ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 343 ท่านอ๋องที่โง่เขลาที่สุด-3
บทที่ 343 ท่านอ๋องที่โง่เขลาที่สุด-3
พลังปราณทั้งหมดของเสี่ยวลี่รวมอยู่ในดาบนี้แล้ว
สองคนนี้ยังมีเวลามาเป่าเทียนดับได้อีก?
แต่ในชั่วขณะที่พวกเขาสองคนเป่าเทียนดับนี้เอง
แสงดาบสะเทือนโลกาของเสี่ยวลี่ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับโคมไฟที่ดับนั้น
‘พรึ่บ…’
นอกจากแสงดาบดับสูญพร้อมเทียนในโคมไฟ
แม้แต่โคมไฟติดกระดาษขาวที่ถืออยู่ในมือทั้งสองก็ฉีกขาดเช่นกัน
“นี่นับเป็นสิ่งใด”
หนึ่งในสองคนเอียงศีรษะเอ่ยถามคนข้างกาย
“แสงไฟที่ใช้ในพิธีศพดับแล้ว โคมไฟพังแล้ว แสดงว่าคนผู้นี้ไม่ต้องการให้ส่องนำทาง”
อีกคนหนึ่งกล่าว
“ไม่ต้องการส่องนำทาง? ทำไมถึงไม่ต้องการ คนตายต้องไปท่าเรือนั่นกันหมดไม่ใช่หรือ”
คนที่ถามก่อนหน้านี้ถามต่อ
“หากเขาไม่อยากตาย เขาย่อมไม่อยากให้ใครส่องนำทางเขา เจ้าถือโคมไฟขาวแกว่งอยู่หน้าคนไม่อยากตาย ย่อมรู้สึกอัปมงคลอย่างเลี่ยงไม่ได้”
อีกคนหนึ่งกล่าว
“ถ้าเป็นเจ้าจะรู้สึกอัปมงคลหรือไม่”
คนนั้นเอ่ยถามต่อ
“สิ่งที่พวกเราทำก็เป็นเรื่องอัปมงคลที่สุดอยู่แล้ว…การถือโคมไฟแค่ทำเพื่อสะสมบุญกุศลเล็กน้อย ขอโชคนิดหน่อย อย่างน้อยข้าคงไม่มากพิธีปานนี้”
อีกคนหนึ่งกล่าว
เสี่ยวลี่เห็นสองคนร้องรับกัน เหมือนมองเขาเป็นสิ่งไร้ตัวตน
ชั่วขณะหนึ่ง ในใจกลับโมโหกว่าเดิม
แต่ก็ยังระมัดระวังขึ้นอีกหมื่นส่วน
เขาคิดว่าแม้ไม่เคยพบหน้าและไม่เคยได้ยินเรื่องสองคนนี้
แต่กลับเป็นศัตรูแข็งแกร่งที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน!
ลมพัดขึ้นอีกครั้ง
ท่าร่างมากมายเมื่อครู่ทำให้จอนผมสองฝั่งของเสี่ยวลี่หลุดยุ่งเล็กน้อย
ยามนี้ปกคลุมดวงตาเพราะถูกลมพัด
ทว่าไม่อาจบดบังแสงดาบที่เผยในดวงตาเขาได้
เสี่ยวลี่ค้อมหลังเล็กน้อย
เขาเตรียมออกดาบอีกครั้ง
เขาทัดเส้นผมตรงหน้าไปหลังหู
“ร่างกายเนื้อหนังและเส้นผมรับมาจากบิดามารดา ไม่อาจปล่อยให้ยุ่งเหยิง”
ทั้งสองกล่าวพร้อมเพรียงกัน
ยอมรับการกระทำนี้ของเสี่ยวลี่ไม่น้อย
“และศพที่สมบูรณ์ ตอนเกิดใหม่อีกครั้งก็จะครบสามสิบสอง”
คนหนึ่งกล่าวต่อ
“ถ้าไม่สมบูรณ์ล่ะ”
อีกคนหนึ่งเอ่ยถาม
“หูเสียหาย ชาติหน้ามีโอกาสเป็นคนหูหนวก ใบหน้าเสียหาย ชาติหน้าอาจเป็นกระลายพร้อย”
คนหนึ่งกล่าว
“ดังนั้นถ้ามือเท้าเสียหายก็อาจเป็นคนพิการหรือ”
อีกคนหนึ่งเอ่ยถาม
“ข้าไม่รู้ เพราะข้ายังไม่เคยตาย เรื่องเหล่านี้ล้วนฟังมา”
คนหนึ่งกล่าวตอบ
เสี่ยวลี่เห็นอีกฝ่ายคุยเล่นสุขใจสบายอารมณ์
แม้ในใจแค้นเคืองอย่างยิ่ง
แต่ก็คิดว่าเป็นโอกาสดีให้เขาทำลายศัตรู
ตอนผู้ฝึกยุทธ์พูดคุยต้องเคลื่อนพลังปราณทั้งกายได้ยากแน่นอน
ขอแค่พวกเขาคุยเล่นเช่นนี้ต่อไป
ตนต้องสบจังหวะออกดาบอันดีเยี่ยมเป็นแน่
ถึงตอนนั้น นอกจากจะทำให้พวกเขาเป็นคนพิการในชาติหน้า ยังทำให้เขาสองคนกลายเป็นคนหูหนวกและหน้าลายพร้อยอีกด้วย
อย่างน้อยในใจเสี่ยวลี่ก็คิดเช่นนี้
เห็นได้ว่าจิตใจเขาค่อนข้างคับแคบอย่างแท้จริง…
แม้สองฝ่ายเป็นศัตรูกันแล้ว
แต่ก็ไม่ควรสาปแช่งด้วยความโกรธเคืองเช่นนี้
ต่อให้อีกฝ่ายกล่าวคำพูดนี้ออกมาก่อน
แต่สองคนนั้นแค่คุยเรื่อยเปื่อยตามการกระทำที่เสี่ยวลี่เอาผมทัดหลังหูไม่กี่ประโยคเท่านั้น
ไม่ได้มีเจตนาพุ่งเป้า
คนที่ไม่เคารพคู่ต่อสู้ของตนก็จะไม่ได้รับความเคารพจากคู่ต่อสู้เช่นกัน
แม้บางคนฝีมือไม่ทัดเทียม
เกียรติเช่นนี้ตนไม่ได้ให้เอง แต่คู่ต่อสู้เป็นคนมอบ
คนที่ให้เกียรติคู่ต่อสู้ได้ ตนก็ต้องเป็นคนมีเกียรติเช่นกัน
ไม่มีทางกระทำเรื่องผิดศีลธรรมแน่นอน
ในยามนี้เอง เสี่ยวลี่เห็นคนถือโคมไฟทางซ้ายเพิ่งอ้าปาก
คล้ายจะพูดอีก
ตอนคนคนหนึ่งกำลังจะพูดแต่ยังไม่เอ่ยคำเป็นจังหวะอันดีที่เสี่ยวลี่รอคอย!
เขาบิดเอี้ยวร่างกายด้วยท่วงท่าประหลาดยิ่ง
ราวกับนอนหันหลังให้ทั้งสองกระนั้น
เพียงแต่เท้าข้างหนึ่งยันอยู่ด้านหลังเพื่อประคองร่าง
ศีรษะเงยไปด้านหลัง
ตอนนี้เสี่ยวลี่เห็นทั้งสองกลับหัวกลับหาง
ปลายเท้าอีกข้างแตะพื้นเล็กน้อย
ร่างทั้งร่างก็พุ่งออกไปเช่นนี้
สองมือจับดาบ
ฟันแนวตั้งจากล่างขึ้นบน
พริบตาที่ออกดาบ
เขาเหมือนเห็นภาพสองคนนี้ถูกปราณดาบของตนฟันหัวขาดจากกรามล่างจนล้มจมกองเลือด
เพียงแต่ดาบของเขาเพิ่งฟันถึงครึ่งหนึ่งก็เข้าไปไม่ได้อีก
ชั่วขณะที่แกว่งดาบหาใช่ช่วงเวลาที่พลังปราณและกำลังของเขาแข็งแกร่งที่สุด
แต่ความรู้สึกพ่ายแพ้ทั้งที่ยังไม่ถึงขั้นสุดยอดนี้เลวร้ายอย่างยิ่ง…
โดยเฉพาะอีกฝ่ายยังออกมือแค่คนเดียว
สิ่งที่ออกมาหาใช่มีดในมือ
แต่เป็นแท่งไม้ที่ใช้ถือโคมไฟนั้น
แท่งไม้อันหนึ่งป้องกันดาบของเสี่ยวลี่ไว้
นี่เป็นระดับขั้นใดถึงทำเช่นนี้ได้
แต่ตอนนี้เสี่ยวลี่ไม่มีเวลามารำพัน
เพราะเขาเห็นปลายมีดด้านล่างของอีกคนหนึ่งแล้ว
การเห็นปลายมีดด้านล่างของอีกฝ่ายในท่วงท่าเช่นนี้มีเหตุผลเดียว
นั่นก็คืออีกฝ่ายชูมีดขึ้น
เสี่ยวลี่คิดดึงดาบเปลี่ยนกระบวน
แต่ไม่ว่าเขาเคลื่อนพลังปราณอย่างไร ดาบเล่มนี้ก็ไม่ขยับเลยสักนิด
เหมือนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับแท่งไม้นั้น
ด้วยความร้อนใจ
เขาได้แต่บิดหมุนร่างกายอีกครั้ง
ทิ้งดาบถอยหลัง
‘แกร๊ง!’
ดาบของเสี่ยวลี่ตกอยู่บนพื้น
แต่ร่างของเขากลับถอยถึงตำแหน่งก่อนออกดาบแล้ว
บนหน้าผากผุดเหงื่อเย็นเม็ดละเอียดชั้นหนึ่ง
เขายังไม่เคยเจอชั่วเวลาที่น่าพรั่นพรึงเช่นนี้มาก่อน
ดาบไม่อยู่ในมือแล้ว
เพียงแต่กระบี่อ่อนเล่มนี้ไม่ได้ชักออกมาหลายปีแล้ว
ต้องมีทางหนีทีไล่
ทำการใดล้วนเป็นเช่นนี้
เสี่ยวลี่ย่อมเข้าใจหลักการนี้เหมือนกัน
มือซ้ายเขาจับอยู่ตรงเอว
เตรียมชักกระบี่อ่อนเล่มนี้ออกมา
ใช้ดาบมือขวา ใช้กระบี่มือซ้าย
แค่นี้ก็เรียกได้ว่าเสี่ยวลี่ยอดเยี่ยมทั้งกระบี่และดาบแล้ว
แต่กระบี่อ่อนตรงเอวคือที่พึ่งสุดท้ายของเขา
ไม่ถึงตอนเข้าตาจนเขาจะไม่ใช้มันเด็ดขาด
หากเริ่มด้วยการถือไว้ในมืออย่างโจ่งแจ้งเป็นใครก็ต้องเตรียมป้องกัน
จุดประสงค์ของการมีกระบี่อ่อนเล่มนี้ก็เพื่อให้อีกฝ่ายคาดไม่ถึง!
เดิมกระบี่อ่อนเล่มนี้พันรอบเอวเขาได้โดยยังมีพื้นที่เหลือ
แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว…
อยู่วังอ๋องมาหลายปีทำให้เขาอวบขึ้นไม่น้อย
เนื้อส่วนเกินตรงเอวก็เพิ่มขึ้นหลายชั้น
แม้ยังไม่เรียกว่าอ้วน
แต่รูปร่างดูห่างไกลจากความเพรียวบางดั่งเหล็กเช่นเมื่อก่อน
อีกฝ่ายมองดาบที่ตกบนพื้น
ใช้แท่งไม้เขี่ยคืนให้เสี่ยวลี่
“ฆ่าคนที่ไม่ยินยอมพร้อมใจคนหนึ่งก็เป็นอัปมงคลเช่นกัน ข้ากลัวเจ้าเป็นผีไม่ไปเกิดแล้วเกาะติดข้า”
คนคืนดาบกล่าว
“เป็นผู้ฝึกยุทธ์ด้วยกันทั้งนั้น ทำไมเจ้าสองคนงมงายเช่นนี้”
เสี่ยวลี่ไม่ได้เก็บดาบ
เพราะเขารู้สึกการกระทำนี้ขายหน้าเกินไป
เขาวางศักดิ์ศรีไม่ลง
ดูท่าเมื่อครู่ยังไม่น่าตื่นกลัวมากพอ…
หากชีวิตคนคนหนึ่งแขวนอยู่บนเส้นด้ายจริง ไหนเลยยังจะสนใจศักดิ์ศรี
ตายดีไม่สู้อยู่คับใจ
เทียบกับชีวิต นั่นเป็นสิ่งที่ไร้ค่าที่สุดอย่างแท้จริง
“ชู่ว…ไม่ใช่งมงาย ต้องรู้ว่าเหนือหัวสามฉื่อมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์! นี่คือความเคารพ!”
อีกฝ่ายลดเสียงกล่าวเชื่องช้า
บนหน้าเสี่ยวลี่ฉายแววดูแคลนเล็กน้อย
ไม่รู้คนสองคนที่พะวักหน้าพะวงหลัง กระทั่งฆ่าคนยังไม่กล้าลงมือเช่นนี้ไปฝึกวิทยายุทธ์มาจากไหน
แต่ถึงเขาจะดูถูกสองคนนี้ ก็ยังคงไม่อาจมองข้ามขั้นฝึกยุทธ์ของทั้งสอง
เขาจึงไม่เอ่ยคำใด มือซ้ายยังคงจับตรงช่วงเอว
“เก็บดาบแล้วออกกระบี่ ดาบกระบี่อยู่ในมือ คนตายก็จะยินยอมพร้อมใจ!”
อีกฝ่ายกล่าวกะทันหัน
เสี่ยวลี่พลันตกใจ
เรื่องที่ตรงเอวเขามีกระบี่อ่อนเล่มหนึ่งไม่มีใครรู้นอกจากเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยา
ถึงแต่ก่อนจะเคยออกมือหลายครั้ง
แต่ทุกคนที่เห็นเขาออกกระบี่อ่อนก็ไม่รู้ว่าตายไปนานเท่าไรแล้ว
สองคนนี้รู้ได้อย่างไร
ความสงสัยนี้ทำให้เสี่ยวลี่หันมามองเกี้ยวข้างหลังตามสัญชาตญาณ…
………………………
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยายังคงนั่งอยู่ในเกี้ยว
แต่กายเขากลับเอนไปด้านหลังเล็กน้อย
ต่อให้เป็นคนธรรมดา ดื่มชาเสร็จล้วนต้องผ่อนคลายกระปรี้กระเปร่าถึงจะถูก
แต่เขางีบหลับ
เหมือนเรื่องราวนอกเกี้ยวไม่เกี่ยวกับเขา
ไม่มีกระทั่งความสนใจอยากดูเรื่องสนุก
เขามองใบชาในจอก
กำลังคิดว่าต้องชงอีกจอกหรือไม่
ปกติดื่มชาต้องดื่มตอนชงครั้งที่สอง
เพราะน้ำชาที่ชงครั้งที่สองรสชาติตรงที่สุด สีสว่างที่สุด
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาย่อมเข้าใจหลักการนี้
แต่คิดไปคิดมาเขาก็ล้มเลิก
เพราะตอนนี้น้ำในกาโลหะผสมทองแดงสองชั้นของเขามีความร้อนแค่หกเจ็ดส่วนแล้ว
ชงชารสดีไม่ได้
วิถีแห่งชา น้ำเป็นอันดับหนึ่งโดยแท้จริง
นอกจากแหล่งน้ำต้องดี อุณหภูมิยิ่งต้องเหมาะสม
ก็เหมือนน้ำละลายจากหิมะเป็นตัวเลือกแรกสำหรับการหมักสุรา
และตัวเลือกแรกของการชงชาก็คือน้ำแร่จากภูเขา
แม้น้ำแร่บนภูเขาเย็นเฉียบ ถึงขั้นหวานเลิศรสไม่สู้น้ำบ่อบางแห่ง
แต่อย่างไรน้ำบ่อก็เป็นน้ำนิ่ง
ไม่กระเพื่อมเลยทั้งปี
ใบชาเป็นชาที่มีชีวิต
ต่อให้ตากแห้งบดละเอียดก็ไม่อาจเปลี่ยนความจริงที่พวกมันเคยเติบโตอย่างต่อเนื่องได้
ชาใหม่ต้องต้มด้วยน้ำไหล น้ำไหลต้องต้มด้วยไฟลุกไหม้
แต่ในเกี้ยวจะก่อไฟอย่างไร
แม้เกี้ยวของเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาใหญ่มากพอ แต่ก็เป็นพื้นที่ปิด
เพียงก่อไฟก็มีควันอย่างเลี่ยงไม่ได้
ไม่ต้องรอคนเลวฆ่าตายก็ถูกไฟต้มชารมควันตาย
ค่อนข้างได้ไม่คุ้มเสียไปหน่อย…
จากการที่เขาไม่ชอบเดินก็ดูออกได้ว่าเขาเป็นคนรักชีวิตอย่างยิ่งคนหนึ่ง
เพราะตอนเดินถ้าไม่อยู่หน้าคนก็อยู่หลังคน
ไม่ปลอดภัยทั้งสิ้น
ขี่ม้าก็เหมือนกัน
มีเพียงตอนนั่งในเกี้ยวให้คนยกเจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาถึงจะรู้สึกสงบใจเล็กน้อย
แต่เมื่อก่อนเขาไม่ได้เป็นคนพะว้าพะวัง โลเลไม่เด็ดขาดเช่นนี้
เจิ้นเป่ยอ๋องซ่างกวนซวี่เหยาก็เคยเป็นคนเสเพลเหมือนกัน
และสิ่งที่คนเสเพลขาดไม่ได้ที่สุดหาใช่กระบี่ดาบกับยุทธภพ
แต่เป็นสุราดีกับหญิงงาม
หญิงงามอาจเดินหอนางโลมมาทดแทนได้เป็นครั้งคราว
แต่สุราดีต้องตั้งใจหาถึงจะพบ
บางครั้งสุราที่ซ่อนอยู่ตามแผงลอยเล็กๆ ในซอยคับแคบที่เถ้าแก่หมักเองอาจจะรสชาติดีกว่าสุรามีชื่อเลื่องลืออยู่ข้างนอกเหล่านั้น
แต่ทำไมตอนนี้ซ่างกวนซวี่เหยาถึงเริ่มดื่มชา
เพราะเขารู้สึกว่าตราบใดที่ทำอะไรต่อเนื่องก็ล้วนเหนื่อยล้าทั้งสิ้น
ดื่มสุรามาสิบปี ดื่มชาย่อมต้องดื่มถึงสิบปีเช่นกัน
ก็เหมือนกับเป็นคนเสเพลมากพอแล้วจึงคว้าเอาตำแหน่งท่านอ๋องมาครองสักหน่อย
เมื่อเป็นท่านอ๋องพอแล้ว ต่อให้เขาไปเป็นคนเสเพลอีกครั้งก็ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
เหมือนที่เขาพูดกับเสี่ยวลี่ข้างบ่อห่านป่าสีชาด
เสียเมืองอ๋องไปก็แค่ตีกลับมา
หากตีกลับมาไม่ได้ อย่างมากก็เลิกเป็นท่านอ๋องแล้วควบม้าถือกระบี่เที่ยวเตร่อยู่ในยุทธภพอีกครั้ง
อย่างไรสิ่งที่ควรมาก็ต้องมา
แต่ตอนที่ยังไม่มา เขาก็จะไม่คิดมากเด็ดขาด
………………………
ตอนเขาคารวะอาจารย์เล่าเรียนก็เป็นเช่นนี้
อาจารย์เขาหยิบดาบเล่มหนึ่งกับกระบี่เล่มหนึ่งวางไว้ตรงหน้าเขา ถามเขาว่าอยากเรียนอะไร
แต่ซ่างกวนซวี่เหยากลับเหม่อมองต้นหยางขนาดใหญ่ในลานบ้านของอาจารย์
มองไปสักพักก็ปีนถึงยอดบนสุดของต้นหยางเหมือนลิง
ตอนลงมายังหักกิ่งไม้ที่อ่อนที่สุดมาถือเล่นในมือ
คนโบราณหักหลิวเป็นส่วนมาก
แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีคนหักหยาง
หักหลิวสื่อถึงการจากลา
เจอหน้าสหายที่ไม่รู้จะได้พบกันอีกที่ไหนเมื่อไรมักต้องหักหลิวส่งกันและกัน
สื่อว่าตนอาวรณ์คิดถึงคนไกล
แต่ซ่างกวนซวี่เหยาเพิ่งคารวะอาจารย์…
หนำซ้ำที่อาจารย์ถามคือเขาเรียนดาบหรือเรียนกระบี่
เขาก็ถือกิ่งต้นหยางอันหนึ่งไว้อย่างไม่ใส่ใจ ยืนเหม่อมองอยู่ตรงหน้าอาจารย์
เหมือนดาบกระบี่บนพื้นไม่เกี่ยวกับเขา
“เจ้าอยากเรียนวิชากระบองงั้นหรือ”
อาจารย์เขาเอ่ยถาม
เขาไม่รู้ว่าสิ่งใดคือวิชากระบอง เพียงยกกิ่งไม้ในมือเล่นและพยักหน้า
จากนั้นอาจารย์เขาหยิบสมุดเล่มเล็กออกมาอีกสองสามเล่ม
สมุดทุกเล่มล้วนเป็นวิทยายุทธ์เลื่องชื่อและนิยมในเมืองที่สุด
จำต้องบอกว่าซ่างกวนซวี่เหยาเจออาจารย์ดีอย่างแท้จริง
ทว่าเขาไม่มองสมุดสี่เล่มนี้เลยสักนิด
แต่หันกายกลับไปมองต้นหยางขนาดใหญ่นั้น
“หรือว่าเจ้าอยากเรียนปีนต้นไม้”
อาจารย์เขาเอ่ยถาม
“ขอรับ!”
ซ่างกวนซวี่เหยาตอบอย่างดีใจ
นี่กลับทำให้อาจารย์เขานิ่งเงียบ…
เดิมปีนต้นไม้เป็นการละเล่นของเด็ก
จะนับเป็นวิทยายุทธ์ที่แท้จริงได้อย่างไร
แต่อาจารย์ผู้นี้ก็ทำหน้าที่อย่างเต็มที่
เขากลับคิดว่าปีนถึงยอดต้นไม้ก็ยืนได้สูงมองได้ไกล
หรือว่าเด็กนี่อยากเรียนท่าร่าง
แล้วก็คิดอีกว่าการปีนต้นไม้เป็นงานที่ต้องใช้กำลังช่วงเอวกับสองขา
หรือเขาอยากเรียนวิชาขาด้วย
ก็เป็นเช่นนี้
สิบสองปีเต็ม
ซ่างกวนซวี่เหยาถึงค่อยๆ สำเร็จวิชา
ในนั้นเรียนวิชากระบองแค่หนึ่งปี
เพราะผ่านไปหนึ่งปีเขาก็ไม่ชอบแล้ว…
แต่จริงๆ ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเรียนดาบกระบี่
เพราะเขาไม่ชอบดาบกระบี่ยิ่งกว่า
ในสิบเอ็ดปีที่เหลือ
เรียนท่าร่างห้าปี เรียนวิชาขาหกปี
อาจารย์พูดประโยคหนึ่งกับเขาว่า ‘ไสหัวไป’
เขาก็เลยจากมา
ตอนออกมาเขามองต้นหยางขนาดใหญ่ในลานบ้านของอาจารย์
มันเริ่มแห้งเหลืองแล้ว
เพราะเขาใช้สบู่ซักเสื้อผ้าใต้ต้นหยางต้นนั้นทุกวัน
กระทั่งปลดหนักเบาก็ไม่ไปห้องน้ำ ล้วนปลดอยู่ใต้ต้นหยางนี้
พริบตาเดียวผ่านไปสิบสองปี
ต้นหยางที่เคยใหญ่และแข็งแรงถูกเขาทรมานจนทนไม่ไหว…ใกล้สิ้นลมหายใจเต็มที
ดีที่ยังไม่ตาย
สำหรับต้นไม้ ตราบใดที่ยังไม่ตายก็มีความหวังเสมอ
คนก็เช่นเดียวกัน
…………………………………………