ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 492 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-9
บทที่ 492 ร่ำสุราแกว่งมีดเป็นของคู่กัน-9
…………….
ถึงแม้จิ้นเผิงจะไม่ได้ระวังตัวมาก แต่ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาอย่างยาวนานทำให้เขามีสัญชาตญาณพิเศษ สามารถหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ครั้งนี้ความสามารถนั้นกลับไม่ช่วยอะไร ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดเช่นนี้
ความรู้สึกชาเริ่มแผ่ซ่านไปถึงสมอง ทำให้แม้แต่ความคิดฟุ้งซ่านก็ยังช้าลงมาก ในขณะที่เขากำลังจะหมดสติ เหมือนเขาจะได้ยินเสียงฝีเท้า จิ้นเผิงไม่เชื่อเรื่องผีสาง แต่ในเวลานี้ ในสถานการณ์นี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขาว่าจะเชื่อหรือไม่อีกต่อไป มันเกิดขึ้นเองจากในร่างกาย และค่อยๆ กลายเป็นความรู้สึกที่ชัดเจน
ในที่สุดเขาก็หมดสติ ไม่ได้ยินเสียงใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงลมหรือเสียงฝีเท้าที่เหมือนผีมาเอาชีวิต
เมื่อจิ้นเผิงฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เขายังไม่เชื่อว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่ เขาเคยได้ยินเรื่องการกลับฟื้นคืนชีพ และเคยเห็นด้วยตาตัวเอง การฟื้นคืนสติกะทันหันก่อนตายมีไม่มาก เหมือนกับความเจริญรุ่งเรืองชั่วคราวของสิ่งเก่าก่อนที่จะพังทลายลง เขาลืมตาขึ้น มองไปรอบๆ เห็นแต่สีสันหลากหลายเต็มไปหมด ข้างหูได้ยินเสียงคล้ายเสียงไม้ที่แห้งไม่พอถูกโยนลงไปในกองไฟ
ก่อนหน้านี้ จิ้นเผิงไม่เคยมาเยือนราชสำนักทุ่งหญ้า จึงไม่รู้เรื่องราวของที่นี่แม้แต่น้อย ดังนั้นเขาจึงไม่คิดว่าจะถูกคนในทุ่งหญ้าช่วยชีวิตไว้ และกำลังนอนอยู่บนเตียงไม้ในกระโจมของคนผู้นั้น
ขณะที่เขากำลังหวาดกลัวและตื่นตระหนก จู่ๆ ก็มีหญิงชราปรากฎตัวขึ้นตรงหน้า นางถือชามบางอย่างที่ยังมีไอร้อนอยู่ หญิงชราคนนี้แต่งกายแบบชาวทุ่งหญ้าเต็มตัว ไม่พูดภาษาของอาณาจักรห้าอ๋องแม้แต่น้อย นางพึมพำกับจิ้นเผิงเป็นชุด ทำให้จิ้นเผิงปวดหัวจนแทบจะอาเจียน…
หลังจากเสียงอาเจียนแห้งๆ ดังขึ้น หญิงชราก็ตกใจ ในความคิดของจิ้นเผิงชาวทุ่งหญ้าล้วนกระหายเลือด เห็นชีวิตคนเป็นเรื่องตลก แม้แต่เด็กเล็กก็ไม่เว้น แต่สีหน้ากังวลของหญิงชรา ทำให้เขาวางใจขึ้นบ้าง กระบี่ของเขาหายไปแล้ว ไม่มีอะไรให้พึ่งพาหรือรู้สึกปลอดภัยได้
หญิงชราดูแข็งแรง แต่รอยย่นบนใบหน้าและร่างกายที่โค้งงอกลับไม่สามารถปกปิดความชราที่กาลเวลานำมาให้ได้ มีเพียงดวงตาที่ส่องประกาย ปราศจากความเศร้าหมองใดๆ
จิ้นเผิงมองเห็นความห่วงใยและความเมตตาจากในนั้น
ดวงตาของหญิงชราที่แก่เฒ่าแล้วกลับสดใสเหมือนกับคนหนุ่มสาว จิ้นเผิงรู้สึกตกใจไม่น้อยไปกว่าความเจ็บปวดที่เขาต้องเผชิญอยู่ทุกขณะ
ทั้งสองมองหน้ากันเงียบๆ อยู่นาน มีเพียงชามในมือของหญิงชรายังคงมีไอร้อนลอยฟุ้งอยู่ จนกระทั่งไอร้อนนั้นหมดลง นางจึงนำชามมาจ่อที่ริมฝีปาก สื่อว่าให้จิ้นเผิงดื่มลงไป
ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดหรือเป็นชนเผ่าไหน การแสดงท่าทางก็ล้วนเหมือนกัน จิ้นเผิงจึงเข้าใจความหมายได้ดี เขาไม่รู้ว่าในชามนั้นมีอะไร โดยเฉพาะคนที่โดนพิษอย่างเขา ยิ่งไม่กล้ากินหรือดื่มของที่ไม่รู้จัก แต่เมื่อเห็นว่าจิ้นเผิงไม่ปฏิเสธ หญิงชราก็วางชามลงข้างๆ และช่วยประคองศีรษะเขาขึ้นอย่างอ่อนโยน แล้วรองด้วยของนุ่มๆ หลายชิ้น เช่นนี้ร่างกายส่วนบนของเขาก็สามารถตั้งขึ้นได้บ้าง
หญิงชรายกชามขึ้นมาใหม่อีกครั้ง และจ่อไปที่ริมฝีปากของจิ้นเผิงอย่างไม่รีรอ ปากชามค่อยๆ เอียงลง ของเหลวอุ่นร้อนในชามสัมผัสกับริมฝีปากของเขา กลิ่นนมเข้มข้นทะลักเข้าจมูก จิ้นเผิงพยายามอ้าปากและดื่มทีละน้อย แต่ยังคงมีของเหลวสีขาวสองสายไหลออกมาจากมุมปาก และหยดลงบนสาบเสื้อผ้าตรงหน้าอก
ดูเหมือนหญิงชราจะมีปัญหาที่หัวไหล่ ทำให้ยกแขนสูงไม่ได้มาก และผิวตั้งแต่ข้อมือถึงปลายนิ้วก็มีสีดำคล้ำ แตกต่างจากคนทั่วไป
……………….
การเคลื่อนไหวของมือจิ้งเหยาที่เลิกเสื้อขึ้นอยู่ใต้โต๊ะ แน่นอนว่าจิ้นเผิงมองเห็นแล้ว รวมทั้งมือของเขาด้วย
มืออาจจะไม่ใช่ส่วนที่แข็งที่สุดในร่างกาย แต่ก็เป็นอวัยวะที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาอวัยวะทั้งหมดบนร่างกาย เมื่อมีอันตรายใดๆ มือจะเป็นส่วนแรกที่ยื่นไปสัมผัส ต่อให้เป็นงานหนัก มือก็จะแบกรับไว้ หรืองานสกปรกก็เป็นมือที่ทำความสะอาดมัน ดังนั้นเมื่อเห็นมือของคนคนหนึ่ง ก็สามารถเข้าใจประสบการณ์และอดีตส่วนใหญ่ของคนนั้นได้
มือของจิ้งเหยา นอกจากสีผิวที่ไม่คล้ำเหมือนหญิงชราชาวทุ่งหญ้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นข้อมือ ข้อต่อของฝ่ามือ หรือแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของปลายนิ้วก็ล้วนเหมือนกันทั้งสิ้น
ตอนที่หญิงชราถือชาม นางมักจะใช้นิ้วก้อยประคองไว้ให้มั่น ตอนที่จิ้งเหยาถือจอกสุราก็เช่นกัน นิสัยเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากการเลียนแบบหรือฝึกฝนเท่านั้น แต่เกิดจากการซึมซับตั้งแต่เด็กและทำมานานจนชินจึงจะมีได้ คำตอบชัดเจนอยู่ตรงหน้าจิ้นเผิง แต่เขากลับสับสนอย่างยิ่ง
หญิงชราชาวทุ่งหญ้าเป็นผู้ช่วยชีวิตจิ้นเผิง สำหรับการตอบแทนบุญคุณ จิ้นเผิงรู้ว่าควรทำอย่างไร แต่เขากลับไม่มีประสบการณ์มาก่อน เพราะในโลกนี้ คนที่ได้รับประโยชน์จากเขามีมาก แต่คนที่ให้ประโยชน์กับเขามีน้อยมาก
เมื่อไม่เคยทำสิ่งใดก็ย่อมไม่มีประสบการณ์ ในเมื่อไม่มีประสบการณ์ต่อให้รู้ว่าต้องทำอย่างไร ก็เปล่าประโยชน์ แม้จะถึงเวลาที่ต้องทำจริงๆ เผชิญหน้าอย่างกล้าหาญก็ยังไม่มั่นใจ ทั้งยังตัวสั่น เพราะเกรงว่าตนจะทำได้ไม่ดี
แต่ท้ายที่สุดแล้ว การตอบแทนบุญคุณก็เป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก น้ำใจที่ได้รับ แม้เพียงเล็กน้อยก็ต้องตอบแทนอย่างท่วมท้น สำหรับบุญคุณชีวิต ก็แค่ทิ้งชีวิตที่ไม่ใช่ของตนอีกครั้งก็พอแล้ว ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
บุญคุณและความแค้นมักจะมาคู่กัน เมื่อมีผู้มีพระคุณ ย่อมมีศัตรู
จิ้นเผิงถูกศัตรูที่ไหนไม่รู้และไม่รู้ว่าเป็นใครวางยา หลังจากผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเขาไว้ ความคิดแรกของเขาก็คือต้องแก้แค้น
แม้ว่า ‘บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระ’ จะเป็นรากฐานสำคัญในการส่งเสริมตนเองของชาวยุทธ์ แต่ลองถามดูว่ามีชาวยุทธ์คนไหนบ้างที่ไม่เลือดร้อน? ดูเหมือนว่าเบื้องหลังคำง่ายๆ อย่าง ‘บุญคุณความแค้น’ นี้จะมีความหมายและเหตุผลที่ซับซ้อนซ่อนอยู่
บุณคุณความแค้นต้อง ‘ทดแทนและชำระ’ คำว่า ‘ทดแทนและชำระ’ เปรียบเสมือนคำสาปที่มีพลังพิเศษ สามารถผูกมัดผู้คนเข้าด้วยกันอย่างแน่นหนา ยิ่งกว่านั้นความแค้นมักลืมยากและต้องอาศัยความมุ่งมั่นมากกว่าบุญคุณเสียอีก
“วางมือไว้ใต้โต๊ะจะดื่มสุราได้อย่างไร”
จิ้นเผิงพูด
“บนโต๊ะของเจ้าก็ไม่มีสุรา แล้วเจ้าจะสนใจทำไมว่าข้าดื่มสุราอย่างไร?”
จิ้งเหยาย้อนถาม
จิ้นเผิงกวาดสายตามองโต๊ะตรงหน้า นอกจากฝุ่นและคราบเล็กน้อยแล้วก็ไม่มีสิ่งใด จึงพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของจิ้งเหยา แต่เขาไม่ใช่คนที่พูดลอยๆ เมื่อเห็นด้วยแล้วก็เริ่มเปลี่ยนสภาพตรงหน้า
เขาลุกขึ้น เดินตรงไปหลังโต๊ะคิดเงินของเถ้าแก่เนี้ย หยิบไหสุราจากตู้ตรงมุมที่อยู่ระดับเดียวกับพื้น
อยู่ที่นี่มาหลายวัน จิ้นเผิงกับเถ้าแก่เนี้ยก็สนิทสนมกันแล้ว และไม่จำเป็นต้องรบกวนเถ้าแก่เนี้ยเรื่องการหยิบสุรา คนเราเมื่อพบกันครั้งแรกมักจะรักษามารยาทอยู่บ้าง ประพฤติตัวดีและทำสิ่งต่างๆ อย่างถูกต้อง อย่างน้อยก็ไม่หัวเราะขณะทานอาหาร หรือยกเท้าขึ้นเหยียบเก้าอี้หลังดื่มสุราไปสองสามจอก
การกระทำเหล่านี้เกิดขึ้นหลังจากคุ้นเคยกันดีแล้ว และต่างฝ่ายต่างละทิ้งความสุภาพไป จิ้นเผิงเองก็ค่อยๆ กลายเป็นคนไร้กฎเกณฑ์ในร้านของเถ้าแก่เนี้ย
เหตุผลที่เถ้าแก่เนี้ยสามารถทนต่อความอิสระของจิ้นเผิงได้ เพราะเขายังไม่ล่วงเกินขอบเขตของนาง และขอบเขตของนางก็คือเงิน ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรก็ตาม ตราบใดที่สามารถจ่ายไหว ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยและตกลงกันได้
แต่หากเจ้ากระเป๋าแห้ง ก็ได้แต่ช่วยตัวเองเท่านั้น…อย่าหวังว่าเถ้าแก่เนี้ยจะมีใจเมตตายอมผ่อนปรนให้
ความสัมพันธ์ที่ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์เช่นนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างจิ้นเผิงกับเถ้าแก่เนี้ยอาจดูเหมือนเปราะบาง แต่ที่จริงแล้วมั่นคงอย่างยิ่ง ดังนั้นการหยิบเหล้าหนึ่งไหจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร
ทว่าจิ้งเหยามองเห็นชัดเจนว่าสุราในกาของเขา แม้จะบรรจุอยู่ในกา กระเบื้องที่ใช้ทำกาก็ไม่เลวทีเดียว แต่สิ่งสำคัญในการดื่มสุราไม่ใช่ภาชนะ แต่เป็นน้ำสุรา
สุราในกาของจิ้งเหยา เถ้าแก่เนี้ยตักมาจากถังใหญ่ข้างร้าน สีขุ่น รสชาติเปรี้ยว ไม่ต้องเปรียบเทียบก็รู้ว่าคนละระดับกับไหสุราที่จิ้นเผิงหยิบจากตู้
สุราที่ไม่มีคุณภาพ แม้จะบรรจุในภาชนะงดงามเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ จอกแสงจันทร์มองดูแล้วดึงดูดคนก็จริง แต่ก็แค่เข้าตาเท่านั้น…สุราหมักออกมาแล้วรสชาติเป็นอย่างไร ใส่ลงไปก็ยังคงรสชาติเดิม บนโลกนี้นอกจากหินสุราที่วิเศษจากหมู่บ้านของจิ่วซานปั้นแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่สามารถเปลี่ยนรสชาติของสุราได้
จิ้นเผิงอุ้มไหสุรากลับไปยังที่นั่งของตน แล้วตบเปิดผนึกโคลนด้วยมือเดียว กลิ่นหอมของสุราพลันลอยฟุ้งออกมาจากไห เขาหยิบชามดินเผาหยาบที่ใช้ดื่มชาของตนขึ้นมา สาดน้ำชาที่เหลืออยู่เล็กน้อยลงพื้น จากนั้นก็ใช้ชามตักสุราในไหจนเต็ม พร้อมกับมองไปทางจิ้งเหยา
ตอนแรก จิ้งเหยาไม่เข้าใจว่าจิ้นเผิงหมายถึงอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าเขาต้องการให้ตนดื่มสุราด้วยกัน
จิ้งเหยาใช้มือขวาจับดาบ มือซ้ายถือจอก แม้จะไม่ใช่คนถนัดซ้าย แต่หากมือขวาอยู่ใต้โต๊ะตลอดก็จะไม่ทำให้อึดอัดเวลาดื่มสุรา แต่เมื่ออีกฝ่ายยกชามขึ้นมาอย่างจริงใจแล้ว สำหรับชาวทุ่งหญ้าที่ดุดันแล้ว การลังเลอยู่เช่นนี้ก็ดูไม่เข้าท่าเท่าไร…จิ้งเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ยังคงชักมือขวาออกมาจากใต้โต๊ะ ยกกาสุราชูไปทางจิ้นเผิง แล้วดื่มรวดเดียวหมด
จิ้นเผิงดื่มสุราช้ายิ่ง ราวกับในชามนั้นไม่ใช่สุรา แต่เป็นน้ำชาที่ต้องค่อยๆ ลิ้มรสทีละนิด ในขณะที่ดื่มสุราชามนี้ เขาคิดหลายเรื่อง ส่วนใหญ่เกี่ยวกับวิธีที่เขาควรปฏิบัติต่อจิ้งเหยา ลูกชายของผู้มีพระคุณ
เขากับจิ้งเหยาไม่มีความแค้นต่อกัน อีกทั้งหนี้สินของบิดาย่อมตกเป็นหน้าที่ลูก และพระคุณของมารดาก็ต้องตอบแทนโดยลูก ว่ากันตามหลักแล้วเขาควรให้ความเคารพจิ้งเหยาถึงจะถูก แต่จิ้นเผิงเป็นคนของกรมสอบสวน ส่วนจิ้งเหยาเป็นชาวทุ่งหญ้า
หากไม่อยู่ในสถานการณ์เช่นปัจจุบันนี้ ทั้งสองคนอาจจะสามารถนั่งเผชิญหน้ากัน ดื่มสุราพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน กระทั่งอาจเป็นสหายกันได้ด้วยซ้ำ แต่ในสถานการณ์ตอนนี้ คำว่า ‘สหาย’ กลับอยู่ไกลเกินเอื้อม และ ‘ศัตรู’ ก็เป็นคำที่ยังไม่เหมาะนัก สิ่งนี้ทำให้จิ้นเผิงรู้สึกสับสนมาก…เมื่อเขาได้สติกลับมา สุราในชามก็ดื่มจนหมดแล้ว แต่เขายังคงยืดคอตรง มองไปยังเพดานด้วยสายตาแน่วแน่
……………………………………………………………………
…………….