ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 318 ร้านขายของชำ ร้านอาหารและร้านขายโลงศพ-2
บทที่ 318 ร้านขายของชำ ร้านอาหารและร้านขายโลงศพ-2
คนเรามักคิดว่าสิ่งที่ไม่รู้นั้นร้ายแรงกว่าที่เป็นจริงเสมอ
เว้นแต่จะยากจนจนไม่มีทางเลือก
ถึงอย่างไรทุกคนก็หวังว่าจะได้นอนอยู่ในโลงศพสักโลง
ใครจะอยากถูกห่อด้วยผ้าแล้วโยนทิ้งไปเหมือนสัตว์ล่ะ
ในเวลานั้น เถ้าแก่เนี้ยก็นึกถึงคำพูดของหญิงชราขายแผ่นแป้งต้นหอมทอด
รู้สึกว่าตัวเองควรจะหาคู่ครองได้แล้ว
เรื่องราวตรงนี้ เถ้าแก่เนี้ยไม่เคยเล่าให้ใครฟัง
รู้เพียงว่าร้านขายของชำและร้านขายโลงศพของนางปิดไปประมาณหนึ่งเดือนครึ่ง
เมื่อนางกลับมาอีกครั้ง ก็มาพร้อมกับสองชายอ้วนท้วน
คนหนึ่งคือขอทานอ้วนตรงทางเข้าเขตกระท่อม
อีกคนคือสามีของนาง
เถ้าแก่อ้วน
เถ้าแก่เนี้ยแต่งงานแล้ว
นางกลายเป็นเถ้าแก่เนี้ยอย่างเต็มตัว
เพราะทุกคนเริ่มเรียกชายอ้วนผู้นั้นว่าเถ้าแก่ไปโดยปริยาย
และนางก็ถูกเรียกว่าเถ้าแก่เนี้ยตามมา
ด้วยบุคลิกภาพและความงามของนาง แน่นอนว่านางสามารถหาคนที่ดีกว่านี้ได้
แต่นางกลับเลือกแต่งงานกับบุรุษที่คนอื่นมองว่าเป็นตัวเลือกที่ผิดที่สุด
ทำอะไรต้องทำอย่างจริงจัง
ทำผิดก็ต้องยอมรับ
หากรู้ถูกผิด แม้จะทำผิดไป แค่ขอโทษคำเดียวก็พอแล้ว
แต่เมื่อเป็นเรื่องของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องขอโทษเลยด้วยซ้ำ
พูดมาก็น่าแปลก
นับตั้งแต่เถ้าแก่เนี้ยแต่งงานแล้วมีสามีเป็นเถ้าแก่อ้วนผู้นี้
ไม่มีใครพูดอีกว่าร้านขายของชำของนางหาเงินจากความตายและไม่เป็นมงคล
บางครั้งคนเราก็มีด้านเดียวเช่นนี้
ถึงขนาดใช้เพศมากำหนดทุกสิ่ง
มีบางอย่างที่หากสตรีทำก็จะเป็นเรื่องผิด
แต่ถ้าบุรุษทำ ก็สามารถหาเหตุผลมาอ้างได้หลายล้านอย่าง แม้ผิดก็กลายเป็นถูก
บุรุษสามารถดื่มสุราได้ หรือแม้กระทั่งไปหาสตรีและดื่มสุราอย่างหรรษา
แต่สตรีกลับไม่สามารถพูดกับชายอื่นเกินสองประโยคได้
ไม่เช่นนั้นก็จะถูกมองว่าใจง่าย ไม่รักนวลสงวนตัว
ใครเป็นคนกำหนดสิ่งเหล่านี้
ไม่มีใครตอบได้
แต่ทุกคนก็ยึดมั่นอย่างลึกซึ้ง
อันที่จริงสตรีที่ดื่มสุราใช่ว่าจะเป็นสตรีปล่อยตัว
และบุรุษที่กลับบ้านตรงเวลาทุกวัน ก็ใช่ว่าต้องแฝงไว้ด้วยความคิดแย่ๆ
เหมือนกับที่บุรุษมักพูดว่า สตรีความรู้น้อยวิสัยทัศน์คับแคบ
พวกที่ติดสุราติดพนันก็เป็นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ
คนที่ลุ่มหลงบางสิ่งอย่างง่ายดาย ความรู้ของเขาก็คงไม่มากนัก
ถึงแม้ในหมู่สตรีจะมีคนดื่มสุราและเล่นการพนัน
แต่ก็ยากจะพบผู้ที่ติดสุราและการพนัน
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมสตรีจำนวนมากจึงมีความรู้มากกว่าบุรุษไม่ใช่หรือ
สตรีดื่มสุราเพราะอกหัก
เมื่อความเสียใจสลายไป อาจจะไม่ยอมจับจอกสุราอีกเลยตลอดชีวิต
สตรีเล่นการพนันเพื่อระบายอารมณ์
ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ แค่สนุกก็พอ
เมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ บุรุษอาจไม่จำเป็นต้องมีอำนาจมากกว่าสตรีเสมอไป
และอาจเห็นแก่ตัวกว่าสตรีเสียด้วยซ้ำ
แน่นอน สิบปีผ่านไปแล้ว
เถ้าแก่เนี้ยไม่สนใจคำตำหนิใดๆ
แม้จะทำหรือไม่ทำ ทุกคนก็คิดเช่นนั้นอยู่แล้ว
ไม่สู้ทำตามที่ทุกคนคิดเสียเลย
ไม่เช่นนั้นก็เป็นอย่างทั้งๆ ที่ตนไม่ได้ทำ แต่ต้องมาแบกรับชื่อเสียงนั้น
นี่เป็นเรื่องที่เสียเปรียบอย่างยิ่ง!
เถ้าแก่เนี้ยเป็นคนค้าขาย
แน่นอนว่าคนค้าขายย่อมไม่ยอมให้ตัวเองเสียเปรียบ
ดังนั้นนางจึงกลายเป็นอย่างที่เป็นอยู่เช่นปัจจุบันนี้
หลิวรุ่ยอิ่งดื่มสุราหมดจอก
ก็ฟังเรื่องราวของเถ้าแก่เนี้ยจบพอดี
เรื่องราวนี้ไม่ได้มีความพิเศษใดๆ สำหรับเขา
เพียงแค่รู้สึกว่าการใช้ชีวิตนั้นเรียบง่าย
แต่การจะใช้ชีวิตให้ตัวเองพอใจและมีความสุขนั้นกลับเป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งนัก…
เขาวางจอกสุราลง เถ้าแก่เนี้ยเขย่ากาสุราบนโต๊ะ
สุราหมดแล้ว
เถ้าแก่เนี้ยลุกขึ้นไปเติมสุรา
หลิวรุ่ยอิ่งให้หวาหนงไปรับลมเป็นเพื่อนเขาที่ประตู
เห็นคนเหล่านั้นที่กำลังสนุกสนานกับพายุทราย
หลิวรุ่ยอิ่งสงสัยว่าพายุทรายที่นี่ทำให้คนรู้สึกสบายจริงหรือ
เขายืนอยู่ที่ประตู
ลมพัดมาทางด้านข้าง
พัดพาฝุ่นละอองและเม็ดหินเล็กๆ มาด้วย
ทำให้แก้มของเขาที่หันเข้ารับลมแดงเรื่อ
แต่ความรู้สึกนี้กลับเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก
ลมนั้นอบอุ่น
ฝุ่นละอองและเม็ดหินเล็กๆ ที่ถูกลมพัดมา หลังจากถูกแดดแผดเผาทั้งวัน ยิ่งทำให้รู้สึกอุ่นมากกว่าลม
เหมือนกับแช่น้ำในอ่างที่ถูกวางไว้กลางแดดร้อนระอุ
แต่ที่นี่ไม่มีอ่างอาบน้ำหรือน้ำร้อนสำหรับอาบน้ำ
หากน้ำสามารถใช้อาบได้ ใครว่าลมจะทำไม่ได้?
ทั้งคู่เป็นสิ่งที่ไร้รูปร่าง ซึมผ่านทุกที่ได้
ถ้าน้ำสามารถใช้แช่อาบได้ ลมก็น่าจะทำได้เช่นกัน
หลิวรุ่ยอิ่งคิดได้ดังนั้นจึงหมุนตัวปะทะพายุทราย
เขาอ้าปาก
ดูเหมือนดื่มพายุทรายเหล่านั้นลงไปเหมือนน้ำ
แต่กลับไม่คาดคิดว่าจะมีเม็ดหินเล็กๆ ติดคอ ทำให้เขาสำลักจนไออย่างรุนแรง
“ท่านอาจารย์อาระวังตัวด้วย!”
ขณะที่หลิวรุ่ยอิ่งกำลังไออยู่นั้น
จู่ๆ ก็เกิดลมแรงกะทันหัน
ลมกรรโชกแรงพัดกระเบื้องบนหลังคาร้านขายของชำปลิวว่อนไปมา
และในขณะที่กระเบื้องยังปลิวว่อนอยู่นั้น
ก็มีแสงเย็นเฉียบพุ่งออกมาจากด้านหลังของหลังคา
แสงเย็นเฉียบนั้น ไม่ใช่อาวุธลับ
แต่เป็นแสงสะท้อนของดาบ
หลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเสียงเตือนจากหวาหนงจึงรีบหลบทันที
แสงดาบนี้ตกลงมาข้างเท้าเขาพอดี
แต่ปราณดาบที่กระจายออกมา กลับทำให้เกิดรอยแตกบนรองเท้าหนังของเขา
เถ้าแก่เนี้ยและเถ้าแก่อ้วนได้ยินเสียงดังมาจากหลังคาจึงรีบวิ่งออกมาดูทันที
แต่กลับเห็นว่าหลิวรุ่ยอิ่งชักกระบี่ออกมาแล้ว
ทั้งคู่จึงยืนอยู่ที่ประตูไม่กล้าก้าวออกจากร้านขายของชำแม้แต่ก้าวเดียว
ไม่มีใครแสดงอาการตื่นตระหนกแม้แต่น้อย
ทุกอย่างดูเหมือนเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
หลิวรุ่ยอิ่งจึงใช้ท่าร่างพุ่งขึ้นไปยังหลังคา
และเห็นบุคคลหนึ่งกำลังกระโดดลงจากขอบหลังคาพอดี
“เจ้าเป็นใคร?!”
หลิวรุ่ยอิ่งถามเสียงดัง
“คิดไม่ถึงเลยว่าแค่นายกองเล็กๆ จากกรมสอบสวนผู้หนึ่ง จะมีท่าร่างเหนือชั้นเช่นนี้!”
คนผู้นั้นตอบกลับมา
พร้อมหยุดอยู่ในหลังร้านขายของชำ
ตรงหน้าห้องที่เต็มไปด้วยโลงศพ
ที่นั่นคือพื้นที่โล่งกว้าง
หลิวรุ่ยอิ่งจึงมองเห็นอย่างชัดเจนว่าคนผู้นั้นสวมชุดสีม่วงและปิดบังใบหน้า
แต่เสียงที่ได้ยินก่อนหน้านี้ดูเหมือนจะตั้งใจกดเสียงลงต่ำ
เพื่อไม่ให้จับน้ำเสียงได้
คนทั่วไปมักคิดว่าสีดำคือสีที่ปลอดภัยที่สุดในเวลากลางคืน
แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่
หากสวมเสื้อผ้าสีดำอยู่ในความมืด กลับจะดึงดูดสายตามากที่สุด
รองลงมาก็คือสีขาว
แต่คนผู้นี้สวมชุดสีม่วงเข้ม นับเป็นสีที่สามารถหลบซ่อนได้ดีที่สุดในความมืดยามราตรี
ดูจากการแต่งกายของคนผู้นี้ หลิวรุ่ยอิ่งรู้ได้ทันทีว่าเขาเป็นมือฉกาจ
ในขณะที่เขาเตรียมจะกระโดดตามลงไป
นึกไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะฟันดาบออกมาอีกครั้ง
แสงดาบพุ่งขึ้นราวกับห่านป่าโบยบิน
แม้กระทั่งลมที่พัดกรรโชกก็ยังเปิดทางให้กับแสงดาบนั้น
หลิวรุ่ยอิ่งย่างเท้าข้างหนึ่งไปครึ่งก้าวลอยอยู่กลางอากาศ
ดาบนี้ทั้งเร็วและอันตรายยิ่งนัก
ไม่ว่าจะเป็นมุมการฟาดฟันหรือจังหวะเวลา
ทั้งหมดคำนวณไว้อย่างชาญฉลาด
เห็นชัดว่าการโจมตีครั้งนี้ต้องการสังหารหลิ่วรุ่ยอิ่งในดาบเดียว
ไม่ให้เหลือทางรอดใดๆ
แต่เท้าอีกข้างที่หลิวรุ่ยอิ่งยังไม่ได้ก้าวออกจากหลังคา ส่งแรงถืบตัวขึ้นจากพื้นออกไปอย่างกะทันหัน
ร่างเขาจึงพุ่งตรงไปยังทิศทางของแสงดาบ
การต่อสู้ด้วยวิธีที่เน้นการรุกไม่ป้องกัน รุดหน้าเพื่อล่าถอยเชนนี้ ทำให้คนผู้นั้นอึ้งงัน
หลิวรุ่ยอิ่งฟันกระบี่ออกมากลางอากาศ
ป้องกันการโจมตีนั้นไว้ได้
แต่คนผู้นั้นก็ยังไม่ยอมแพ้
ทันทีที่สะบัดข้อมือ เตรียมฟันดาบอีกครั้ง
แต่เวลาของเขานั้นไม่พอแล้ว
หลิวรุ่ยอิ่งกำลังได้เปรียบจึงพุ่งเข้าหาคนผู้นั้นทันที
ทันใดนั้น คนผู้นั้นก็ขว้างดาบในมือไปที่หน้าหลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งเองก็ไม่คาดคิดว่าเขาจะขว้างดาบในมือออกมา
ทำได้เพียงรีบใช้กระบี่ป้องกันอย่างรวดเร็ว
แต่แค่ชั่วขณะนั้น เวลาก็ดูเหมือนจะหยุดนิ่งไป…
ทำให้คนผู้นั้นมีโอกาสได้หายใจ
เห็นเพียงเขาพยายามถอยหลังไปหลายก้าว ทำให้ระยะห่างระหว่างเขาและหลิวรุ่ยอิ่งกว้างขึ้นอีก
เขาพลิกข้อมือไปมา และก็คว้าดาบอีกเล่มไว้ในมืออีกครั้ง
“ตำแหน่งนายกองไม่ใช่ตำแหน่งเล็กๆ อย่างที่คิด อย่างน้อยก็สูงกว่าเจ้า!”
หลิวรุ่ยอิ่งยืนหยัดมั่นคงพร้อมพูดขึ้น
แต่คนผู้นั้นกลับไม่ได้ตอบอะไร
มีเพียงเสียงแค่นเย็นชาที่พ่นออกมาทางจมูก
แต่เมื่อหลิวรุ่ยอิ่งได้ยินเสียงนั้นกลับรู้สึกแปลกประหลาด
เพราะเสียง ‘หึ’ นั้น มีโทนเสียงสูงกว่าปกติ
ไม่เหมือนเสียงที่ชายผู้หนึ่งจะสามารถทำได้
หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นสตรี?
ยังไม่ทันให้หลิวรุ่ยอิ่งได้คิดอะไรมาก
กระเบื้องหลังคาเหนือศีรษะของเขาก็หล่นลงมา
หลิวรุ่ยอิ่งรีบหลบไปด้านข้างครึ่งก้าว
คนผู้นั้นใช้โอกาสนี้ทำท่าทางจะโจมตีด้วยดาบ ในขณะที่มือซ้ายส่งพลังลมปราณนับสิบสายออกมาอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมจุดสำคัญทั่วทั้งร่างของหลิวรุ่ยอิ่ง
………………………………………