ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 498 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-5
บทที่ 498 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-5
…………….
ไม่เอ่ยถึงโต๊ะเก้าอี้ จอกสุราและจานชามที่แตกละเอียดอยู่ในโถงใหญ่เหล่านั้น จิ้งเหยายังคงต่อสู้กับจิ้นเผิง อีกด้านหนึ่งเยว่ตี๋กับเจ้าหมิงหมิงก็สถานการณ์ตึงเครียด ไม่ยอมกันแม้แต่น้อย
“หากตอนนี้เจ้ายอมหยุดมือจากไป ข้าจะไม่ยุ่งเกี่ยวแน่!”
เยว่ตี๋กล่าวกับเจ้าหมิงหมิง
เจ้าหมิงหมิงไม่เอ่ยคำใด แอบมีน้ำโหอยู่เหมือนกัน
นึกถึงตลอดทางหลังจากนางลงภูเขา นอกจากหลิวรุ่ยอิ่งแล้ว ก็ไม่เคยเจอคนถูกชะตาเลย ยิ่งไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้นางพอใจสักเรื่อง!
อย่างไรคุณหนูใหญ่ก็คือคุณหนูใหญ่ สิ่งที่ต้องมีคืออารมณ์โกรธ!
มีอารมณ์โกรธแล้วถึงจะแสร้งทำใหญ่โตได้ หากไม่มีกระทั่งสิ่งเหล่านี้จะสมกับเป็นคุณหนูได้อย่างไร ย่อมไม่ต่างอะไรกับเด็กสาวชาวบ้านธรรมดา
“ทำไมไม่พูด”
เยว่ตี๋ขมวดคิ้วเอ่ยถาม
“พูดให้คนฟัง สำหรับเจ้าต้องเห่าหอนเท่านั้น! แต่ข้าทำไม่เป็น!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
เยว่ตี๋ฟังแล้วนิ่งอึ้ง จากนั้นถึงได้สติ!
กัดฟันเสียงดังกรอดและกล่าว
“เจ้ากล้าด่าข้าเชียวรึ!”
“ไม่มีใครสอนเจ้าให้ยุ่งเรื่องชาวบ้านน้อยหน่อย ข้าได้แต่เป็นทั้งพ่อทั้งแม่อบรมแทนพวกเขา!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวอย่างไม่ลดราวาศอก
แม้แต่เถ้าแก่เนี้ยที่อยู่ด้านข้างก็ตกตะลึง!
นางนึกไม่ถึงเลยว่าพอเจ้าหมิงหมิงที่ดูนิ่มนวลสงบเสงี่ยมเรียบร้อยพูดแดกดันด่าคนออกมา แล้วจะบาดลึกทุกคำ รุนแรงทุกประโยคเช่นนี้!
ว่าไปก็แปลก
อีกนิดเดียวเยว่ตี๋จะก้าวถึงขั้นฝึกยุทธ์สูงสุดอย่างเทพบริราชเก้าทวีปได้แล้ว ยามลงมือควรจะเป็นกระบวนท่าสังหาร
แต่กระบี่นี้ไม่เพียงอ่อนนุ่มไร้กำลังปราศจากอานุภาพ กระทั่งตำแหน่งที่ชี้ยังเป็นลำตัวของเจ้าหมิงหมิง
ตรงนี้ไม่ถือเป็นจุดสำคัญบนกายโดยสิ้นเชิง
หนำซ้ำยังเป็นจุดเชื่อมของร่างกาย ปราดเปรียวยืดหยุ่นเป็นที่สุด
ขอแค่เจ้าหมิงหมิงเบี่ยงตัวเล็กน้อยก็หลบกระบี่นี้ได้
เจ้าหมิงหมิงเห็นนางออกกระบี่เช่นนี้ก็อดหัวเราะเยาะในใจไม่ได้
ใจคิดเยว่ตี๋เป็นพวกพูดมากลงมือน้อย!
เมื่อครู่ทำเอะอะโหดเหี้ยมปานนั้น ตอนออกมือจริงก็เผยไส้ในทันที!
“จึๆๆ…”
เถ้าแก่เนี้ยกอดอก จุ๊ปากชื่นชม
หน้าอกอวบอิ่มพลันถูกดันขยายใหญ่กว่าเดิม ทำเอาหลี่จวิ้นชางที่ยืนอยู่ข้างๆ มองตาค้างแอบกลืนน้ำลาย
“นี่เป็นแผนที่มีแต่สตรีเท่านั้นที่คิดออกจริงๆ!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
นางยื่นมือจับคางหลี่จวิ้นชาง ออกแรงดันศีรษะของเขาให้สายตาเขาเลื่อนออกไปจากเนินอกใหญ่ของตนและหันไปหาเจ้าหมิงหมิงกับเยว่ตี๋ที่กำลังต่อสู้กัน
“แผนของสตรีหมายถึงอะไร”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถาม
เขาก็รู้ว่าเมื่อครู่ตนเสียอาการเล็กน้อย…
ตอนนี้รีบชิงเอ่ยปากก่อนเพื่อกลบเกลื่อน
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมกระบี่ของนางต้องพุ่งไปที่ลำตัว”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
“ไม่รู้…”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“หลายปีมานี้เจ้าไม่เคยถอดเสื้อผ้าสตรีเลยหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยหันมาถามด้วยความแปลกใจ
หลี่จวิ้นชางกระดากอายกับหัวข้อนี้เล็กน้อย…
เขาเคยนอนกับสตรีอยู่แล้ว แต่ยังไม่เคยถอดเสื้อผ้าสตรีจริงๆ…
บุรุษล้วนมีช่วงอยากระบายอารมณ์ หลี่จวิ้นชางมักจัดการในหอนางโลมอย่างรีบร้อน
ห้องที่เขาไป แม่นางเปลื้องผ้าเปลือยเปล่านอนอยู่บนเตียงแต่เนิ่นแล้ว
โต๊ะเล็กในห้องวางสุราและชาชั้นดี ผ้านวมก็อบหอม
แต่หลี่จวิ้นชางไม่มีเวลาเพลิดเพลินกับสิ่งเหล่านี้
เพราะเขาชัดเจนในเป้าหมายของตน
เขามาระบายอารมณ์ ไม่ได้มาหยอกเอิน
ถึงขั้นเข้าห้องมาก็เป่า ‘ฟู่’ ดับตะเกียงบนโต๊ะทันที
เหล่าแม่นางในหอนางโลมที่เขาไปบ่อยๆ ล้วนไม่ชอบเขา!
เพราะหลี่จวิ้นชางป่าเถื่อนเกินไป ไม่รู้จักทะนุถนอมสตรีสักนิด
แต่บรรดาแม่เล้ากลับมองว่าเขาเป็นแขกที่หาได้ยากในรอบหมื่นปี!
นอกจากจะไม่ขออะไรแล้วยังไม่เคยสร้างเรื่อง
กระทั่งค้างคืนยังไม่เคยด้วยซ้ำ
แขกเช่นนี้ใจป้ำจ่ายหนัก พวกนางจะไม่ชอบได้อย่างไร?!
“ข้าไม่เคย…”
ได้ยินประโยคนี้แล้วสายตาที่เถ้าแก่เนี้ยมองเขาพลันแฝงความนัยบางอย่าง
หลี่จวิ้นชางรู้ว่านางคิดผิด…นึกว่าตนยังใสซื่อบริสุทธิ์
แต่กับคำถามเมื่อครู่หลี่จวิ้นชางก็ไม่ได้โกหกจริงๆ แต่ถ้าต้องอธิบายให้เข้าใจเกรงว่าต้องใช้เวลามาก ตอนนี้ไม่เหมาะเอาเสียเลย…
“เสื้อผ้าของสตรี โดยเฉพาะกระโปรงและข้างในชุดตัวนอกล้วนมีเชือกผูกเส้นหนึ่ง เชือกเส้นนี้ผูกชุดกับซับในไว้ด้วยกัน ยังปรับความหลวมแน่นได้ตลอดเวลา นางพุ่งกระบี่ตรงไปหาลำตัวก็เพื่อตัดเชือกเส้นนี้ เชือกขาดแล้ว กางเกงซับในไม่ได้ผูกก็จะหลุดออกมาไม่ใช่หรือ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“แต่กางเกงตัวเดียวหลุดออกมาก็ไม่ได้ส่งผลอะไร…เหตุใดต้องพยายามตัดเชือกเส้นหนึ่งด้วย คิดจะสำเร็จในหนึ่งกระบี่ก็ไม่ง่ายนัก…”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“เมื่อครู่คนผู้นี้ด่านางว่าเป็นสุนัขไม่ได้รับการอบรม นางย่อมต้องเอาคืนด้วยการทำให้นางเปลือยก้น”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“คิดแผนรับมือเช่นนี้ได้ในชั่วพริบตาต้องไม่ใช่พวกรับมือง่ายเป็นแน่”
หลี่จวิ้นชางส่ายหน้ากล่าวชม
“ไม่หรอก แค่เป็นสตรีก็คิดวิธีเช่นนี้ได้แล้ว! แต่ต้องดูว่านางจะทำสำเร็จหรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
สิ่งที่คนต่างกับสุนัขที่สุดก็คือคนสวมเสื้อผ้า สุนัขก้นเปลือย คนต้องมีศักดิ์ศรี สุนัขไม่รู้จักอาย
หากคนผู้นี้ก้นเปลือยและไม่รู้จักอับอายก็ไม่ต่างอะไรกับสุนัข
เจ้าหมิงหมิงด่าเยว่ตี๋เช่นนี้ เยว่ตี๋ต้องทำให้นางก้นเปลือยสักครั้งเป็นการตอบแทน
แต่หลี่จวิ้นชางฟังการอธิบายของเถ้าแก่เนี้ยแล้วถึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าเหตุใดวิธีและการออกกระบี่เช่นนี้มีแค่สตรีที่ทำได้
ไม่เพียงเพราะเยว่ตี๋ถูกเหยียดหยามแล้วอยากรักษาหน้าด้วยวิธีเดียวกัน ที่สำคัญกว่าคือความริษยาและการเปรียบเทียบกันเองระหว่างสตรี
หลี่จวิ้นชางไม่รู้ว่าเถ้าแก่เนี้ยก็เคยลงมือต่อสู้กับเยว่ตี๋ครั้งหนึ่งด้วยเหตุผลเช่นนี้ นางแค่เปรียบเทียบเอวของเจ้าหมิงหมิงกับเยว่ตี๋เท่านั้น
แม้หน้าตาทั้งสองล้วนงดงาม แต่แนวคิดความ ‘งาม’ นี้เป็นสิ่งแน่นอนและไม่มีลักษณะเฉพาะสำหรับผู้ใด
บุ๋นไม่มีสอง บู๊ไม่มีสอง ความงามก็ไม่มีสองเช่นกัน เหมือนหลี่จวิ้นชางเคยนอนกับสตรีมากมาย แต่ผ่านมาหลายปีแล้วใจเขายังรู้สึกเถ้าแก่เนี้ยงามที่สุด
นั่นไม่ใช่ความงามดาษดื่นบนเรือนร่าง แต่เป็นตอนเผลอนึกถึงสตรีคนหนึ่งแล้วในหัวปรากฏเพียงใบหน้านี้ ไม่ว่านางอายุสิบหกหรือเป็นหญิงชราหลังค่อมก็ตาม
สำหรับเยว่ตี๋กับเจ้าหมิงหมิงที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ คนงามคือเจ้าหมิงหมิงแน่นอน
เอวนางเพรียวบางกว่าเยว่ตี๋เล็กน้อย เครื่องหน้าก็งามประณีตกว่าหน่อย เยว่ตี๋เหมือนเถ้าแก่เนี้ย หลายปีนี้ใช้ชีวิตในยุทธภพย่อมมีกลิ่นอายดินฝุ่นอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ดินฝุ่นนี้หาใช่ดินฝุ่นนั้น เป็นแค่การตกตะกอนหลังผ่านโลกมามาก
กลิ่นอายเช่นนี้ต้องใช้เวลาเรียนรู้ถึงจะได้สัมผัส เพียงแต่เจอครั้งแรกจะไม่งดงามจนตกตะลึงและทำให้คนใจเต้น
เจ้าหมิงหมิงเพิ่งออกจากภูเขาไม่นาน ยังต้องมีประสบการณ์ แต่ด้วยเหตุนี้บนกายนางจึงมีกลิ่นอายเซียนมากกว่าเยว่ตี๋ ในนั้นยังผสมความไร้เดียงสาไม่รู้เรื่องทางโลกของเด็กสาว ยังไม่ทันหน้านิ่วหรือแย้มยิ้มก็มีความน่ารักที่หญิงสาวทั่วไปไม่มี
เจ้าหมิงหมิงหูดี ได้ยินบทสนทนาของเถ้าแก่เนี้ยกับหลี่จวิ้นชางในโถงใหญ่ที่เอ็ดอึง
นางพลันเกิดความคิด ตัดสินใจใช้แผนซ้อนแผน ถือกระบี่พุ่งแทงตรงลำตัวของเยว่ตี๋เช่นกัน เพียงแต่อานุภาพกระบี่รุนแรง ไม่มีสิ่งใดต้านทาน พริบตาเดียวก็ถึงตรงหน้า
เยว่ตี๋นึกไม่ถึงว่าเจ้าหมิงหมิงจะอ่านความคิดนางออกในเวลาสั้นๆ เช่นนี้ และยังจะใช้วิธีเดียวกันจัดการตน
สถานการณ์คับขัน ได้แต่ใช้กระบี่ป้องกัน
แต่ด้วยเหตุนี้จึงแพ้เจ้าหมิงหมิงครึ่งกระบวน
ตัวนางจึงอยู่ในสถานการณ์ลำบากเล็กน้อย
“หน้าไม่อายจริงๆ!”
เจ้าหมิงหมิงพ่นคำด่าเบาๆ
เยว่ตี๋ย่อมรู้ว่าเป็นฝ่ายผิด หน้าดำหน้าซีดไม่รู้ควรพูดอะไร
กระบี่นั้นสำเร็จยังพอว่า คนเสียหน้าคืออีกฝ่าย
แต่ผ่านไปพักหนึ่งเยว่ตี๋ก็คิดได้ แววตาจดจ่อ ยกมือออกสามกระบี่พร้อมกัน แทงไปที่หว่างคิ้วและสองแขนของเจ้าหมิงหมิง
กระบวนท่านี้อันตรายถึงที่สุด
เดิมเจ้าหมิงหมิงคิดว่านางสองคนแค่โกรธกัน อย่างไรก็เป็นความขัดแย้งเล็กน้อย ไหนเลยจะถึงขั้นสู้เอาเป็นเอาตาย
แต่สามกระบี่นี้ไม่เกี่ยวกับศักดิ์ศรีแล้ว เยว่ตี๋คิดสังหารนาง
เจ้าหมิงหมิงเม้มริมฝีปากแน่น คอยรับมืออย่างระมัดระวัง
ก่อนอื่นลดไหล่ซ้ายลงต่ำเหมือนท่าเบี่ยงกายหลบ จากนั้นยกไหล่ขวาพร้อมชูแขนขวาขึ้นสูง วาดเปิดปิดเหมือนจะโยนกระบี่ยาวในมือออกไป
เยว่ตี๋ไม่เคยเห็นเพลงกระบี่ไร้ระบบไร้วิถีเช่นนี้มาก่อน ขณะยุ่งอยู่กับการวิเคราะห์ กระบี่ในมือก็ช้าลงสามส่วน…
แค่เวลาชั่วพริบตา เจ้าหมิงหมิงก็มีเวลาพอให้เอียงศีรษะหลบกระบี่หว่างคิ้วนั้นแล้ว จากนั้นกระบี่ยาวในมือนางกลับวาดเป็นพัดพุ่งแทงเข้าใต้รักแร้เยว่ตี๋
กระบี่ของเยว่ตี๋เพิ่งทะลุผ่านช่องว่างตรงหัวไหล่กับหูซ้ายเจ้าหมิงหมิง ไม่มีเวลาสนใจตัวเองโดยสิ้นเชิง
สถานการณ์คับขันพลันกระทืบเท้า
ส้นเท้าส่งแรง ฝ่าเท้าพลิกออก หัวเข่างอเล็กน้อย
ร่างทั้งร่างอยู่ในสภาพเสียสมดุลอย่างยิ่ง ดูเหมือนหลบกระบี่นี้ได้
แต่ข้างลำตัวเยว่ตี๋ยังคงถูกพลังกระบี่ของเจ้าหมิงหมิงลากผ่านจนเสื้อขาด เผยให้เห็นซับในสีขาว
“ไม่ว่าอากาศร้อนเท่าไรสตรีอย่างพวกเจ้าก็สวมเสื้อไว้ข้างในใช่หรือไม่”
หลี่จวิ้นชางถามเถ้าแก่เนี้ย
“หิมะตกหนักหรือแดดจ้าไม่ว่าฤดูไหน หากสตรีเช่นพวกข้าไม่สวมเสื้อผ้าข้างในอีกชั้น เกรงว่าบุรุษเช่นพวกเจ้าคงรู้สึกร้อนตลอดเวลา!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“แน่นอนว่าอีกเหตุผลคือให้บุรุษเช่นพวกเจ้าถอดเสื้อผ้าไม่สะดวกมือ!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวยิ้มนุ่มนวล
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“ของที่ยิ่งได้มาง่าย ยิ่งไม่ถูกทะนุถนอม หากเสื้อผ้าของสตรีคนหนึ่งถอดได้เร็วเท่าไร คนที่ให้นางถอดเสื้อผ้าก็จะเยอะเท่านั้น อยากดูว่าสตรีคนหนึ่งมีคุณค่าหรือไม่ ก็ต้องดูว่านางเคยถอดเสื้อผ้าให้บุรุษกี่คน”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลักการเหล่านี้เข้าใจแล้วไม่ยาก เพียงแต่หลี่จวิ้นชางไม่เคยมีเวลามาคิดอย่างจริงจัง เขาแอบรู้สึกเหมือนเถ้าแก่เนี้ยกำลังบอกบางอย่างเป็นนัย แต่ยังสับสนอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จับใจความไม่ได้
“เจ้าอยากให้ข้าเปลือยก้น สุดท้ายเป็นเจ้าเปลือยกายก่อน!”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวคำเริงร่า ลำพองใจไม่น้อย
“ก่อนหน้านี้ข้าอยากให้เจ้าขายหน้าจริง แต่อย่างไรกระบี่ก็ไม่ได้เอาไว้ถอดเสื้อผ้า!”
เยว่ตี๋กล่าวดุดัน
นางไม่ได้เกลียดใครเช่นนี้มานานมากแล้ว
เจ้าหมิงหมิงกลับเติมเต็มช่องว่างนี้และขึ้นไปจุดสูงสุดทันที
เจ้าหมิงหมิงเหมือนยังอยากพูดบางอย่าง แต่กระบี่เยว่ตี๋กลับพันม้วนเหมือนงูศักดิ์สิทธิ์เข้ามาอีกครั้ง ทำให้นางหงุดหงิดในใจเล็กน้อย…
การต่อสู้ที่ไร้ผลและไร้เป้าหมายนี้ทำไปเพื่ออะไรกันแน่ นางไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง หากรู้แต่แรกว่าเยว่ตี๋เป็นผู้หญิงรับมือยากเช่นนี้ สู้กล้ำกลืนฝืนทนกลับไปเสียตอนนั้นดีกว่า
แต่หมอดีแค่ไหนก็ไม่มียารักษาการนึกเสียใจ มาคิดตอนนี้กลับสายไปแล้ว
เพียงเห็นเยว่ตี๋ยื่นมือซ้ายกดบนโต๊ะตัวเดียวที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ข้างกาย ได้ยินเสียงลมดัง ‘หวือ’ ร่างทั้งร่างผสานพลังดั่งลมพายุ
ระหว่างใจลอย เจ้าหมิงหมิงเห็นไม่ชัดว่ากระบี่ของเยว่ตี๋อยู่ตรงไหน เพียงเห็นขางามข้างหนึ่งของนางฟาดมาที่ตนเหมือนแส้อ่อน
กระบี่นางกลับแนบติดอยู่บนขาตัวเอง ในมุมเจ้าหมิงหมิงมองไม่เห็นร่องรอยใด
กระบวนท่าของเยว่ตี๋ผสานความจริงแท้และลวงตา
แส้ขาที่ดูรุนแรงเป็นกระบวนท่าหลอก
มือสังหารตัวจริงคือกระบี่ที่ซ่อนอยู่หลังขา!
แต่ในยามนี้เอง ข้อเท้าเยว่ตี๋กลับถูกคนหนึ่งจับไว้กะทันหัน ค้างเดินหน้าถอยหลังไม่ได้อยู่กลางอากาศ!
เจ้าหมิงหมิงก็ชะงักอยู่ตรงนั้น ไม่เข้าใจว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฉับพลันนี้คืออะไร…
…………………………………………
ข้อความถึงนักอ่าน
@…………….
เนื่องด้วยปัญหาสุขภาพของนักแปล ทางทีมงานจึงมีความจำเป็นต้องปรับลดการอัปเดต “ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา” เหลือวันละ 1 ตอน เพื่อรักษาคุณภาพการแปล โดยจะอัปเดตในเวลา 12:30 น. ของทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 เป็นต้นไป ขออภัยในความไม่สะดวกมา ณ ที่นี้
…………….