ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 497 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-4
บทที่ 497 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-4
…………….
“หากข้าต่างกับภาพจำของเจ้าโดยสิ้นเชิง เจ้ายังคิดว่านี่เป็นเรื่องถูกต้องหรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยถามต่อ
“เจ้าลังเล…”
หลี่จวิ้นชางไม่ได้ตอบตรงๆ สีหน้ากลับเคร่งขรึมเล็กน้อย
เมื่อก่อนตอนทั้งสองอยู่ในหัวเมืองรัฐหง หลี่จวิ้นชางจะเก็บดอกไม้สดมาให้เถ้าแก่เนี้ยบ่อยครั้ง หน้าหนาวในปีที่ตระกูลหลี่พังพินาศมาเร็วนัก ถัดจากฝนใบไม้ร่วงครั้งสุดท้ายหิมะก็มาเยือนแล้ว แม้หัวเมืองรัฐหงอยู่ทางเหนือ แต่หลายปีนั้นหิมะไม่เคยตกอย่างที่ควร
เถ้าแก่เนี้ยชอบหิมะที่มาถึงเร็วนักนี้อย่างยิ่ง มองดูพวกมันตกลงอย่างไม่เร่งร้อน ฟ้าดินมัวหม่นประดับด้วยต้นไม้งาม เกล็ดสีขาวอ่อนโยนดุจลูกแก้วโปรยลงมาเกาะตามหลืบมุมต่างๆ และหลอมรวมเข้าด้วยกัน บนพื้นมีดินแหว่งอยู่เป็นบางครั้ง เหมือนรอยแผลหลายแห่งที่ยังไม่หายดี ทุกครั้งที่เห็นส่วนเปลือยข้างนอกเหล่านี้ เถ้าแก่เนี้ยมักจะคิดถึงหลี่จวิ้นชางที่ไม่รู้เป็นหรือตาย
สำหรับคนทางเหนือฤดูหนาวยังต้องมีหิมะตก ฤดูหนาวที่ไม่มีหิมะมักทำให้คนรู้สึกขาดอะไรไป ไม่ว่าเสน่ห์หรือความสนุกสนานก็ตาม
แม้สีสันของหิมะมีเพียงอย่างเดียว แต่ขาดมันก็เหมือนเถ้าแก่เนี้ยไม่มีดอกไม้สด ไม่มีคำถามไถ่และไร้การอยู่เคียงข้างของหลี่จวิ้นชาง เป็นช่วงเวลานานที่เถ้าแก่เนี้ยคิดว่าหลี่จวิ้นชางยังไม่ตายแต่ไปทางใต้
ทว่าฝนในแคว้นอบอุ่นนั้นไม่เคยกลายเป็นเกล็ดหิมะเปล่งประกายที่แข็งแกร่งเย็นเยียบให้คนใฝ่หาและกลัวความหนาวเหน็บไปพร้อมกัน จนถึงวันนี้แดนเหนือที่นางอยู่ลึกเข้าไปเพิ่งมีหิมะตกหนักอย่างแท้จริง
ในภาพจำ เถ้าแก่เนี้ยจำได้ว่านางเคยผ่านฤดูหนาวไปกับหลี่จวิ้นชางหลายครั้ง เคยมีตอนที่หิมะตกหนักมากด้วย ตอนค่ำท้องฟ้ายังแจ่มชัด สีดำทึบบางๆ แผ่กระจายเหนือผืนดินจนกลบสีขาวเงินบนพื้น
กลางคืนเห็นดาวสว่างไสวได้รางๆ แต่ในวันรุ่งขึ้นเถ้าแก่เนี้ยตื่นแล้วเปิดหน้าต่างดูกลับเห็นหิมะเต็มไปหมด มันสว่างไสวยิ่งกว่าดวงดาวยามค่ำคืนเสียอีก นั่นเป็นสีขาวจ้าตาที่ไม่อาจเมินเฉยได้ ทั้งที่เป็นฉากงดงามยิ่ง แต่กลับให้ความรู้สึกเหินห่างยากอธิบาย ทำให้คนมองแล้วก้าวถอยหลัง
เหล่าคนใช้ในจวนชิงกำลังเก็บกวาดอย่างขันแข็ง บริเวณพื้นที่ต่ำหิมะถึงขั้นแทรกตัวเข้าในห้องผ่านซอกประตู คล้ายพวกมันก็รู้สึกถึงความเหน็บหนาวด้านนอก อยากเข้ามารับความอบอุ่นในห้องเล็กน้อย
ทุกครั้งที่เป็นเช่นนี้ เถ้าแก่เนี้ยก็รีบสวมเสื้อกันหนาวกับรองเท้าหนังโดยไม่สนใจคำสั่งของมารดา ห่อตัวเองจนมองทรวดทรงไม่ออก ร่างงามงอนก็ต้านทานแรงดึงดูดจากหิมะไม่ได้เช่นกัน นางวิ่งออกจวนชิงมายืนหน้าประตูบ้านตระกูลหลี่ ร้องขานชื่อหลี่จวิ้นชางเสียงดัง เรียกเขาออกมาเล่นหิมะ
หลังจากหนาวจนหน้าและมือแดงก่ำพวกเขาก็จะกลับเข้าไปในห้องที่มีเตาถ่าน ให้คนใช้คั่วเมล็ดถั่วเหลืองกินหรือไม่ก็วางมันเทศสองสามหัวไว้ข้างเตาถ่าน เถ้าแก่เนี้ยเรียนสิ่งเหล่านี้จากในตำราทั้งนั้น
เมื่อเผามันเทศสุกแล้ว เปลือกนอกจะไหม้เล็กน้อย ดูน่าเกลียดทีเดียว ถือไว้ในมือยังไม่รู้สึกอยากอาหารเลยสักนิด แต่พอลอกเปลือกบางของมันออกเบาๆ แล้วเผยให้เห็นเนื้อสีขาวเหลือง ใช้ตะเกียบไม่ก็ช้อนตักกินคำใหญ่ ในปากจะมีไอร้อนพวยพุ่งไม่ขาดสายและรีบร้อนกลืนลงไป สุดท้ายตอนติดคอต้องดื่มน้ำตามเพื่อให้หายใจสะดวก
หลี่จวิ้นชางเคยสำลักครั้งหนึ่งเลยเริ่มกินช้าๆ แต่เถ้าแก่เนี้ยเป็นคนใจร้อน ทุกคำเหมือนมีคนจะแย่งนาง เป็นเรื่องจนหลี่จวิ้นชางต้องคอยรินน้ำตบหลังให้
เถ้าแก่เนี้ยยังเคยเห็นคนอื่นชอบหั่นหมั่นโถวเป็นชิ้นแล้ววางปิ้งไว้ข้างเตาถ่านจนกลายเป็นหมั่นโถวแห้ง ไฟถ่านเผาจนเหลืองกรอบ ดูแล้วทำให้คนอดกินมูมมามไม่ได้ เดิมนางอยากลองทำในฤดูหนาวครั้งนี้ แต่ก็กลัวตนสำลักจนหายใจไม่ออกจริงๆ ถึงอย่างไรคนที่รินน้ำตบหลังให้นางได้โดยไม่คิดรำคาญก็ไม่อยู่แล้ว
คนก็ไม่ต่างกับอาหารที่ชอบ หากเริ่มแรกมีคนช่วยทำให้และป้อนเข้าปาก เช่นนั้นคนมากมายที่กินเองได้ก็จะค่อยๆ เคยชินกับการกินของคนขี้คร้านเช่นนี้ หากจู่ๆ เจ้าต้องลงมือทำเองแล้วความพยายามที่ไม่เคยมีมาก่อนนั้นกลับมากกว่าความพึงพอใจที่ได้กินอาหาร เช่นนั้นก็คงไม่ลองทำโดยง่าย
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งสำคัญที่สุดในความสัมพันธ์ของคนสองคนคืออะไร”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถาม
“อย่างไรก็ไม่ใช่การไปไม่บอกกล่าว หายไปหลายปี!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หลี่จวิ้นชางยิ้ม ลูบปลายจมูกตัวเองอย่างเก้อกระดาก
ดูออกว่าเถ้าแก่เนี้ยแค้นเคืองเขา ไม่เช่นนั้นคงไม่เหน็บแนมเขาทุกประโยค ทั้งยังลากเถ้าแก่อ้วนคนหนึ่งมาบอกว่าเป็นสามีตัวเองอีก
ความแค้นเคืองที่สะสมหลายปีไม่มีทางหายไปในสองสามคำ หลี่จวิ้นชางเองก็เข้าใจกระบวนการที่ยาวนานนี้ดี
ตอนแรกวางอ่างน้ำไว้กลางพื้นหิมะเพียงเพราะอยากได้น้ำเย็น ระหว่างนั้นบังเอิญไปทำเรื่องอื่น ตอนกลับมาอีกครั้งน้ำเย็นนั้นก็กลายเป็นน้ำแข็งเสียแล้ว
หลี่จวิ้นชางไม่มีทางรู้ว่าหลังจากเขาไป กระทั่งเสียใจเถ้าแก่เนี้ยก็ไม่แสดงออก…
เพราะนางเชื่อเสมอว่าหลี่จวิ้นชางยังไม่ตาย ความยึดมั่นเช่นนี้ทำให้ตัวนางหลงลืมไปบ้าง แต่ยังคงตั้งมั่นอยู่ในใจไม่สั่นคลอน หากช้าเร็วต้องได้เจอคนที่ใช่ แม้ต้องใช้เวลารอคอยหลายปีแล้วจะอย่างไรเล่า ก็เหมือนกับเจอคนที่ไม่ใช่ ช้าเร็วอย่างไรก็ต้องแยกจาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดที่จากไปก็ไม่ต้องใส่ใจทั้งสิ้น
“สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนสองคนที่อยู่ด้วยกันคือความสดใหม่!”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“ความสดใหม่? ข้ารู้ว่าเนื้อต้องกินแบบมีเลือด พืชผักผลไม้ต้องกินตอนเพิ่งเก็บ คนอยู่ด้วยกันแบบไหนถึงจะเรียกว่าสดใหม่ แล้วยังพูดกันว่าเสื้อผ้าต้องตัวใหม่ คนเก่าย่อมดีกว่าไม่ใช่หรือ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ตอนข้าเจอพี่ชายเจ้าอีกครั้งที่จวนชิงก็มีความสดใหม่นัก นั่นเป็นความรู้สึกที่ประหลาดไม่น้อย ทั้งที่หน้าตาเหมือนเดิม ยังคงเป็นคนที่ข้าคุ้นเคย แต่การแต่งตัว การพูดจาและกลิ่นอายที่แผ่ออกมากลับเปลี่ยนไป นี่ก็คือความสดใหม่”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“เช่นนั้นหากข้าเปลี่ยนชุดทุกวัน ดื่มชาสุราต่างชนิดกันทุกวันก็มีความสดใหม่ได้ตลอดใช่หรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยยิ้มย้อนถาม
“สิ่งที่เจ้าว่าล้วนเป็นภายนอก ที่ข้าพูดคือภายใน”
หลี่จวิ้นชางเบะปาก ชัดว่าไม่พอใจที่เถ้าแก่เนี้ยบิดเบือนความหมายในคำพูดเขา
“เจ้าไปเจอพี่ชายข้าที่จวนชิง คงไม่ได้ไปทบทวนความหลังกระมัง…”
เถ้าแก่เนี้ยมองหลี่จวิ้นชางอย่างลึกล้ำพลางกล่าว
“ข้าไปฆ่าเขา”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“แล้วทำไมเขาไม่ตาย”
เถ้าแก่เนี้ยถาม
หลี่จวิ้นชางกล่าว
แม้ความจริงไม่เป็นอย่างที่เขาว่า แต่ไม่ว่าอย่างไรมือสังหารก็ไม่มีทางยอมรับความพ่ายแพ้ของตน
“เฮ้อ…”
เถ้าแก่เนี้ยถอนหายใจยาว
หลี่จวิ้นชางไม่ค่อยเข้าใจ
เหมือนนางรู้สึกแย่เพราะเขาไม่ได้ฆ่านายท่านจิน…
“หากเจ้าฆ่าเขาขึ้นมาจริงๆ ตอนนี้ข้าก็ไม่ต้องสับสนเช่นนี้แล้ว”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ข้าฆ่าเขากับเจ้าสับสนเป็นคนละเรื่องกัน หรือยังมีความเกี่ยวข้องใดอีก”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถาม
“หากเจ้าฆ่าเขา พอข้าเจอหน้าเจ้าย่อมต้องออกดาบแน่นอน เพราะเขาเป็นพี่ชายข้า ไม่ว่าเขาทำอะไร หลายปีนี้เราสองคนเจอหน้าคุยกันหรือไม่ กินข้าวด้วยกันหรือไม่ เขาก็ยังเป็นพี่ชายข้า นี่เป็นสิ่งที่กำหนดไว้แล้วตั้งแต่ข้าเกิดมา ความผูกพันทางสายเลือดไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ดังนั้นถ้าข้าฆ่าพี่ชายเจ้า สิ่งแรกที่เจ้าจะทำตอนพบข้าคือออกดาบสังหารข้าล้างแค้นหรือ”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถาม
“ถูกต้อง ออกดาบล้างแค้น นี่เป็นเรื่องสอดคล้องกันไม่ใช่หรือ ก็เหมือนมีคนฆ่าล้างตระกูลหลี่ของเจ้า หลายปีมานี้เจ้าก็กำลังหาโอกาสออกดาบล้างแค้นไม่ใช่หรือ”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“พอเป็นเช่นนี้ข้ากลับดีใจนักที่ไม่ได้ฆ่าพี่ชายเจ้า”
หลี่จวิ้นชางกล่าวเหมือนคิดอะไรอยู่
“เพราะตามเขามาเหมืองแร่แล้วได้เจอข้า?”
มุมปากเถ้าแก่เนี้ยยกยิ้ม
“นี่เป็นด้านหนึ่ง! ที่สำคัญคือระหว่างทางข้าได้พบคู่แค้นในตอนนั้น”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“เขาตายแล้วเป็นแน่!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ไม่ เขาหนีไป!”
หลี่จวิ้นชางส่ายหน้ากล่าวอย่างหงุดหงิดเล็กน้อย
“เจ้าไม่ฆ่าพี่ชายข้า ยังเอาเรื่องเห็นแก่มิตรภาพเก่ามาบังหน้าได้ แต่เจ้าไม่ฆ่าเขา นี่จะอธิบายอย่างไร”
เถ้าแก่เนี้ยย้อนถาม
“ตอนนี้คนผู้นั้นเป็นพ่อครัว ทำเนื้อย่างรสชาติไม่เลวทีเดียว! แต่ตระกูลหลี่ในตอนนั้นเทียบกับจวนชิงก็ไม่ด้อยไปกว่ากัน อาศัยเขาคนเดียวฆ่าล้างตระกูลข้าไม่ได้หรอก”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
“เจ้าเลยอยากเอาชนะเขาแล้วแงะปากให้เขาพูดอะไรสักหน่อย แต่ไม่นึกว่าเขาจะหลุดมือหนีไป?”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
หลี่จวิ้นชางพยักหน้าอย่างเก้อกระดากเล็กน้อย
อย่างไรนี่ก็เป็นเรื่องขายหน้านัก
หากเถ้าแก่เนี้ยฟังจนจบเงียบๆ แล้วไม่วิจารณ์อะไรยังพอว่า แต่เขารู้ว่าด้วยนิสัยของนางย่อมต้องหัวเราะลั่นแน่นอน
ดังคาด ขณะที่คางเขาเพิ่งเคลื่อนลงล่างเล็กน้อย เสียงหัวเราะชนิดคนหูหนวกยังได้ยินของเถ้าแก่เนี้ยก็ลั่นทั่วทั้งห้องครัว
“นี่…โทษข้าไม่ได้!”
หลี่จวิ้นชางคิดจะอธิบาย
แต่เขาไม่มีความมั่นใจใด ดังนั้นพอประโยคนี้ออกจากปากก็จมหายไปในเสียงหัวเราะของเถ้าแก่เนี้ย
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
หัวเราะครืนใหญ่เมื่อครู่ทำให้นางกระหายเล็กน้อย หยิบกาสุรามาดื่มสุราที่เหลือจนหมดแล้วลุกขึ้นยืน
“ไปดูโถงใหญ่กับข้าหน่อยหรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
“เจ้าไม่สนใจว่าในนั้นเกิดอะไรขึ้นไม่ใช่หรือ”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถาม
“เจ้าบอกว่าคนต้องการความสดใหม่ไม่ใช่หรือ ตอนนี้ข้ารู้สึกว่าการดื่มสุราคุยเล่นกับเจ้าไม่สดใหม่แล้ว ย่อมต้องหาความบันเทิงใหม่สักหน่อย!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
พูดจบก็หมุนกายเดินตรงไปโถงใหญ่โดยไม่หันมามอง
หลี่จวิ้นชางยืนลำบากใจอยู่ที่เดิม แต่เห็นเงาหลังเถ้าแก่เนี้ยแล้วยังคงตามไป เพียงแต่เพิ่งก้าวข้ามธรณีประตูครัวก็หันกลับมาหยิบดาบที่เขาวางไว้บนแท่นเตา
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาลืม ‘คืบศอกขอบฟ้า’ ของตน
ผู้คนล้วนบอกว่าบุรุษจิตใจหละหลวม ลืมโน่นนี่ได้ง่าย ไม่ละเอียดรอบคอบเท่าสตรี แต่ที่จริงเป็นเพราะจิตใจของบุรุษจดจ่อเกินไป ในชั่วเวลาหนึ่งจิตใจของพวกเขาจะอยู่กับคนหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งเท่านั้น
เมื่อความสนใจของหลี่จวิ้นชางอยู่ที่เถ้าแก่เนี้ยทั้งหมด เขาก็ลืมดาบของตน หากเขาคิดถึงแต่ดาบในมือ เช่นนั้นเขาคงจำไม่ได้กระทั่งหน้าตาของเถ้าแก่เนี้ย
แต่ตอนเขาถือดาบในมือ ในอกยังซ่อนภาพเหมือนของเถ้าแก่เนี้ยไว้ นอกจากจะไม่ทำให้เขากลายเป็นมือสังหารที่โดดเด่นแล้ว ยังไม่อาจเป็นคนรักที่เอาใจใส่ใกล้ชิดอีกด้วย
ความจริงเถ้าแก่เนี้ยไม่ได้สนใจว่าโถงใหญ่เกิดอะไรขึ้นแม้แต่น้อย
เบี้ยหวัด กรมสอบสวนกลาง หรือชาวทุ่งหญ้า เจิ้นเป่ยอ๋องอะไรนั่นไม่เกี่ยวกับนางสักนิด นางแค่ใช้ชีวิตของนางอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเท่านั้น
เมื่อคนเราใช้ชีวิตเงียบสงบจนชินก็จะเข้าสู่โลกอีกใบภายในจิตใจของตน เรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในโลกความเป็นจริงก็ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง แต่ถ้ามีคนคิดว่านี่เป็นด้านอ่อนแอของนาง เช่นนั้นก็ผิดมหันต์แล้ว
บางคนไม่สนใจเพราะเกรงกลัว แต่บางคนไม่สนเพราะไม่หวาดกลัวสิ่งใด เถ้าแก่เนี้ยแค่ได้ยินเสียงที่ทำให้นางรำคาญจึงข่มกลั้นนิสัยของตนไม่ไหว ต้องมาดูในโถงใหญ่สักหน่อย
………………………………………..
…………….