ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 424 ดอกไม้งามทำหลงใหล ดวงจันทร์ชำระสะสาง-4
บทที่ 424 ดอกไม้งามทำหลงใหล ดวงจันทร์ชำระสะสาง-4
……….
ว่ากันตามหลักตอนหลี่จวิ้นชางจิตใจว้าวุ่นเป็นชั่วเวลาดีที่สุดที่อีกฝ่ายจะออกมือ
แต่นอกจากเถ้าแก่ผู้นี้จะไม่ออกมือแล้ว กลับมองหลี่จวิ้นชางสั่นเทาด้วยความเพลิดเพลินอย่างยิ่ง
แววตานั้นคล้ายกำลังชื่นชมกายหยกของหญิงงาม
ทั้งยังคล้ายมองของล้ำค่าแห่งยุคสมัย
นายท่านจินมองจากสีหน้าเถ้าแก่ได้ว่าเขาดูสนุกกับขั้นตอนนี้เป็นอย่างยิ่ง
แทนที่จะใช้ดาบหรือกระบี่เอาชีวิตคนคนหนึ่ง เขาชอบใช้คำพูดทิ่มแทงให้อีกคนแตกสลายถึงที่สุดมากกว่า
ฆ่าคนไม่ยาก
แต่ทำให้คนคนหนึ่งแตกสลายกลับไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแท้จริง
คนมักระเบิดความแข็งแกร่งที่จินตนาการไม่ออกได้ในชั่วเวลาสุดท้าย
นี่เป็นสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่สลักรวมอยู่ในกระดูกเลือดเนื้อ
แม้บางครั้งอาจแตกสลายจริง
นั่นก็เป็นเพราะจิตใจและจิตวิญญาณคิดหนีงานเพื่อให้ตัวเองหยุดพักเท่านั้น
นี่ไม่นับเป็นสิ่งใด
แต่การแตกสลายของหลี่จวิ้นชางในยามนี้ไม่เข้ากับสถานการณ์เอาเสียเลย
ไม่ว่าอย่างไรจิตใจและจิตวิญญาณของเขาก็จะไม่แตกสลายในชั่วเวลาคอขาดบาดตายเช่นนี้
เขารู้สภาวะของตัวเองดี
แต่ตอนนี้เขาเหมือนติดอยู่ในบ่อโคลน ยิ่งดิ้นรนยิ่งจมดิ่งลงเรื่อยๆ
มือที่สั่นเทาคิดจับด้ามดาบ ‘คืบศอกขอบฟ้า’ เป็นหมื่นครั้ง แต่กลับพลาดทุกครั้งไป
ทุกสิ่งพร่าเลือน
“ไม่นึกว่าตระกูลหลี่ยังหลงเหลือลูกหลานจิตใจเข้มแข็งเช่นนี้มาคนหนึ่ง…”
เถ้าแก่เห็นสถานการณ์ตอนนี้แล้วอดกล่าวทอดถอนใจไม่ได้
ทั้งที่อีกนิดเดียวหลี่จวิ้นชางก็จะแตกสลาย แต่เขากลับฝืนต้านสุดชีวิต
แม้ความสิ้นหวังนี้ท่วมมิดลำคอเขาแล้ว เขาก็ยังเงยหน้าขึ้นสูงไม่คิดยอมแพ้
‘ฉึบ…’
เสียงเสียดสีดังขึ้นทันใด
นี่ทำให้เถ้าแก่เบิ่งตากว้างอยู่เหมือนกัน
หลี่จวิ้นชางดึงด้ามดาบของตนออกมาอย่างเชื่องช้าในช่วงสำคัญเช่นนี้
“ร้ายกาจจริงๆ…”
เถ้าแก่จิ๊ปากชื่นชม
“หากเจ้ายืนกรานจะทำเช่นนี้ ข้าก็เริ่มชอบเจ้าบ้างแล้ว!”
เถ้าแก่กล่าวต่อ
หลี่จวิ้นชางสายตาเฉื่อยชา ขบฟันแน่น
แม้ ‘คืบศอกขอบฟ้า’ อยู่ในมือ ทั้งยังออกจากฝักแล้ว
แต่การสั่นเทาของเขาไม่มีวี่แววดีขึ้นเลย
แม้หลี่จวิ้นชางดึงดาบออกจากฝักแล้ว แต่กลับดูกินแรงทั้งหมดของเขา
“พี่หลี่…เป็นอะไรไปหรือ”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
“เขากำลังคิด…”
นายท่านจินครุ่นคิดสักพัก ได้แต่กล่าวเช่นนี้
ทว่าเทียบกับนายท่านจิน อายุและความคิดอ่านของนางก็เหมือนเด็กน้อยจริงๆ
แต่นางไม่ใช่คนโง่
คนโง่อาจจะปล่อยผ่านคำพูดเมื่อครู่ของนางท่านจิน แต่ชิงเสวี่ยชิงไม่
เพราะนางรู้ว่าไม่มีใครหยุดพักเพื่อใคร่ครวญปัญหาตอนเผชิญหน้าศัตรู
“คิดอะไรหรือ”
ชิงเสวี่ยชิงยู่ปากถาม
นางไม่ชอบท่าทีไม่ค่อยสนใจของนายท่านจิน…
“คิดว่าควรใช้วิธีใดทำให้เถ้าแก่พูดเรื่องสิบห้าปีก่อนออกมาทั้งหมด”
นายท่านจินกล่าว
เขาพูดประโยคนี้จริงจังยิ่ง
เหมือนตัวเขาคิดเช่นนี้อยู่จริงๆ
“ดาบในมือเขาก็คือวิธีไม่ใช่หรือ”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าว
“ในมือเจ้าก็มีดาบ แล้วเจ้าคิดว่าควรทำเช่นไร”
นายท่านจินย้อนถาม
ชิงเสวี่ยชิงเลิกคิ้วงาม พลันดึงดาบของตนออกมาจ่อบนคอนายท่านจินทันที
“ถ้าเป็นข้าก็ทำเช่นนี้!”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าวอย่างเหิมใจ
นายท่านจินกลับสีหน้าเรียบนิ่ง
ตอนแสงดาบฉายวาบเมื่อครู่ เหวินฉีเหวินไม่เห็นนายท่านจินกะพริบตาเลยสักครั้ง
ชิงเสวี่ยชิงเพิ่งได้สติแล้วเอ่ยถาม
“เพราะไม่จำเป็นต้องหลบ”
นายท่านจินยิ้มบางกล่าว
“ท่านคิดว่าข้าเป็นน้องสาวท่านเลยฆ่าท่านไม่ได้หรือ”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
“เปล่า…ทุกคนล้วนมีเหตุผลที่จะฆ่าอีกฝ่าย ต่อให้เป็นคู่สามีภรรยาก็อาจใช้กรรไกรแทงคนเคียงหมอนตายได้ในชั่วข้ามคืน แม้เจ้าเป็นน้องสาวข้า แต่ถ้าคิดจะฆ่าข้าก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้”
นายท่านจินกล่าว
เหมือนชิงเสวี่ยชิงฟังไม่เข้าใจ
แต่เหวินฉีเหวินที่อยู่ด้านข้างกลับหรี่ตา
เขารู้เรื่องการต่อสู้ภายในจวนชิงเป็นอย่างดี
ตอนพูดถึงเรื่องนี้กับเหวินทิงไป๋ผู้ควบคุมรัฐหงบิดาของเขา ถึงขั้นนับบุตรสองคนของนางต้าจงหรือก็คือนายท่านจินกับเถ้าแก่เนี้ยเป็นฝั่งคุณชาย และนับชิงเสวี่ยชิงรวมถึงบ้านพ่อแม่ของนางเสี่ยวจงเป็นฝั่งฮูหยิน
นายท่านจินไม่อยู่จวนชิงมานาน เหวินฉีเหวินย่อมไม่เข้าใจความคิดของเขาเท่าไร
แต่นางเสี่ยวจงคิดกำจัดฝั่งคุณชายออกไปจากจวนชิงให้หมดมานานแล้ว
เพื่อการนี้ยังเคยมาหาเหวินทิงไป๋อย่างโจ่งแจ้งและลับหลังหลายครั้ง
เหวินทิงไป๋ก็เป็นจิ้งจอกเฒ่า
พวกจวนชิงมีอำนาจมาก นี่ไม่ใช่เรื่องดีต่อจวนผู้ควบคุมรัฐของเขาอยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้ยังมีตระกูลหลี่แข่งขันถ่วงดุลกับฝั่งนั้น
หลังจากตระกูลหลี่พังพินาศ ชัดว่าจวนชิงกลายเป็นตระกูลขุนนางมีอำนาจอันดับหนึ่งในรัฐหง
อิทธิพลในบางด้านยังสูงกว่าจวนผู้ควบคุมรัฐไม่น้อย
นี่จะไม่ให้เหวินทิงไป๋กังวลได้อย่างไร
แม้ลูกชายของตนมีการหมั้นหมายกับชิงเสวี่ยชิงก็ยังไม่ได้การ…
ถึงอย่างไรผลประโยชน์ก็ต้องอยู่เหนือความรู้สึกส่วนตัว
แต่ภายหลังนายท่านจินกับเถ้าแก่เนี้ยออกจากจวนชิง ไม่มีข่าวคราว
ชิงหรานป่วยหนักติดเตียง ดูเหมือนนางเสี่ยวจงกุมอำนาจเพียงคนเดียว
ทว่าใจนางไม่เคยสงบสุขเลยสักช่วง
นายท่านจินกับเถ้าแก่เนี้ยและคนเก่าแก่ในจวนชิงที่ยังซื่อสัตย์ต่อชิงหรานเหล่านั้น ก็เหมือนหนามคอยทิ่มแทงหัวใจนางตลอดเวลา
เหวินฉีเหวินรู้สึกว่าคำพูดเมื่อครู่ของนายท่านจินตีความได้สองแง่
แม้นายท่านจินกับชิงเสวี่ยชิงล้วนเป็นบุตรของบิดาคนเดียวกัน แต่ต่างมารดา อย่างไรก็กั้นด้วยหนังท้องชั้นหนึ่ง
ระยะห่างชั้นนี้อาจไม่มีความหมายใด แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นตัวแทนของทุกสิ่ง
โดยเฉพาะประโยคสุดท้าย ‘ก็ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้’ ของนายท่านจินยิ่งทำให้เหวินฉีเหวินตกตะลึง
บิดาของตนหลักแหลมโดยแท้
ตอนแรกตนยืนอยู่ข้างชิงเสวี่ยชิงยังเคยตำหนิเขาว่าทำไมถึงไม่ช่วย
แต่ตอนนี้ดูเหมือนบุญคุณความแค้นในจวนชิงหาใช่สิ่งที่ไกล่เกลี่ยให้เข้าใจกันได้
สองฝ่ายมาถึงขั้นต้องตายกันไปข้างแล้ว
แม้เหวินฉีเหวินรู้เรื่องบุญคุณความแค้นในจวนชิงเป็นอย่างดี แต่เขาไม่ได้สนใจ
อาจพูดได้ว่าในรัฐหงเขตเจิ้นเป่ยอ๋อง นอกจากบิดาเขาแล้ว คนเดียวที่เขาสนใจก็คือชิงเสวี่ยชิง
หากนายท่านจินคิดฆ่าชิงเสวี่ยชิงจริง แน่นอนว่าเขาจะก้าวออกมายืนข้างหน้านางโดยไม่ลังเล
“ทำไมพี่ถึงคิดว่าดาบเมื่อครู่คือการล้อเล่นไม่ได้เอาจริง”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถามต่อ
เหวินฉีเหวินมองสีหน้าท่าทางบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของนาง ความรู้สึกรักใคร่เอ็นดูในใจยิ่งเอ่อท้นกว่าปกติ
นายท่านจินกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงมองดาบของตน
นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่า ‘สะอาด’ หมายถึงอะไรกันแน่
จากนั้นหันไปมองดาบในมือผู้คุ้มกันจวนชิงและทหารองครักษ์จวนผู้ควบคุมรัฐเหล่านั้น พบว่าสะอาดเป็นประกายเหมือนกัน
สุดท้ายสายตาของนางมาหยุดอยู่บนตัวดาบของนายท่านจินอีกครั้ง
ดาบนายท่านจินไม่ได้ออกจากฝัก
แต่ฝักดาบของเขาก็สะอาดอย่างยิ่ง
คนที่ฝักดาบสะอาด คมดาบก็จะไม่สกปรกแน่นอน
นายท่านจินมองสายตาชิงเสวี่ยชิง เขารู้ว่าตอนนี้นางคิดอะไรอยู่จึงชักดาบของตนออกมาตรงหน้านาง
“ท่านพี่! ดาบของท่านก็สะอาดเหมือนกันนี่นา!”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าวพลางชี้ดาบของนายท่านจิน
“สะอาดไม่ได้มองด้วยตา เจ้าลองเข้ามาดมใกล้ๆ”
นายท่านจินกล่าว
จากนั้นยื่นคมดาบเข้าใกล้ใบหน้าชิงเสวี่ยชิงเล็กน้อย
แสงดาบสว่างชัดส่องบนหน้าชิงเสวี่ยชิง มันแยงตาจนนางลืมไม่ขึ้น ได้แต่หลบไปด้านข้างเล็กน้อย
เมื่อเคลื่อนตัวหลบกลับทำให้คมดาบเข้าใกล้ปลายจมูกของตน
ขยับปีกจมูกเบาๆ กลิ่นคาวเลือดหนาหนักพุ่งตรงขึ้นสมอง
ชิงเสวี่ยชิงเริ่มไอ จากนั้นรู้สึกในท้องปั่นป่วนรุนแรง
แม้ไม่มีสิ่งใดออกมา แต่ก็ยังคลื่นไส้เสียงดัง
“น้องชิง เจ้าเป็นอะไร! ไม่เป็นไรใช่หรือไม่?!”
เหวินฉีเหวินถามด้วยความเป็นห่วง
ตอนกำลังจะยื่นกาน้ำในมือไปให้ กลับถูกนายท่านจินขวางไว้
“ห้ามดื่มน้ำ ยิ่งดื่มยิ่งพะอืดพะอม”
นายท่านจินกล่าว
ชิงเสวี่ยชิงก้มตัว คลื่นไส้อีกสองสามครั้งถึงค่อยๆ หยัดตัวตรง
“ข้าไม่เป็นไร…”
ชิงเสวี่ยชิงกล่าว
ตอนนี้นางมองนายท่านจินด้วยสายตาหวาดกลัวเล็กน้อย
โดยเฉพาะดาบในมือเขา นางไม่กล้ามองตรงๆ อีกแล้ว…
“ดาบของพวกเราล้วนสุมด้วยชีวิตคน”
ชิงเสวี่ยชิงจึงได้รู้ว่าคำที่นายท่านจินพูดกับหลี่จวิ้นชางก่อนหน้านี้หมายถึงอะไร
ต้องใช้ชีวิตคนเท่าไรถึงทำให้คมดาบที่เช็ดถูจนสะอาดหลงเหลือกลิ่นคาวเลือดหนาหนักเช่นนี้ได้
ชิงเสวี่ยชิงคิดไม่ออก และนางก็ไม่กล้าคิดด้วย
เหวินฉีเหวินนับถือนายท่านจินขึ้นหลายส่วน
สหายตกอยู่ในอันตราย แต่เขากลับสงบและใจเย็นตั้งแต่ต้นจนจบ
เขาเคยเห็นท่าทีเช่นนี้จากบิดาของตนเท่านั้น
“พี่จะไปช่วยเขาหน่อยหรือไม่”
ชิงเสวี่ยชิงเอ่ยถาม
ความจริงคืออยากให้นายท่านจินอยู่ห่างนางหน่อยเท่านั้น
“ไม่จำเป็น”
“ดูเหมือนท่านจะมั่นใจในตัวสหายผู้นี้มาก!”
เหวินฉีเหวินพูดแทรก
“เราเพิ่งประมือกันไม่นานมานี้ ข้ารู้ฝีมือและเข้าใจความมุ่งมั่นของเขาเป็นอย่างดี หลี่จวิ้นชางไม่ใช่คนที่จะล้มเพราะคำพูดไม่กี่คำ!”
นายท่านจินกล่าว
น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความภาคภูมิ
เพื่อนแท้ย่อมรู้และเข้าใจกันเสมอ
นอกจากต้องรู้ความเศร้าโศก ความกล้ำกลืนและความทุกข์ใจของเขาแล้ว ยังต้องเข้าใจความเด็ดเดี่ยว ความโง่เขลาและความดื้อรั้นของเขาด้วย
ต้องมีทั้งสองอย่าง
นายท่านจินยังพูดประโยคนี้ไม่จบ มือหลี่จวิ้นชางกลับหยุดสั่นแล้ว
“ข้าบอกเหตุการณ์ทั้งหมดในคืนนั้นให้เจ้าฟังได้!”
เถ้าแก่คนนั้นเอ่ยปากฉับพลัน
“ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจ”
หลี่จวิ้นชางเอ่ยถาม
เสียงเขาแหบเล็กน้อย
จิตใจที่ว้าวุ่นเมื่อครู่ทำให้เลือดมาเลี้ยงลำคอมากขึ้น
แต่ยังคงพูดประโยคนี้ออกมาด้วยความสงบเรียบนิ่ง
ไม่มีติดขัดกลางทางแต่อย่างใด
“เพราะข้าไม่อยากลงมือกับเจ้า”
เถ้าแก่กล่าว
หลี่จวิ้นชางย้อนถาม
เถ้าแก่ยิ้มบาง ชัดว่าหลี่จวิ้นชางพูดถูก
เถ้าแก่ไม่อยากลงมือกับเขา ก็เลยไม่อยากฆ่าเขา
ทำเรื่องที่ตัวเองไม่อยากทำ นอกจากเสียเปล่าแล้วยังน่าเสียดาย
“แค่ประโยคนี้ เจ้ากับข้านับว่าเป็นสหายกันได้แล้ว!”
เถ้าแก่กล่าว
“เจ้ากับข้าคือศัตรูตลอดกาล แต่ก็ต้องยอมรับว่าบางครั้งความเข้าใจระหว่างศัตรูลึกซึ้งกว่าสหายด้วยกันจริง”
หลี่จวิ้นชางกล่าว
เถ้าแก่ถอนหายใจหนักหน่วง
“แม้ข้าไม่เคยมีปัญหากับเงิน แต่การแลกเปลี่ยนครั้งนี้ทำให้ข้าปวดหัวอยู่บ้างจริงๆ…”
หลี่จวิ้นชางนิ่งเงียบ
ในใจเขาไม่เคยแน่วแน่เท่าตอนนี้มาก่อน
ความจริงเมื่อสิบห้าปีก่อนห่างเพียงระยะหนึ่งดาบ
เหมือนชื่อดาบของเขา
คืบศอกขอบฟ้า
คืบศอกคือขอบฟ้า ขอบฟ้าเป็นดั่งคืบศอก
แต่ขอบฟ้าก็อาจอยู่ในใจใกล้เพียงฝ่าเท้า
ระยะคืบศอกดูเหมือนสั้นนัก ทว่าใช้ทั้งชีวิตอาจยังยากทำสำเร็จ
……………………………………………