรินกล่าว
“แต่สำหรับเจ้า เป้าหมายสุดท้ายไม่ใช่เพื่อเงินแน่”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากล่าว
“ท่านเคยรู้จักด้านอัปลักษณ์ของคนหรือไม่ เจิ้นเป่ยอ๋องผู้สูงส่งคงไม่รู้จักแน่นอน”
เกาเหรินกล่าว
มือขวานาบอก โค้งคำนับเจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาอย่างงดงาม
“ยินดีรับฟังคำสั่งสอน!”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาประสานมือคำนับกล่าว
“ความอัปลักษณ์ของคนมีมาแต่โบราณ ไม่ว่าเป็นยุคราชวงศ์มากมายก่อนหน้านี้หรือห้าอ๋องปกครองร่วมกัน ที่ที่มีคนย่อมมีความอัปลักษณ์ ความอัปลักษณ์นี้หาใช่ว่าคนหน้าตางดงามหรือไม่ แต่อยู่ที่จิตใจของคน ข้างในนี้ซ่อนด้านอัปลักษณ์อันยากเปลี่ยนแปลงของคนนับร้อยนับพันปี คนมากมายล้วนพ่ายแพ้แก่มัน แต่หากพูดถึงด้านที่ทำให้คนอัปลักษณ์ที่สุดคงจะเป็นคนตายเพื่อเงิน นกตายเพื่ออาหาร”
เกาเหรินกล่าว
“ไม่มีเงินเดินลำบาก กินไม่อิ่ม กายไม่อุ่น เจ้ากับข้าก็เป็นเช่นนี้”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากล่าว
สำหรับจุดนี้เขาไม่มีอะไรจะเถียง
“ท่านเกิดในครอบครัวชนชั้นสูง ย่อมพูดเรื่องเหล่านี้ได้สบาย แต่ท่านเคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดคนอื่นมีความทุกข์ยากเช่นนี้ แต่ท่านไม่มี สุดท้ายถึงต้องเลือกความพ่ายแพ้ให้ถูกเหยียดหยาม”
เกาเหรินย้อนถาม
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยานิ่งเงียบ…
เขาไม่เคยใคร่ครวญข้อสำคัญเหล่านี้มาก่อนจริงๆ
แต่เห็นทุกยุคสมัยและทุกวิถีทางโลกล้วนมีปรากฏการณ์ที่ไม่สมเหตุสมผลเกิดขึ้น ก็มีแต่คนไม่เข้มแข็งพอที่พ่ายแพ้แก่ความทุกข์ยากต่างๆ นานา เมื่อปรากฏการณ์หนึ่งเกิดถ้วนทั่วมากพอ เช่นนั้นการปรากฏตัวและการมีอยู่ของมันย่อมสมเหตุสมผล เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาจึงไม่คิดว่าตนทำอะไรผิด
“เริ่มแรกคนส่วนใหญ่ต่างมีความฝันและปณิธานแน่วแน่ ไม่ว่าร่ำรวยหรือยากจน เด็กๆ จะบอกท่านว่าภายหน้าอยากทำอะไร แต่ผลสุดท้ายล่ะ ใช่ว่าพวกเขาไม่พยายาม แต่ความเป็นจริงไม่เคยให้โอกาสเช่นนี้แก่พวกเขาเลยด้วยซ้ำ เดิมทีคนมากมายสามารถทำเรื่องที่ตนคิดว่ามีความหมายได้ทั้งชีวิต แต่สุดท้ายล้วนกลายเป็นคนธรรมดา เดินตามกระแสทางโลก ละทิ้งความฝันเดินตามคนส่วนใหญ่ ใช้ชีวิตเบาปัญญาใครว่าอย่างไรก็ว่าตาม แต่อ๋องเจ้าผู้ครองอาณาจักรเช่นท่านเคยคำนึงถึงความยากลำบากของประชาชนใต้อาณัติตนอย่างแท้จริงบ้างหรือไม่”
เกาเหรินถามเสียงดุดัน
นี่เกินขอบเขตคุยเล่นแล้ว กลายเป็นเหมือนตำหนิและประณามเล็กน้อย
“ห้าอ๋องปกครองร่วมกันมานานแล้ว เป็นยุคที่สี่สมุทรมีสันติภาพ แต่เรื่องอัปลักษณ์เกิดขึ้นถี่กว่าตอนไฟสงครามลุกทั่วทิศแล้วยกทัพไปปราบเสียอีก ว่ากันถึงแก่นคือคนใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นพวกท่านมีมากเกินไป แต่คนที่มีความมุ่งมาดปรารถนาและมีความสามารถเหล่านี้กลับไม่มีวันได้มีหน้ามีตา”
เกาเหรินพูดลื่นไหลไม่หยุดดุจน้ำตก
เขาเห็นเจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาเงียบแล้วยิ่งพูดยิ่งฮึกเหิม
“ทุกปีล้วนมีความทุกข์ยากของปีนั้น ทุกปีล้วนมีกฎเกณฑ์อยู่ในตัว ควบคุมกฎเกณฑ์เช่นนี้ได้ก็กำหนดวิถีชีวิตตัวเองได้ คนที่ควบคุมไม่ได้ย่อมรู้สึกถูกทอดทิ้ง ถูกผูกมัดและถึงขั้นถูกเหยียบย่ำ เรื่องเช่นนี้คงไม่อาจพูดรวมได้ทั้งหมด…”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาเปิดปากกล่าว
“ท่านรู้หรือไม่เหตุใดกระหม่อมไม่ได้รับสืบทอดตำแหน่งสุดยอดนักพรตอินหยางไท่ไป๋”
เกาเหรินพลันกล่าวเปลี่ยนประเด็น
“ยินดีรับฟัง”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากล่าว
“เพราะไม่ว่าเป็นเยี่ยเหว่ยอาจารย์ของข้าหรือเซียวจิ่นข่านศิษย์น้องของข้า พวกเขาล้วนเห็นแก่ตัวเกินไป อาจารย์เป็นคนพิการขาเป๋ ศิษย์น้องเป็นคนตาบอด และข้าเป็นคนแคระตัวเตี้ย ว่าตามหลักคนอย่างพวกเราต้องชิงอำนาจหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองอยู่แล้ว แต่ข้าคิดต่างกับพวกเขา ข้าคิดว่าตัวเองเป็นคนกลุ่มน้อยที่โชคดีมากพอแล้ว แต่คนส่วนใหญ่ทั้งชีวิตยังไม่อาจซื้อบ้านแต่งภรรยาเพราะปัจจัยจำกัด มีไข้ปวดหัวอะไรก็ไม่รู้จักไปหาหมอรับยา แต่ไปร้องไห้หาบิดามารดรในศาลเจ้าอยู่พักใหญ่ สุดท้ายใช้ผ้าเช็ดหน้าห่อขี้ธูปไปหนึ่งกำมือ”
“เจ้าจึงอยากเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ อยากให้ทุกคนมีโอกาสไล่ตามความฝันของตน?”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาถาม
“ตอนเยี่ยเหว่ยอาจารย์ข้าถามข้ากับศิษย์น้องว่าหากได้รับสืบทอดตำแหน่งสุดยอดนักพรตอินหยางไท่ไป๋แล้วจะทำอะไร ข้าบอกว่าแม้ต้องโทษจากสวรรค์ ข้าก็จะใช้สิ่งที่ร่ำเรียนมาทั้งชีวิตและแรงกำลังของตนเดินท่องทั่วทุกมุมในใต้หล้าเพื่อมอบโอกาสให้ทุกคนอย่างเท่าเทียมเท่าที่จะทำได้”
เกาเหรินกล่าว
“เซียวไต้ซือว่าอย่างไร”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาถาม
“เขาว่าอย่างไรตอนนี้สำคัญด้วยหรือ”
เกาเหรินกล่าวเยาะหยัน
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยาเม้มปาก…รู้สึกคำถามตนโง่เง่าสิ้นดี!
เกาเหรินกล่าวเช่นนี้แล้วสุดท้ายไม่ได้รับสืบทอดตำแหน่งสุดยอดนักพรตอินหยางไท่ไป๋ แสดงว่าคำตอบของเซียวจิ่นข่านต้องตรงข้ามกับเขาโดยสิ้นเชิง
“ไม่สำคัญแล้ว…”
เจิ้นเป่ยอ๋องช่างกวนซวี่เหยากล่าว
เขาเอ่ยประโยคนี้เสียงเบายิ่ง เบาจนเขาเองยังได้ยินไม่ค่อยชัด เพิ่งออกจากปากก็ถูกลมพัดปลิว ทรายบดแหลกละเอียด
…………………………………………
…………….