ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 427 คู่แค้นในสถานการณ์ราบรื่น-1
บทที่ 427 คู่แค้นในสถานการณ์ราบรื่น-1
……….
เถ้าแก่พลันนึกถึงยามตนฝึกยุทธ์ตอนเด็ก
เขาไม่มีอาจารย์
มีแค่เพื่อนเพียงคนเดียว
ก็เหมือนความสัมพันธ์ฉันเพื่อนของนายท่านจินกับหลี่จวิ้นชาง
ฝึกยุทธ์ด้วยกันสองคนแล้วก็เมาสุราพร้อมกัน
เถ้าแก่คอไม่แข็ง
เพื่อนของเขาก็คอไม่แข็งเหมือนกัน
แต่เถ้าแก่ดื่มสุราพอเหมาะเสมอ น้อยนักที่จะดื่มจนเมา
เพื่อนของเขากลับเมาสุราบ่อยครั้ง
แต่มีครั้งหนึ่ง เถ้าแก่ดื่มเมาแล้วเห็นเพื่อนของตนนั่งอยู่บนพื้นหญ้าด้านนอกเหมือนเสียสติไปแล้ว
หลังพิงต้นหยางใหญ่ต้นหนึ่ง
บนมือไม่มีกาสุรา แต่กลับควานหากระบี่เล่มยาวตรงเอวไม่หยุด
คืนนี้จันทร์แรมบนศีรษะไม่ขาวบริสุทธ์ แต่เป็นสีน้ำเงินอ่อนๆ
เถ้าแก่ประหลาดใจนัก เพราะน้อยครั้งมากที่เพื่อนของตนจะไม่ดื่มสุรา
ตอนไม่ดื่มสุรา ถ้าไม่ฝึกยุทธ์เรียนกระบี่ก็กินข้าวนอนหลับ
ไม่เคยเห็นเขาสนใจนั่งชมจันทร์บนพื้นหญ้าเช่นนี้มาก่อน
“เจ้าเคยได้ยินหรือไม่ว่าบนดวงจันทร์มีหญิงงามล้ำคนหนึ่ง”
เพื่อนเห็นเถ้าแก่เดินมา พลันเอ่ยปากถาม
“ใครไม่เคยได้ยินบ้าง?! เกรงว่าเคยได้ยินกันหมด!”
เทสุราเข้าปากอย่างไม่ยี่หระ
สุรายิ่งดื่มยิ่งเยอะ
แม้เป็นคนไม่ดื่มสุรา แต่เมื่อยกจอกสุราแล้วก็ยากวางลง
เถ้าแก่ในคืนนี้ก็เป็นเช่นนั้น
แม้ดื่มไม่เร็ว แต่อย่างไรก็ดื่มลงไปเรื่อยๆ
“แล้วเจ้าเชื่อหรือไม่”
เพื่อนเอ่ยถามต่อ
“เชื่อ! ทำไมจะไม่เชื่อ ข้าเคยได้ยินด้วยว่าหากเจ้าหมกมุ่นมากพอจนยินดีสละหัวใจและเลือดพิสุทธิ์ในช่วงไหว้พระจันทร์ นางก็จะปรากฏตัวเป็นเมียให้เจ้า!”
เถ้าแก่กล่าว
พูดจบเขาก็หัวเราะอยู่คนเดียว
ดื่มสุราแล้วสมองคนจะปราดเปรื่องยิ่ง
แม้เป็นคนเรียบร้อยเพียงใดก็กล่าวคำตลกขบขันได้เป็นคันรถ แต่งเรื่องเหลวไหลแต่ไม่ขาดหลักการ
คนเคร่งขรึมก็กลายเป็นคนน่าเอ็นดูได้
นอกจากคนดื่มสุราน่าเอ็นดูขึ้นแล้ว เขาก็จะรู้สึกทุกสิ่งที่เห็นโดยรอบน่าสนใจและน่าเอ็นดูไปหมด
เมื่อก่อนเถ้าแก่ไม่เคยคิดว่าเลยว่าเพื่อนของตนจะใช้คำว่าน่าเอ็นดูมาบรรยายได้ด้วย
แต่คืนนี้กลับรู้สึกเขาน่าเอ็นดูมากจริงๆ!
แม้คำว่าน่าเอ็นดูไม่เหมาะบรรยายบุรุษอย่างแท้จริง แต่เขาจำต้องใช้!
เพราะนอกจากน่าเอ็นดู เถ้าแก่รู้สึกไม่มีคำอื่นเหมาะสมแล้ว…
เพื่อนฟังเรื่องที่เถ้าแก่แต่งจบก็รู้ว่าเขากำลังเยาะหยันตน
แต่เขากลับพยักหน้ารับเงียบๆ
ครู่ต่อมา เขาพลันแย่งกาสุราในมือเถ้าแก่ดื่มหมดในหนึ่งลมปราณโดยไม่หอบหายใจ
นี่เป็นเหล้าขาวที่แรงยิ่ง
ต่อให้เป็นคนขี้เหล้าก็ไม่กล้าดื่มเช่นนี้
หากเป็นยามปกติเถ้าแก่จะห้ามแน่นอน
เพราะการดื่มเช่นนี้ไม่เพียงแสบคอ ยังเผาไหม้กระเพาะลำไส้ด้วย
แต่วันนี้เถ้าแก่ไม่ทำอะไร
กลับปรบมือร้องชมอยู่ข้างๆ!
เรื่องที่ทำให้คนเมามีความสุขที่สุดก็คือเห็นอีกคนหนึ่งเมา
คนเราล้วนอยากมีใครสักคนอยู่เป็นสหาย
ไม่ว่าฝึกยุทธ์หรือออกจากบ้านล้วนต้องมีคนอยู่ด้วย
ตอนเด็กจะมีสหายเล่น ตอนโตจะมีเพื่อน แก่แล้วจะมีคู่ชีวิต
ไม่ว่าอายุเท่าไร ทำงานอะไร จุดนี้ไม่อาจสั่นคลอน
เพื่อนดื่มสุราเสร็จแล้วก็ยัดกาสุราเปล่าคืนใส่มือเถ้าแก่
จากนั้นขากเสมหะข้นออกมา
ภายใต้แสงจันทร์เห็นเส้นเลือดปนอยู่ในเสมหะนั้นไม่น้อย…
“ไปเอาสุรามาอีกสิ!”
เถ้าแก่กล่าว
แต่เพื่อนของเขาไม่สนใจ ลุกขึ้นแล้วเดินตรงกลับบ้าน ไม่นานก็ดับตะเกียง คล้ายว่าหลับไป
“ช่างมารดามัน…”
เถ้าแก่เห็นแล้วโยนกาสุราในมือไปบนหลังคา
ได้ยินเสียงกาสุราแตกพร้อมแผ่นกระเบื้อง ในปากพ่นคำด่ารุนแรง
ตอนนี้เพื่อนไปแล้วมีที่ว่าง เขาจึงนั่งลงพิงต้นหยางใหญ่ได้อย่างสบายใจ
คนเมาสุราไม่มีกระดูก
อ่อนปวกเปียกจนนั่งได้ตามต้องการ
แต่นอนลงไม่ได้เด็ดขาด
เพราะถ้านอนตอนฤทธิ์สุรายังอยู่ในหัวเป็นต้องหน้ามืดฟ้าหมุน
จุดนี้เถ้าแก่ไม่เคยลอง
แต่เพื่อนของเขาถ่ายทอดประสบการณ์นี้เรียบร้อยแล้ว
เถ้าแก่ไม่อยากรำคาญใจ เขาจึงแค่นั่งหมดแรงพิงต้นหยางใหญ่ ไม่ได้นอนลง
จะว่าไปตอนเขาดื่มสุราครั้งแรกก็ดื่มกับเพื่อนผู้นี้
ตอนนั้นเขาเห็นท่าทางการดื่มของเพื่อน แม้ไม่น่าชมนัก แต่กลับแคล่วคล่องอย่างยิ่ง
ทั้งยังดื่มดุเดือดไม่มีใครเทียม ดื่มเต็มปากทุกอึกจนสองแก้มป่องขึ้นมา
ตอนเจอกันครั้งแรกเป็นหน้าร้อน ตอนนี้ก็เป็นหน้าร้อนเช่นกัน
หากไม่คำนวณวันแบบเจาะจง เช่นนั้นก็ผ่านมาหนึ่งปีเต็ม
เถ้าแก่รู้สึกปวดและหนักท้ายทอยมาก
แต่ร่างกายกลับเบาหวิว
ความรู้สึกเช่นนี้ไม่เรียกสบาย ทว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง
ดังนั้นทุกครั้งที่เว้นช่วงไป เถ้าแก่มักจะอยากดื่มให้เมาเพื่อสัมผัสความรู้สึกขัดแย้งและยอดเยี่ยมเช่นนี้อีกครั้ง
ตอนเขาฟื้นสติกลับมาก็เป็นเวลาหลังเที่ยงคืนแล้ว
พอเดินเข้าบ้านก็ได้กลิ่นสุราเข้มข้น
ได้กลิ่นสุราตอนเมามีแต่อยากดื่ม ทว่าได้กลิ่นสุราตอนกึ่งสร่างมีแต่จะคลื่นเหียนพะอืดพะอม
และเป็นเช่นนั้นจริง เขาอาเจียนแล้ว
ยืนอาเจียนกระจายเต็มพื้นอยู่หน้าประตู
หลังเก็บกวาดเสร็จ เถ้าแก่เห็นเพื่อนของตนนอนฟุบอยู่บนพื้น เสียงกรนดังทั่วทิศ ในมือยังจับกาสุราที่ยังเหลือครึ่งหนึ่ง
สุราของเขาสองคนวางไว้ใต้เตียงทั้งหมด
เถ้าแก่จุดตะเกียงส่องดูใต้เตียง พบว่าเพื่อนผู้นี้ดื่มสุราหมดเกลี้ยงในเวลาไม่กี่ชั่วยามสั้นๆ!
เถ้าแก่ส่ายหน้ายิ้มเจื่อน แต่ในคอยังรู้สึกพะอืดพะอมเล็กน้อย
กลิ่นสุราในบ้านหนักเกินไป ไม่ว่าอย่างไรเขาก็นอนไม่หลับ
ด้วยจนปัญญา ได้แต่หอบที่นอนกับหมอนและย้ายเก้าอี้ในโถงด้านหน้าออกไปวางใต้ต้นหยางใหญ่ ทำเป็นเตียงอย่างง่ายแก้ขัดคืนหนึ่ง
เมื่อนอนลง เถ้าแก่เห็นจันทร์แรมกำลังเคลื่อนย้ายผ่านซอกกิ่งไม้
อดนึกถึงเรื่องเล่าที่เขาแต่งหลอกเพื่อนก่อนหน้านี้ไม่ได้
ตอนนี้ฟื้นสติแล้วรู้สึกเรื่องเล่านั้นไม่ค่อยสนุกเลยจริงๆ…
อาจจะหลอกไม่ได้กระทั่งเด็กในตอนนี้ด้วยซ้ำ
จากนั้นเขาเอียงศีรษะ เห็นว่าลืมดับตะเกียงในบ้าน
แม้คืนนี้เขาไม่อยากเดินเข้าบ้านนั้นอีกจริงๆ แต่ตะเกียงสว่างทั้งคืนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร หลังจากต่อสู้กับตัวเองรอบหนึ่งก็ยังคงลุกไปดับตะเกียง
ตอนนี้การรับรู้ของเขาชัดเจนขึ้นแล้ว
เขามองเพื่อนที่นอนฟุบอยู่กับพื้น รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
แต่แปลกตรงไหนเขาก็พูดไม่ถูกอยู่พักหนึ่ง
เมื่อพ่นลมเป่าตะเกียงดับแล้ว เขาก็ออกจากบ้านกลับมานอนบน ‘เตียงเล็ก’ ใต้ต้นหยางใหญ่ของเขาอีกครั้ง
ที่จริง ‘เตียง’ นี้แคบไปหน่อย…
เถ้าแก่นอนอยู่บนนั้นไม่กล้าทำอะไรทั้งสิ้น
ทว่าแต่ไรมาเถ้าแก่ต้องนอนตะแคงขวาถึงจะหลับ
นี่เป็นความเคยชิน
การบ่มเพาะนิสัยบางอย่างต้องใช้เวลา แต่เปลี่ยนนิสัยบางอย่างต้องใช้เวลานานยิ่งกว่า
ไม่มีทางเปลี่ยนในชั่วข้ามคืน
บนเตียงเล็กที่ใช้เก้าอี้รวมเข้าด้วยกันนี้ นอนเงยหน้ามองฟ้าถึงจะเป็นท่าที่สบายที่สุด แต่ก็เป็นท่าที่ทำให้เถ้าแก่หลับยากโดยไม่ต้องสงสัย
เขาเคยลองตะแคงแล้ว แต่เก้าอี้นูนทะลุที่นอนบางๆ จนเขาเจ็บไหล่…
จนปัญญา ได้แต่นอนราบเหม่อมองจันทร์แรม
นึกไม่ถึงว่าการพลิกตัวไปมาเช่นนี้จะทำให้เขาสร่างโดยสมบูรณ์
ตอนนี้คิดอยู่ว่าทำไมเมื่อครู่ถึงรู้สึกว่าท่านอนของเพื่อนแปลกๆ เขาเลยตระหนักได้ทันที
เพื่อนของตนไม่เคยเฉื่อยชาเช่นนี้มาก่อน
แม้เขาเมาบ่อย กระนั้นขอแค่เข้าใกล้เขาก็มักให้ความรู้สึกตื่นตัวอยู่เสมอ
แต่เมื่อครู่ นอกจากกระบี่ที่หลุดออกจากฝักครึ่งหนึ่งยังสะท้อนแสงเย็นอยู่บนพื้นข้างกายเขา ทั้งกายเขาไม่มีเครื่องป้องกันใดเลย
ตั้งแต่คบหากันมาเถ้าแก่ไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อน
เมื่อก่อนเถ้าแก่มีสหายมากมาย
แต่ตอนนี้มีเพื่อนผู้นี้เพียงคนเดียว
ความหมายของเพื่อนกับสหายต่างกัน
ต้องเป็นคนมีเป้าหมายเดียวกันและนั่งอยู่ในสถานการณ์เดียวกันถึงจะเรียกว่าเพื่อน
สหายอาจกลายเป็นเพื่อน แต่เพื่อนอาจไม่ใช่สหาย
บางครั้งคนเป็นสหายอาจรับบทเป็นเพื่อน
บางครั้งเพื่อนก็อาจรับบทเป็นสหาย
แต่สหายไม่เท่ากับเพื่อนแน่นอน
จุดนี้เถ้าแก่แบ่งแยกอย่างชัดเจน
แต่สำหรับเขาเพื่อนยังแย่กว่าสหายเล็กน้อย…
เพื่อนส่วนใหญ่มาร่วมทางเพื่อประโยชน์ส่วนตน ไม่ว่าผ่านลมฝนเท่าไร ผ่านถนนกี่สายก็ล้วนเพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการเท่านั้น
เหมือนกระหายน้ำแล้วทุกคนจะร่วมแรงร่วมใจกันขุดบ่อแห่งหนึ่ง
เพราะอย่างนี้ทุกคนจึงได้ดื่มน้ำอย่างรวดเร็ว
แต่ถ้าไม่กระหาย ไม่จำเป็นต้องดื่มน้ำ แน่นอนว่าทุกคนก็จะไม่ขุดบ่อ
แต่สหายกลับเป็นเพียงความช่วยเหลือ กำลังใจ ความเข้าใจและความเชื่อมั่นอันเรียบง่าย
ต่างฝ่ายสามารถเข้าไปในจิตใจของอีกฝ่าย คิดแทนอีกฝ่ายได้ทุกเรื่อง
เป็นฝ่ายทุ่มเทและไม่เรียกร้องการตอบแทนใด
แต่แล้วทำไมตอนนี้เถ้าแก่ไม่เหลือสหายสักคน
ดูเหมือนเขาไม่เคยใคร่ครวญปัญหานี้มาก่อน
อย่างไรก็ตาม มิตรภาพบางอย่างอาจยกระดับเป็นความรับผิดชอบที่ไม่อาจหลีกเลี่ยง เหมือนต่อให้เจ้าไม่อยากดื่มน้ำ ข้าก็ยังจะไปขุดบ่อให้เจ้า เพราะคนเป็นสหายรู้ว่าช้าเร็วต้องถึงตอนที่เจ้ากระหาย
แต่ถ้าคิดว่าสหายเป็นความสนุกสนานเพียงอย่างเดียว เช่นนั้นผิดถนัดแล้ว…
อย่างน้อยเถ้าแก่ก็เคยทะเลาะใหญ่โตกับอดีตสหายเหล่านั้นมากกว่าหนึ่งครั้ง ถึงขั้นต่อสู้กัน
สหายบางคนจะออกห่างเพราะทะเลาะ
สหายบางคนต่อให้ทะเลาะก็จะเข้าใจ
นี่สำคัญกว่าเพื่อนมากนัก
เถ้าแก่ฝึกยุทธ์กับเพื่อนคนนี้เพียงเพื่อให้มีความรู้สึกร่วมกันเท่านั้น
สหายเป็นที่พักพิงทางใจของบุรุษคนหนึ่ง เช่นนั้นเพื่อนก็เป็นคู่หูที่ก้าวไปเพื่อเป้าหมาย
ระหว่างสหายอาจจืดชืดเหมือนน้ำเปล่าเช่นการคบค้าของสัตบุรุษ
แต่เพื่อนจำต้องไปมาหาสู่ตลอดเวลา
ไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นคนแปลกหน้า ทั้งสองไม่อาจนับเป็นเพื่อนอย่างแท้จริง
เดิมคืนนี้เถ้าแก่เตรียมยอมรับเพื่อนผู้นี้เป็นสหาย
แต่ยังไม่ทันพูดออกมาตนก็เมาเสียก่อน
พอถึงตอนเขาสร่าง เพื่อนกลับเมาไปอีก
สุดท้าย สิ่งที่เหลือในคืนนี้มีเพียงเรื่องเล่าเทพนิยายเหลวไหลเรื่องหนึ่งเท่านั้น
เถ้าแก่ไม่รู้ว่าเพื่อนของตนมาจากไหน
กระทั่งชื่อของเขาก็เลือนรางอย่างยิ่ง
ดีที่ทั้งสองอยู่บ้านเดียวกัน ความสัมพันธ์ชนิดเงยหน้าก็เจอทำให้ตัดคำเรียกออกไปได้
ปกติตอนเถ้าแก่เรียกเพื่อนล้วนใช้คำว่า ‘เฮ้ย’ แทน
และเพื่อนก็เรียกเขาด้วยคำว่า ‘นี่’ เสมอ
เถ้าแก่ก็ไม่รู้ว่าเขาเรียนเพลงกระบี่กับใคร และไม่รู้ว่าเขามีครอบครัวหรือไม่ มีพี่น้องหรือเปล่า
ใช่ว่าเถ้าแก่ไม่อยากถาม เพียงแต่ตัวเพื่อนมีความเย็นชาอยู่เสมอ
และอีกฝ่ายไม่สงสัยใครรู่เรื่องใดของเถ้าแก่เลยสักนิด
หากเถ้าแก่เอ่ยปากถามก่อน กลับจะดูเหมือนตนไม่ค่อยหนักแน่น
รูปร่างผอมสูง
ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนหลาวเล่มหนึ่ง
คล้ายว่าลมแรงเพียงใดก็ไม่อาจทำให้มันสั่นคลอน
ตอนนั้นเถ้าแก่อ้วนเล็กน้อย จึงมักอิจฉาที่เพื่อนรูปร่างดี
แต่เพื่อนก็มีความกลัดกลุ้มของตัวเองเหมือนกัน…
นั่นก็คือไปร้านอาภรณ์สำเร็จรูปแล้วไม่เคยได้ซื้อเสื้อผ้าพอดีตัว
ชุดขนาดเล็กสุดสวมบนกายเขาก็จะกลายเป็นหลวมโพรก
ในวันปกติยังดี หากมีลม ชุดไม่เข้ารูปนี้ก็จะส่งเสียงดังพึ่บพั่บอยู่บนกายเขาเหมือนป้ายสุราที่แขวนไว้บนเสาธงหน้าร้านสุรา น่าขันยิ่งนัก
แต่นอกจากนั้น เพื่อนผู้นี้กลับเป็นคนเคร่งขรึมอย่างยิ่ง
เคร่งขรึมจนเถ้าแก่รู้สึกว่าเขาไร้ชีวิตชีวา…ไม่เหมือนคนหนุ่มวัยยี่สิบต้นๆ อย่างที่คิดโดยสิ้นเชิง
……………………………………………