ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 495 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-2
บทที่ 495 เลือดย้อมดาบกระบี่ในพายุทราย-2
…………….
จิ้นเผิงเงยหน้ามองลูกน้องจิ้งเหยาที่นัยน์ตาเผยแววชั่วร้ายเหล่านั้นพลางหวดฝ่ามือหนึ่ง
พลังฝ่ามือรุนแรง คนเหล่านั้นหลบไม่ทัน ถูกโจมตีทยอยล้มไปด้านหลัง
กระแทกบันไดขึ้นชั้นสองในโถงใหญ่พังเละกว่าครึ่ง
เถ้าแก่เนี้ยกับหลี่จวิ้นชางที่นั่งอยู่ในโถงด้านหลังย่อมได้ยินความเคลื่อนไหว
นางให้เถ้าแก่อ้วนยกสุรามาอีกหลายกา
ตอนร่างคนเหล่านั้นกระแทกบันไดเละเทะ นางกำลังรินสุราให้ตัวเองกับหลี่จวิ้นชาง
หลี่จวิ้นชางเห็นมือนางสั่นเล็กน้อย แต่พริบตาเดียวก็กลับมาปกติ
“ไม่ต้องไปดูข้างหน้าจริงหรือ”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถาม
“ไม่ไป!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวเด็ดขาด
“หากพวกเขารื้อร้านเจ้าแล้ว ถึงชดใช้เงินก็ได้ไม่คุ้มเสียไม่ใช่หรือ”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถาม
“รื้อร้านสิดี ข้าฉวยโอกาสนี้ช้อนเงินก้อนโตแล้วออกจากที่นี่ไปใช้ชีวิตอิสระทั่วหล้าได้ด้วย”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
นางยกจอกสุราชนจอกตรงหน้าหลี่จวิ้นชางเบาๆ และเงยหน้าดื่มหมด จากนั้นมองไปยังโถงใหญ่ด้านนอกแวบหนึ่งด้วยสีหน้าสับสน
ร้านนี้เปิดมานานเท่าไร เถ้าแก่เนี้ยก็อยู่ที่นี่มานานเท่านั้น หากไม่อาลัยอาวรณ์เลยสักนิดคงเป็นไปไม่ได้…คนหาใช่ต้นไม้ใบหญ้า ผู้ใดจะไร้ความรู้สึก หนำซ้ำการจากบ้านเก่าเป็นเรื่องยาก…คนมากมายไม่ยอมจากบ้านแม้เพียงครึ่งก้าวตลอดชีวิต
พูดให้ถูกบ้านของเถ้าแก่เนี้ยไม่อยู่ที่นี่
บ้านนางอยู่ไกลออกไปหลายร้อยลี้ในหัวเมืองรัฐหงแห่งอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
ทว่านางไม่รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งในบ้านหลังนั้นแต่อย่างใด แค่แปะป้ายตำแหน่งไว้เท่านั้น แต่ร้านนี้หลอมรวมกับแรงกายแรงใจทั้งหมดของเถ้าแก่เนี้ย หลี่จวิ้นชางรู้ หากเถ้าแก่เนี้ยคิดจะละทิ้งคงไม่ง่ายอย่างปากว่าแน่นอน
………………………
คนในโถงใหญ่เหล่านั้นทำขั้นบันไดพังแล้วพลิกตัวกลับมาวางท่าใหม่ทันที ด้านหลังเสื้อหลายคนมีเลือดสดซึมออกมาแล้ว แต่สีหน้ายังคงเคร่งขรึม ไม่ร้องครวญครางแม้แต่น้อย
‘ไม่เลว…สมกับเป็นชายชาวทุ่งหญ้าจริงๆ’
จิ้นเผิงคิดในใจ
แม้การลอบโจมตีก่อนหน้านี้ทำเขาหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ทั้งสองฝ่ายต่างมีจุดยืนของตัวเอง เขาเป็นตัวแทนกรมสอบสวนกลาง จิ้งเหยากับคนอื่นๆ ก็แสวงหาผลประโยชน์แก่ราชสำนักทุ่งหญ้าของพวกเขา หากเปลี่ยนมุมมอง จิ้นเผิงและจิ้งเหยาล้วนเป็นวีรบุรุษในจุดยืนของตน
แต่ชื่นชมก็ส่วนชื่นชม แม้จิ้นเผิงรู้สึกเคารพชาวทุ่งหญ้าเหล่านี้อยู่บ้าง แต่เขากลับไม่ผ่อนเบาให้สถานการณ์ตรงหน้าเลยสักนิด
เขาเหลือบมองชั้นบนที่บันไดแตกหัก อยากให้เยว่ตี๋ลงมาช่วยสู้เล็กน้อย แต่พอนึกถึงตอนเจอกับเยว่ตี๋ครั้งแรกในเมืองหยางเหวิน เขานอนลุกไม่ขึ้นอยู่กับพื้นเพราะถูกพิษ สุดท้ายยังเป็นวิหคทมิฬสหายของเขา รวมถึงเยว่ตี๋ หลิวรุ่ยอิ่งและคนอื่นๆ ช่วยไว้
หากไม่ใช่เพราะผู้จุดตะเกียงเหมันต์ปรากฏตัวในยามสุดท้าย จนถึงตอนนี้พิษบนตัวเขาคงยังไม่หายสนิท
หากตอนนี้เรียกเยว่ตี๋มาช่วยอีก ศักดิ์ศรีของเขาจะไม่ดิ่งลงเหวหรอกหรือ การหลบอยู่หลังสตรีไม่ใช่นิสัยของเขา…หนำซ้ำความขัดแย้งนี้เขาก็เป็นคนเริ่มก่อน ใครผูกกระดิ่งคนนั้นแก้ เขาต้องเป็นคนจัดการเอง
ชั่วพริบตาลูกน้องของจิ้งเหยาเหล่านั้นบุกเข้ามาอีกครั้ง
“พวกเจ้าถอยไปก่อนเถอะ!”
จิ้นเผิงกล่าว
สะบัดแขนเสื้อมือซ้าย พลังปราณไหลหลั่ง
คล้ายใช้แส้ล่องหนสกัดการโจมตีของพวกเขา
จิ้งเหยาสังเกตเห็นความผิดปกติ
จิ้นเผิงถึงขั้นลงมือหนักกับลูกน้องของตน พวกเขารีบเคลื่อนตัวตั้งดาบป้องกันทันที
จิ้งเหยากล่าว
“รังแกคนอ่อนแอนับเป็นหลักการใด? หรือนี่คือคุณธรรมบู๊ที่คนอาณาจักรห้าอ๋องอย่างพวกเจ้าว่า”
จิ้งเหยาถามเสียงดุดัน
“แล้วตอนทหารหมาป่าของพวกเจ้าปล้นชายแดนอาณาจักรอ๋องข้า มีเมตตากับชาวบ้านมือเปล่าเหล่านั้นด้วยหรือ”
จิ้นเผิงย้อนถาม
ชั่วขณะหนึ่ง ทั้งสองจมสู่ความเงียบอีกครั้ง
………………………
จิ้นเผิงเคยเห็นหมู่บ้านต่างๆ หลังถูกทหารหมาป่าปล้นกับตา
ท้องฟ้าปกคลุมด้วยชั้นเมฆที่ดำมืดขึ้นทุกที จากด้านในสุดยังปรากฏสีแดงฉานเป็นจุดๆ เดาว่าเกิดจากลำแสงที่มีจำกัดสะท้อนสีเลือดบนพื้นดิน เหนือศีรษะยังมีไอหมอกกดลงต่ำพรั่งพรูออกมาจากในบ่อและหลังประตูทุกบานที่เปิดกว้าง เหมือนอสูรไร้นามใหญ่ยักษ์โผล่หัวออกมา
ไม่นานหมอกขาวเหล่านี้ก็หลอมรวมเป็นหนึ่งกับชั้นเมฆดำแดง ขยายร่างประหลาดของพวกมัน แยกเขี้ยวกางเล็บบุกโจมตีมนุษย์ที่ยังยืนหรือส่งเสียงร้องได้อยู่
หากลมหอบหนึ่งพัดผ่าน เมฆดำแดงเหล่านั้นแทบไม่เกิดการเปลี่ยนแปลงใดเลย แต่อสูรที่ก่อร่างจากหมอกขาวเหล่านั้นกลับดุร้ายขึ้นกว่าเดิม
มองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ไม่นึกว่าที่นั่นก็เป็นเช่นนี้ มลพิษดำมืดผืนใหญ่ควบรวมเป็นกลุ่มก้อน นั่นคือฝุ่นควันที่ตลบจากกีบเหล็กของทหารหมาป่าแห่งราชสำนักทุ่งหญ้า
เดินเลียบตามถนนล้วนมีแต่ความอลหม่านวุ่นวาย…
ฉากเหล่านี้ทับซ้อนกันเป็นชั้น เหมือนต้นไม้เหี่ยวเฉาที่ถูกพายุโหมทำลาย ตรงกลางยังปะปนด้วยฉากกำบังแตกร้าวยาวลึกหลายต่อหลายชั้น บนหลังคาไม่ว่าแผ่นกระเบื้องหรือหญ้าคาล้วนมีเปลวไฟพวยพุ่ง เห็นใบหน้าอาบเลือดหลายใบกำลังร้องครวญครางท่ามกลางเปลวไฟเหล่านี้ได้รางๆ…พวกเขาอ้าปากกว้าง สีหน้าเจ็บปวด แต่กลับส่งเสียงใดไม่ออก จากนั้นใบหน้าเหล่านี้ก็หายไปจากเปลวไฟ กลายเป็นสีดำสลัวลอยพุ่งขึ้นท้องฟ้าพร้อมกับหมอกขาว
แต่ก็มีใบหน้าและเปลวไฟบางส่วนที่ไม่ยอมรับสิ่งนี้ พวกเขาคิดจะไล่ตามฝีเท้าทหารหมาป่าโดยอาศัยแรงลมมุ่งไปทางตะวันตกเฉียงเหนือเพื่อตอบโต้และดิ้นรนเป็นครั้งสุดท้าย แต่เมฆดำแดงเหนือศีรษะเหล่านั้นพุ่งปะทะพวกเขาด้วยพลังร้ายกาจรุนแรง เกิดเป็นเสียงร้องคำรามหดหู่คล้ายกดหัวลงในถังเก็บน้ำ
เสียงคำรามเหล่านี้ไม่ได้ดังเข้าหู แต่มันตีอัดเข้าหน้าอกจิ้นเผิงและค่อยๆ รวมเป็นจังหวะเดียวกับชีพจรของเขา เสียงดังต่อเนื่องจนทำให้เขาเริ่มหายใจไม่ออกเลยจำเป็นต้องก้มหน้าลง ข้างเท้าล้วนเป็นศพหลายร่างที่บวมอืดแล้ว อยู่ในสภาพเดียวกัน ไม่มีอะไรแปลกใหม่ แผลบนร่างของคนที่เพิ่งตายมีสีสันหลากหลาย ยังแต้มด้วยเม็ดเลือดสด เทียบกับร่างที่ตายมานานจนเริ่มเน่าเหล่านั้นกลับจะดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก
ฉากเช่นนี้แม้เป็นจิ้นเผิงก็ไม่กล้ามองมาก…เขาจึงได้แต่เบนสายตาไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ที่นั่นเมฆน้อย อากาศก็ไม่เข้มข้นหนาหนัก เขานึกภาพออกว่าถ้าเดินตรงไปเรื่อยๆ ลมจะพากลิ่นหญ้าเขียวชุ่มฉ่ำมาด้วย ทว่าความสงบสุขจากแดนไกลไม่อาจบดบังสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายในยามนี้ได้…
แม้ที่นี่ไม่ใช่บ้านเกิดของจิ้นเผิง ผู้ตายก็หาใช่เพื่อนสนิทหรือคนรู้จัก แต่เขายังคงกัดฟันแน่นเสียงดังกรอด ข้อนิ้วมือขวาซีดขาวเล็กน้อยเพราะออกแรงมากเกินไป เมื่อเขาปรับตัวกับฉากนี้ได้แล้ว มือและสองแก้มของเขาชาเพราะออกแรงมากเกิน
หลังจากวันนั้นจิ้นเผิงไม่ได้กินข้าวเป็นมื้อจริงจังติดกันสองสามวัน ใช่ว่าเขาไม่หิวหรือฉากนั้นทำให้เขาจำฝังใจจนเป็นทุกข์ แต่เพราะมือและปากเขาไม่มีแรงจับตะเกียบหรือเคี้ยวข้าวแล้ว สองวันนี้เลยได้แต่นอนอยู่บนเตียง ตอนหิวจนทนไม่ไหวจริงๆ ก็ค่อยๆ กินโจ๊กอ่อนชามหนึ่ง
“ระหว่างพวกเรา ถึงไม่มีเรื่องเบี้ยหวัดครั้งนี้ก็ยังเป็นสหายกันไม่ได้!”
จิ้นเผิงกล่าว
มาถึงตอนนี้ เขาตัดสินใจได้อย่างแท้จริงแล้ว!
………………………
จิ้งเหยาเคยติดตามการปล้นเช่นนี้หลายครั้ง
ภาพอกสั่นขวัญหายเช่นนี้ทำให้เขาฝังใจอยู่นาน
ครั้งแรกเป็นฤดูหนาว
ลมเหนือหวีดหวิว หิมะทยอยตกหนัก จิ้งเหยาออกแรงเฮือกสุดท้ายล้มลงบนพื้นหิมะในที่สุด
เขาลืมสภาพการตายอันน่าเวทนาของบิดาไม่ลง แม้บิดาตายอย่างสงบ ไม่ละอายต่อทุ่งหญ้า ดูเหมือนชาวทุ่งหญ้าทุกรุ่นจะรักษาเกียรติสุดท้ายไว้ในเลือดเนื้อที่ซ่านเซ็น
นี่เป็นกฎของทุ่งหญ้าที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมานับพันปี ทั้งยังสำเร็จเป็นความไม่ยอมอ่อนข้อและความแข็งแกร่งไม่เคยเปลี่ยนของชาวทุ่งหญ้ามานับพันปี!
แม้ปณิธานตีด้วยเหล็ก แต่ร่างกายยังคงเกิดจากเนื้อหนัง…จิ้งเหยาประสบความพ่ายแพ้จากการปล้นเมื่อหลายวันก่อน สุดท้ายมาหมดเรี่ยวแรงก่อนเลือดไหลหมดตัวระหว่างหลบหนี
ตรงนี้อยู่ห่างจากชายแดนแล้ว เขาออกแรงทั้งหมดคลานไปถึงหน้าประตูบ้านหลังหนึ่ง ที่นี่มีแม่นางคนหนึ่งอาศัยอยู่ตามลำพัง และแม่นางน้อยมักชอบวาดฝัน โดยเฉพาะคนนี้ นางมีความฝันเกี่ยวกับวีรบุรุษมาตั้งแต่เด็ก
นางไม่เคยเจอใครบาดเจ็บหนักเท่านี้มาก่อน และไม่เคยคาดคิดว่าจะมีคนที่ยังรักษาแววตาแน่วแน่ไม่ยอมแพ้ตอนเลือดไหลใกล้หมดตัวเช่นนี้! ดังนั้นนางจึงยกน้ำแกงร้อนชามหนึ่งมาให้จิ้งเหยา…
………………………
ยังไม่รอจิ้งเหยาทบทวนอดีตครบถ้วนสมบูรณ์ จิ้นเผิงกลับลงมือกะทันหัน พลังกระบี่นี้ทั้งรุนแรงและแม่นยำ
จิ้งเหยามองกระบี่ของจิ้นเผิงแล้วอดหัวเราะเยาะไม่ได้
นึกถึงก่อนหน้านี้เขายังตำหนิลูกน้องตนด้วยคำพูดเคร่งครัดมากเหตุผลว่าลงมือลอบโจมตีไม่มีคุณธรรมบู๊ คำนี้กล่าวยังไม่ถึงเวลาหนึ่งถ้วยชาตัวเองก็ทำเหมือนกันไม่ใช่หรือ คนอาณาจักรห้าอ๋องเป็นเดรัจฉานในคราบมนุษย์โดยแท้…ไม่มีความจริงใจเลยสักนิด!
แม้ทหารหมาป่าแห่งทุ่งหญ้าของเขาปล้นฆ่าโหดร้ายไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็ยังจริงใจกว่า ไม่มีเสบียงและเพาะปลูกไม่เป็นก็ไปปล้น ไม่มีสตรีแต่ยังอยากหาความสุขสำราญก็ไปแย่ง ไม่ได้พูดจาสวยหรูเป็นกระบุง แต่ตอนลงมือจริงกลายเป็นคำพูดเหลวไหลเหมือนจิ้นเผิง
กระบี่อ่อนไม่ว่าตัวกระบี่หรือปลายกระบี่ล้วนมีเนื้อที่น้อยกว่าดาบโค้งของจิ้งเหยามาก
แม้กำลังของจิ้งเหยายังห่างไกลจากจิ้นเผิง แต่ตอนดาบโค้งปะทะกับกระบี่อ่อนกลางอากาศก็ยังพอสูสี
กระบี่อ่อนเหนือกว่าตรงคำว่าอ่อน คว้าชัยด้วยความปราดเปรียว
จิ้นเผิงเห็นกระบี่นี้ไร้ผลจึงรีบเปลี่ยนกระบวนท่า แทงเข้าหว่างคิ้ว หน้าอกและสีข้างของจิ้งเหยาติดกันสามกระบี่!
สามกระบี่นี้ปิดตายการพลิกแพลงและทางหนีของจิ้งเหยาไว้ทั้งหมด ไม่มีทางอื่นนอกจากฝืนสู้
แต่จิ้งเหยาก็เป็นคนผ่านศึกนับร้อย ไม่มีทางนั่งรอความตายแน่นอน
เพียงเห็นเขาใช้ตะขอปลายดาบโค้งเกี่ยวกาสุราสองกาโยนใส่จิ้นเผิงแล้วกระโดดลอยขึ้นอย่างสง่างามราวแมลงปอบินระน้ำ ผีเสื้อทะลวงดอกไม้
ร่างอันแข็งแกร่งก็หลบออกมาจากสามกระบี่ของจิ้นเผิง แล้วร่อนตัวลงฝั่งขวามือ แต่ด้วยออกแรงมากเกินไปจึงเหยียบโต๊ะหักตัวหนึ่ง
จิ้งเหยาคิดจะด่าจิ้นเผิงว่าออกกระบี่เจ้าเล่ห์นัก!
แต่พริบตานั้นเห็นจิ้นเผิงถือกระบี่พุ่งแทงตรงเข้ามาอีก
จิ้งเหยาคิดจะออกดาบป้องกัน เพียงเห็นจิ้นเผิงหมุนตัวกลางอากาศอย่างผ่อนคลายให้กระบี่อ่อนพันรอบเอวตนครึ่งหนึ่งเหมือนร้อยด้ายสนเข็ม จากนั้นยืมแรงหมุน กระบี่อ่อนดีดกลับพร้อมพลังปราณหลบเลี่ยงคมดาบของจิ้งเหยา
พริบตานั้นกระบี่อ่อนเหยียดตรงเหมือนสายรุ้ง
แสงกระบี่ฉายวาบ ได้ยินเพียงเสียงโลหะกระทบ ตัดดาบโค้งในมือจิ้งเหยาเป็นช่องโหว่!
จิ้งเหยามองดาบโค้งที่เสียหายของตน ในใจสับสนจนพูดไม่ออก…
ดาบเล่มนี้อยู่กับเขามาไม่รู้กี่ปี อย่าว่าแต่ไม่เคยลิ้มรสความพ่ายแพ้ อย่างน้อยก็กลับมาครบสมบูรณ์
แต่เดินทางมาอาณาจักรห้าอ๋องครั้งนี้ ทีแรกเป็นหลิวรุ่ยอิ่ง ต่อมาเป็นจิ้นเผิง ล้วนทำให้ดาบล้ำค่าของเขาเสียหาย…
จิ้งเหยาทั้งโกรธทั้งหงุดหงิด ฟันใส่จิ้นเผิงต่อเนื่องยี่สิบสี่ดาบด้วยความโมโห
ยี่สิบสี่ดาบนี้ดูเหมือนวาดกลางอากาศสะเปะสะปะ ที่จริงล้วนเป็นไปตามวิถีที่กำหนดไว้แล้ว
บ้างก็ฟันเฉียง บ้างก็ฟันตรง บ้างก็ตัดสลับกัน
ทุกดาบล้วนเล็งจุดสำคัญทั่วร่างจิ้นเผิงไว้หมดแล้ว
…………………………………………
…………….