ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 429 รู้ตื่นจากความโลภ-1
บทที่ 429 รู้ตื่นจากความโลภ-1
……….
นายท่านจินออกจากหมู่บ้านนี้พร้อมชิงเสวี่ยชิงและเหวินฉีเหวิน แต่เดินยังไม่ถึงห้าสิบลี้ก็หยุดลงอีกครั้ง
“พักสักหน่อย”
นายท่านจินกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงอึดอัดใจนัก เพิ่งบอกว่าต้องรีบไปเหมืองแร่ ทำไมเดินไม่กี่ก้าวก็หยุดอีกแล้ว
แต่อย่างไรนายท่านจินก็เป็นพี่ชายของนาง นางได้แต่ข่มความสงสัยไว้ในใจและทำตามคำสั่ง
ตอนนี้ใกล้เที่ยงวันแล้ว อีกเดี๋ยวก็เป็นเวลาอาหาร
เสี่ยวเอ้อร์ร้านสุราที่เดิมทีงีบหลับอยู่บนโต๊ะก็ยืดเหยียดร่างกาย มองนอกร้านแวบหนึ่งแล้วเตรียมลุกมาทำงาน
ไม่นึกว่าจะเห็นขบวนม้ายิ่งใหญ่ของนายท่านจินและคนอื่นๆ ทันที
ร้านสุรานี้ไม่ใหญ่นัก ตำแหน่งที่ตั้งก็ไม่ครึกครื้น
เจอคนมาทีเดียวเยอะขนาดนี้ได้ยาก
เสี่ยวเอ้อร์ตาเป็นประกาย หายง่วงจากการเล่นพนันโต้รุ่งเมื่อคืนเป็นปลิดทิ้ง พุ่งตัวไปเตรียมรับใช้ที่หน้าประตูอย่างกระตือรือร้น
ร่างกายที่ยืดตรงเมื่อครู่กลับโค้งลงไปอีกครั้ง
“ท่านลูกค้าเชิญด้านใน! กี่ท่านขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยถาม
นายท่านจินถูกถามจนชะงัก…
บอกตามตรงเขาไม่รู้เลยว่ากลุ่มของตนมีคนอยู่เท่าไร
เขารู้เพียงขาดหลี่จวิ้นชางไปคนหนึ่งจากตอนเริ่มเดินทาง
“ห้องส่วนตัวใหญ่สุด!”
นายท่านจินกล่าว
เสี่ยวเอ้อร์กล่าว
จำต้องบอกว่าสมองเสี่ยวเอ้อร์ว่องไวอย่างแท้จริง
หากเป็นคนอื่นคงเสนอความเห็นเช่นนี้ไม่ได้แน่นอน
พูดออกมาตรงๆ ว่าไม่มีห้องส่วนตัวอาจจะเสียแขกร่ำรวยโต๊ะใหญ่ไปก็ได้
นายท่านจินมองโดยรอบ พบว่าในร้านสุรานี้ไม่มีฉากกั้นสักอัน แล้วก็รู้ความคิดของเสี่ยวเอ้อร์
เขายิ้มบางๆ ไม่ได้แฉโพย จากนั้นหาโต๊ะชิดในสุดเข้าไปนั่งพร้อมชิงเสวี่ยชิงกับเหวินฉีเหวิน
คนอื่นที่เหลือกระจายเป็นกลุ่มอยู่ในโถงใหญ่
“ท่านจะกินข้าวหรือดื่มสุราขอรับ”
เสี่ยวเอ้อร์เอ่ยถาม
“พวกเขากินข้าว ข้าดื่มสุรา”
นายท่านจินกล่าว
เขาไม่ได้ดูรายการอาหาร เพียงให้เสี่ยวเอ้อร์ยกรายการแนะนำในร้านมาทั้งหมด
ปากเสี่ยวเอ้อร์ตอบรับอย่างขันแข็ง แต่ร่างกายกลับไม่เขยื้อน
นายท่านจินไม่เอ่ยคำใด ล้วงแท่งเงินออกจากแขนเสื้อโยนให้เงียบๆ
เสี่ยวเอ้อร์รับแท่งเงินและเก็บด้วยท่วงท่าเร็วปานฟ้าแลบ จากนั้นวิ่งไปโถงด้านหลังอย่างรวดเร็ว
“เสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้…นอกจากทักษะการพูดน่าทึ่งแล้ว ความคิดก็ซับซ้อนด้วย!”
นายท่านจินกล่าวพลางมองเงาหลังของเขาวิ่งเข้าในโถงด้านหลัง
“ท่านพี่หมายความว่าอะไรหรือเจ้าคะ”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
แม้ก่อนหน้านี้นางกับเหวินฉีเหวินกินเสบียงมาไม่น้อย ตอนนี้ยังไม่หิว
พอโถงด้านหลังตั้งกระทะ กลิ่นหอมโชยมาพลันทำให้เขาสองคนเริ่มกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
“ในร้านไม่มีฉากกั้นแท้ๆ เขาดันบอกว่าถ้าพวกเราอยากอยู่เงียบๆ ก็ใช้ฉากกั้นล้อมได้”
นายท่านจินกล่าว
“แต่…เขาโกหกไม่ใช่หรือ”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
“โกหกน่ะใช่ แต่พวกเราก็ต้องแวะพักจริงๆ เช่นนี้สองฝ่ายล้วนไม่เสียหาย ไยจะไม่ยินดีเล่า”
นายท่านจินกล่าว
“จะว่าไป แม้เมื่อครู่เขารับคำแล้วแต่ยังรีรอไม่ยอมไป เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร”
นายท่านจินเอ่ยถาม
ชิงเสวี่ยชิงส่ายหน้าสื่อว่าไม่รู้
เหวินฉีเหวินที่ด้านข้างกลับเอ่ยขึ้นมา
“คงเพราะเราสั่งสุราอาหารเยอะ เสี่ยวเอ้อร์ผู้นี้ก็ไม่รู้ที่มาที่ไปของเรา เมื่อครู่ท่านพี่ยื่นแท่งเงินให้อันหนึ่งเป็นรางวัล เขาก็รู้ว่าเราไม่ใช่พวกมากินข้าวแล้วไม่จ่ายเงินแน่นอน ดังนั้นจึงเปลี่ยนไปรวดเร็วปานนั้น”
เหวินฉีเหวินกล่าว
นายท่านจินพยักหน้า
เหวินฉีเหวินผู้นี้อายุไล่เลี่ยกับน้องสาวของตน ประสบการณ์ก็พอกัน
แต่เขาสามารถเห็นแก่นและจุดสำคัญของเรื่องได้ในปราดเดียว คงเพราะเขาเป็นบุตรชายของผู้ควบคุมรัฐจึงซึมทราบสิ่งที่ได้เห็นได้ยินจากในจวน
คำกล่าวว่าไว้อ่านคำกลอนสามร้อยบทจนชำนาญ แต่งกลอนไม่เป็นก็ต้องท่องได้ ก็เป็นหลักการเดียวกัน
เช่นนี้จะเห็นว่าวิสัยทัศน์ของจวนชิงน้อยเกินไปอย่างแท้จริง…
หลายปีมานี้ แม้ชิงหรานบิดาของนายท่านจินคอยควบคุมวางแผนอย่างลับๆ แต่ก็ยากหลีกเลี่ยงสภาพการณ์ที่เอาแต่อยู่ในกรอบ
‘แกรก!’
บนมือเสี่ยวเอ้อร์ถือถาดรองอยู่อันหนึ่ง ข้างบนวางกาสุราไว้เป็นสิบ
ตอนนี้กำลังวางบนโต๊ะทีละกา
นายท่านจินถึงได้สติกลับมา
ไม่รู้ทำไม…
ตั้งแต่กลับจวนชิงจนถึงตอนนี้ ความรู้สึกในใจเขาที่เงียบสงบมาเป็นเวลานานก็เริ่มปั่นป่วน
ความรู้สึกเกลียดชังที่มีต่อจวนชิงก่อนหน้านี้จืดจางลงทุกที
กลายเป็นเริ่มกังวลถึงอนาคตของมันโดยไม่รู้ตัว
เสี่ยวเอ้อร์วางกาสุราเสร็จ โค้งตัวทีหนึ่งก็ไปโต๊ะอื่น
“ทุกท่านดื่มพอให้คลายล้า อย่าดื่มเยอะเกินไป!”
นายท่านจินลุกขึ้นกล่าว
คนที่เหลือพากันขานรับ
แม้ผู้ฝึกยุทธ์ที่ไม่ติดสุรามีน้อย
แต่เมานอกบ้านเป็นการรนหาที่ตายโดยไม่ต้องสงสัย
นี่ไม่เพียงทำให้คนทั้งกลุ่มลำบากไปด้วย ยังเป็นการฆ่าตัวตายก่อนอีกต่างหาก
พวกเขาเองก็มีขอบเขตในใจ แต่นายท่านจินเป็นหัวหน้า จำต้องพูดอีกประโยค
ชิงเสวี่ยชิงหยิบจอกสุราจอกหนึ่งมาวางตรงหน้านายท่านจินอย่างว่าง่าย รินให้เขาเต็มจอกและวางกาสุราข้างมือขวาของนายท่านจิน
ทว่าเพิ่งวางถึงโต๊ะ นายท่านจินกลับย้ายกาสุราไปด้านซ้าย
“มือขวาต้องจับดาบ!”
นายท่านจินกล่าว
ในเวลาชั่วพริบตา แค่การยกจอกก็อาจทำให้มือขวาช้าลงครู่หนึ่งตอนจับด้ามดาบ
เวลาชั่วครู่ก็สามารถตัดสินความเป็นความตายของคนคนหนึ่งหรือแม้กระทั่งคนกลุ่มหนึ่งได้แล้ว
“ท่านพี่รอบคอบจริงๆ”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าว
“เพราะมากประสบการณ์อย่างไรเล่า!”
เหวินฉีเหวินก็กล่าวเช่นกัน
นายท่านจินยิ้มเล็กน้อย ไม่พูดอะไร
จากนั้นยื่นมือชี้ข้างหน้าชิงเสวี่ยชิงกับเหวินฉีเหวิน
ทั้งสองไม่เข้าใจความหมายของนายท่านจิน ก้มหน้าแล้วมองไปที่เขาอย่างงุนงง
นายท่านจินยังคงเงียบ แต่รอยยิ้มบนหน้ากลับชัดขึ้น
เขายื่นมือชี้จอกสุราข้างหน้าตน ชิงเสวี่ยชิงกับเหวินฉีเหวินถึงได้เข้าใจ
“ทำไมหรือ ปีนกำแพงออกไปดื่มสุรากันได้ทั้งนั้น ตอนนี้นั่งสบายๆ เลยไม่ดื่มแล้ว? ร้านสุรานี้แย่เพียงใดก็คงดีกว่าตรอกโทรมๆ ในหัวเมืองรัฐหงมากกระมัง!”
นายท่านจินกล่าว
นี่ทำให้ชิงเสวี่ยชิงและเหวินฉีเหวินตกใจอย่างยิ่ง…
วันนั้นเขาสองคนปีนกำแพงออกไปดื่มสุรา เดิมไม่ควรมีใครรู้ถึงจะถูก
แม้จะถูกนางเสี่ยวจงมารดาของชิงเสวี่ยชิงปลุกกลางดึก ให้นางลุกไปดื่มกับบิดาและพี่ชายอีกสักสองสามจอก และตนยังบอกไปว่าเพิ่งดื่มสุรามา
แต่นายท่านจินรู้รายละเอียดเฉพาะเจาะจงนี้ได้อย่างไร
ถึงขั้นพูดถูกด้วยว่านั่นเป็นตรอกทรุดโทรมแห่งหนึ่ง
ทั้งสองต่างหยิบจอกสุราวางไว้ตรงหน้าอย่างเก้อกระดาก นายท่านจินฉวยมือรินให้สองคนเต็มจอก
เพียงแต่นอกจากชิงเสวี่ยชิงกับเหวินฉีเหวินเก้อกระดากแล้ว กลับมีบางสิ่งต่างกันโดยสิ้นเชิง
ชิงเสวี่ยชิงกระดากอายยิ่ง ยังไม่ดื่มสุราแต่บนหน้าแดงก่ำแล้ว
แต่เหวินฉีเหวินกลับดูร้อนรุ่มใจอย่างชัดเจน…ไม่รู้คิดอะไรอยู่
แม้วันนั้นชิงเสวี่ยชิงเมา
แต่ความทรงจำของนางชัดเจนนัก
นางอิงแอบแนบชิดกับเหวินฉีเหวินพลางชมท้องฟ้ายามพลบค่ำ และภายหลังยังเมาพับอยู่ในอ้อมอกของเขา…
เหล่านี้หากไม่มีใครรู้ พวกเขาสองคนย่อมรู้กันอยู่ในใจ
แต่มาตอนนี้ ไม่แน่พี่ชายของตนอาจเห็นเข้าเต็มสองตา นี่จะไม่ให้หญิงสาวคนหนึ่งกระดากอายได้อย่างไร
หนำซ้ำนายท่านจินคงเห็นนางดื่มสุราอย่างไร้สมบัติผู้ดีไปแล้ว
“เจ้าเหมือนพี่สาวเจ้ามาก”
นายท่านจินกล่าว
หมายถึงเถ้าแก่เนี้ยในเหมืองแร่นั่นละ
“พี่สาวข้า?”
ชิงเสวี่ยชิงนิ่งงันครู่หนึ่ง
“พี่สาวเจ้าก็ชอบดื่มสุราเหมือนกัน ทั้งยังคอแข็งมากด้วย ถ้าไม่อยากเมา ต่อให้มีข้าสิบคนยืนซ้อนกันแล้วนางปิดปากครึ่งหนึ่ง ข้าก็ยังไม่ใช่คู่แข่ง”
นายท่านจินกล่าว
“ทำไมพี่สาวข้าดื่มเก่งขนาดนี้”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
“เพราะแม่เราสองคนดื่มเก่ง นี่คงเกี่ยวกับสายเลือดกระมัง…”
นายท่านจินกล่าว
มารดาของเขากับเถ้าแก่เนี้ยคือนางต้าจง
ชิงเสวี่ยชิงเคยได้ยินมาบ้าง รู้ว่าบ้านตนเคยมีท่านป้าคนหนึ่ง แต่ไม่เคยพบหน้า ตอนนี้ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเลยได้แต่พยักหน้าตาม
ตอนนายท่านจินพูด สายตาคอยชำเลืองมองเหวินฉีเหวินตลอดเวลา
ตอนนี้สีหน้าเขาค่อยๆ สงบลงแล้ว
ดูออกว่าเขาสนใจเรื่องในจวนชิงเหล่านี้ไม่น้อย
นายท่านจินยกจอกสุราชนกับเหวินฉีเหวินและชิงเสวี่ยชิงแล้วดื่มรวดเดียวหมด
“เจ้าสองคนคิดว่าสุรานี้เป็นอย่างไร”
นายท่านจินเอ่ยถาม
ความเร็วในการดื่มของเขาเร็วเกินไปจริงๆ…
สองคนนั้นเพิ่งแนบจอกสุราชิดริมฝีปาก นายท่านจินกลับดื่ม ‘อึ้กๆ’ ลงท้องและเอ่ยถามออกมา
ชิงเสวี่ยชิงกับเหวินฉีเหวินได้ยินดังนั้น รีบดื่มสุราในจอกจนหมด
เหวินฉีแหวินดื่มเร็วเกินไปเลยสำลักไอเบาๆ สองสามที
เขารู้สึกเสียหน้า…
หยิบกาสุรามารินเงียบๆ เพื่อกลบเกลื่อน
……………………………………………
……….