ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 315 ตอนที่ 23 เถ้าแก่เนี้ยที่ปล่อยตัวที่สุด-2
บทที่ 315 ตอนที่ 23 เถ้าแก่เนี้ยที่ปล่อยตัวที่สุด-2
“ลองเปลี่ยนมาใช้จอกดื่มสิ บางทีสุราอาจจะมีรสชาติที่ต่างออกไปก็ได้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
คำพูดนี้เหมือนเป็นการโน้มน้าว
แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ไม่เชื่อ
แต่หากหลิวรุ่ยอิ่งต้องการจะสอบถามบางอย่างจากสวีเหล่าซื่อ เขาก็ต้องแสดงให้เห็นถึงความจริงใจของตน
ดังนั้นเขาจึงกล่าวเช่นนี้
“ไม่มีอะไรกิน ข้าดื่มไม่ลงหรอก”
สวีเหล่าซื่อกล่าวพลางมองหลิวรุ่ยอิ่ง
ขณะที่เขาพูดไม่มีอารมณ์ใดๆ
ถ้าไม่เห็นริมฝีปากของเขาขยับเหมือนครีบปลา
หลิวรุ่ยอิ่งคงคิดว่าเสียงนั้นมาจากท้องของเขา
“ของกินเล่นพวกนี้เจ้ากินได้นะ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ของกินเล่นพวกนี้ ก็เหมือนกับอาหารตุ๋นก่อนหน้านี้นั่นแหละ”
สวีเหล่าซื่อกล่าว
จากนั้นเขาก็ใช้มือหยิบเต้าหู้แห้งชิ่นหนึ่งขึ้นมา
และเริ่มกินอย่างระมัดระวัง
ทุกคำเขากัดเป็นชิ้นเล็กๆ อย่างระมัดระวังยิ่ง
ยาวประมาณสองชุ่นเท่านั้น
แต่สวีเหล่าซื่อใช้เวลากัดเจ็ดแปดคำถึงจะกินหมด
และทุกครั้งที่เขากัดเต้าหู้แห้ง เขาจะจิบสุราตามไปด้วย
หลังจากที่เขากินเต้าหู้แห้งหมดแล้ว เขาก็ดื่มสุราที่เทไว้ในชามจนหมด
จากนั้นจ้องมองหลิวรุ่ยอิ่งด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เหมือนเดิม
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้พูดอะไร แต่รินสุราลงในจอกแล้วเลื่อนไปด้านหน้าเขา
และก็วางชิ้นเต้าหู้แห้งอีกชิ้นบนจอกสุรา
ครั้งนี้ สวีเหล่าซื่อกินเต้าหู้แห้งหมดในคำเดียว และกรอกสุราเข้าปากจนหมด
“ทำไมเจ้าไม่กินไม่ดื่มเหมือนเมื่อครู่”
หวาหนงถามด้วยความสงสัย
สวีเหล่าซื่อหยิบชามดินเผาของตัวเองขึ้นมา ใช้เล็บขีดเส้นลงด้านนอกชาม
“รินสุราใส่ในนี้ กินคู่กับเต้าหู้แห้งหมดหนึ่งชิ้นพอดี ข้าไม่เคยใช้จอกสุรา ดังนั้นไม่รู้จะคำนวณอย่างไร”
สวีเหล่าซื่อตอบ
“ที่แท้เจ้าดื่มสุราตามปริมาณเต้าหู้แห้งที่กินนี่เอง”
หวาหนงกล่าว
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าไม่ได้กินเช่นนี้ แต่คนที่นี่ทุกคนล้วนทำเช่นนี้”
สวีเหล่าซื่อกล่าว
ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจหลิวรุ่ยอิ่งพลันรู้สึกเศร้าขึ้นมา
เขาไม่ได้เศร้ากับชีวิตที่แสนยากลำบากของสวีเหล่าซื่อหรือคนงานที่ทำงานหนักเหล่านั้น
แต่เศร้ากับคนคนหนึ่งจะดื่มสุรา ยังต้องคำนวณอย่างชัดเจนถึงเพียงนี้
ดื่มสุราเกินไปหนึ่งอึก ก็ไม่เหลือเต้าหู้แห้ง
เช่นเดียวกัน ถ้ากินเต้าหู้แห้งเกินไปหนึ่งคำก็ไม่มีสุราเหลือ
“พวกเขาก็ไม่เคยใช้จอกดื่มสุราเหมือนกันหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม พร้อมชี้ไปที่เพิงข้างนอก
“พวกเขาเคยใช้”
สวีเหล่าซื่อตอบ
หลิวรุ่ยอิ่งส่งสัญญาณให้ผู้ใต้บังคับบัญชารินสุราลงจอกอีกครั้ง แล้วหยิบเต้าหู้แห้งวางบนจอก
“เหตุใดพวกเขาเคยใช้ แต่เจ้าไม่เคยใช้เล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เพราะมักจะมีคนอย่างพวกเจ้ามา เชิญคนอย่างพวกเราดื่มสุรา แต่พอดื่มไปเรื่อย ๆ พวกเราก็จะเหมือนกัน”
สวีเหล่าซื่อตอบ
คำตอบนั้นทำให้หลิวรุ่ยอิ่งงุนงง
ดื่มสุราไปเรื่อย ๆ ก็จะเป็นเหมือนกันหมายความว่าอย่างไร
“พวกเจ้ามีม้าเจ็ดตัว แต่ไม่มีเงินสด ม้าหนึ่งตัวสี่ร้อยตำลึง เจ้าคิดว่าพอให้พวกเจ้าเจ็ดคนกินดื่มได้นานแค่ไหน”
สวีเหล่าซื่อถาม
หลิวรุ่ยอิ่งนิ่งเงียบ
หากอ้างอิงตามหนึ่งคนต่อมื้อเป็นเงินห้าร้อยตำลึง แน่นอนว่ากินไม่ได้นาน
แม้แต่มื้อที่สองก็ยังไม่พอด้วยซ้ำ
สวีเหล่าซื่อดูเหมือนจะคอไม่แข็ง
ดื่มไปแค่ครึ่งกา เขาก็หน้าแดงแล้ว
หลังจากดื่มสุราแล้วหน้าแดง สิ่งที่ตามมาคือความร้อนที่เพิ่มขึ้นในร่างกาย
สวีเหล่าซื่อจึงคลายกระดุมเสื้อ เผยให้เห็นหน้าอก
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าร่างกายของเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
เส้นกล้ามเนื้อบนร่างกายชัดเจนมาก
แต่ที่อกซ้ายของเขามีรอยสัก
รูปสักนั้นเป็นเท้าคน
และบนหลังเท้ายังมีจักจั่นสารทฤดูอยู่หนึ่งตัว
รอยสักนี้หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกคุ้นตา แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
“ยังจะดื่มต่อหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นสวีเหล่าซื่อไอเบาๆ สองสามครั้ง
เสียงไอไม่กี่ครั้ง ทำให้ใบหน้าที่แดงก่ำของเขาดูจางลงเล็กน้อย
“เป็นเจ้าที่เชิญข้ามาดื่ม เจ้าเลี้ยง ข้าก็ดื่ม ถ้าเจ้าไม่เลี้ยง ข้าก็จะออกไปรับลม”
สวีเหล่าซื่อกล่าว
“รับลม? พายุทรายแรงขนาดนี้ เหตุใดเจ้ายังอยากออกไปรับลม”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“พายุทรายที่นี่ทำให้คนเสพติด โดนนานเข้าก็เหมือนการดื่มสุรากินเนื้อ ถ้าไม่โดนลมจะรู้สึกอึดอัด”
สวีเหล่าซื่อตอบ
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะ
ไม่ได้สนใจคำพูดที่ขัดต่อหลักเหตุผลเหล่านี้ของเขา
แต่ก็ยังให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเติมสุราให้สวีเหล่าซื่ออีกหนึ่งจอก
“เจ้ามาอยู่ที่นี่นานแค่ไหนแล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“จำไม่ได้แล้ว”
สวีเหล่าซื่อตอบพลางรินสุราจากจอกลงในชามดินเผาหยาบของเขา
เขายังคงชอบวิธีดื่มสุราเช่นนี้
เมื่อคนเราเคยชินไปแล้ว ก็ยากที่จะเปลี่ยนแปลง
หลิวรุ่ยอิ่งถามต่อเนื่องหลายคำถาม
แต่คำตอบของสวีเหล่าซื่อ ไม่ตอบว่าไม่รู้ก็ตอบว่าจำไม่ได้
ถึงแม้จะตอบทุกคำถาม
แต่ก็ไม่มีคำตอบไหนที่มีประโยชน์เลย
เวลาเดียวกันนี้เอง
มีเสียงหัวเราะคิกคักของสตรีดังมาจากใต้เพิงข้างนอก
“เถ้าแก่เนี้ย มาดื่มกับพวกเราสักจอกสิ!”
มีคนพูดขึ้น
“ไปไกลๆ! ใครจะอยากดื่มกับพวกผีสุราตัวเหม็นอย่างเจ้ากัน!”
สตรีคนนั้นตอบด้วยความรังเกียจ
ถึงแม้จะรังเกียจ แต่ก็มีนัยยะแห่งความเป็นมิตรอยู่บ้าง
“เช่นนั้นเจ้าจะดื่มกับใคร”
อีกคนถามขึ้น
“แน่นอนว่าดื่มกับเหล่าหนุ่มน้อยคนใหม่ที่เพิ่งมาใหม่ ได้ยินว่าหัวหน้ากลุ่มรูปงามยิ่งนัก!”
สตรีผู้นี้คือเถ้าแก่เนี้ยร้านขายของชำ
ก่อนหน้ามีสตรีสองคนออกมารับหลิวรุ่ยอิ่งไปทานอาหารก็ทำให้เขาประหลาดใจมากพอแล้ว
แต่ไม่คาดคิดว่าที่ร้านนี้ยังมีเถ้าแก่เนี้ยอีกคน
“สวีเหล่าซื่อ! ใครให้เจ้านั่งดื่มสุราที่นี่กัน ออกไปๆๆ!”
เมื่อเถ้าแก่เนี้ยเดินเข้ามาในร้านและเห็นสวีเหล่าซื่อกำลังนั่งดื่มกับหลิวรุ่ยอิ่งก็ตวาดเสียงดัง
“เป็นเขาที่บอกจะเลี้ยงสุราข้าเอง”
สวีเหล่าซื่อไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง แค่ชี้ไปที่หลิวรุ่ยอิ่งด้วยนิ้วที่ถือเต้าหู้แห้ง
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ดื่มเถอะ”
เสียงของเถ้าแก่เนี้ยก็อ่อนลงทันที
ถือโอกาสนั่งลงข้างๆ หลิวรุ่ยอิ่ง
เติมสุราลงในจอกของเขาจนเต็ม
แต่ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งไม่ใช่เด็กหนุ่มผู้เพิ่งมาถึงเมืองจี๋อิงในรัฐติงแห่งอาณาจักรติ้งซีอ๋องอีกต่อไป
เถ้าแก่เนี้ยนั่งลงข้างๆ เขาไม่รู้สึกตื่นเต้นใดๆ
ทว่าเขายังคงสังเกตนางอย่างละเอียดรอบหนึ่ง
เถ้าแก่เนี้ยแต่งตัวประณีต สง่างามกว่าใครๆ
นางสวมอาภรณ์ไหมสีน้ำตาลอ่อนปักดิ้นทอง
กระโปรงมีระบายเป็นชั้นสีฟ้าน้ำทะเลยาวระพื้น
และบนไหล่มีผ้าคลุมบางสีม่วงอ่อนลายดอกบ๊วย
สตรีผู้นี้อายุประมาณสามสิบ ผมสั้นทัดหู แม้จะดูห้าวอยู่บ้าง แต่ดวงตากลมโตเปล่งประกาย ผิวขาวเนียนราวกับหน่อไม้สดที่เพิ่งปอกเปลือก ทำให้นางดูมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
กลิ่นหอมลอยฟุ้งทั่วตัวนาง
เสื้อผ้าทุกชิ้นเหมือนผ่านการอบมาก่อน
และกลิ่นหอมนี้ ไม่ใช่กลิ่นฉุนเหมือนกับหญิงคณิกา
แต่กลับสดชื่น
หลิวรุ่ยอิ่งได้กลิ่นก็รู้สึกพอใจอย่างยิ่ง
“หนุ่มน้อยมาจากที่ใดหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
นางยกจอกสุราขึ้นดื่มอย่างสบายอารมณ์
“ไม่สู้ถามออกมาตรงๆ เลยว่าข้ามาทำอะไรที่นี่”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ยังต้องถามอีกหรือ ปกติมีคนแค่สองประเภท”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ย
“ประเภทแรกคือคนที่หลบหนี อีกประเภทคือคนที่มาสืบความ?”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
นี่เป็นสิ่งที่ขอทานอ้วนน้องชายของเถ้าแก่บอกเขาไว้
“ถูกต้อง! พวกคนหลบหนี พวกเราไม่ชอบ…แม้พวกเขาจะร่ำรวยก็ตาม อย่างน้อยก็ในตอนแรก แต่พอมีคนเช่นนี้ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ก็ย่อมทำให้คนรู้สึกหวาดกลัว…”
เถ้าแก่เนี้ยพูดด้วยความไม่พอใจ
“ดูเหมือนเจ้าชอบประเภทที่สองนะ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“ไม่ผิด! คนประเภทที่สองอาจไม่ร่ำรวยเหมือนคนประเภทแรก แต่พวกเขาจะทำให้เราได้กำไรเล็กๆ น้อยๆ แน่นอน!”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าวพลางหัวเราะ
“แล้วเจ้าว่าข้าเหมือนคนประเภทไหน”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“เจ้าเลี้ยงสุราสวีเหล่าซื่อ แสดงว่าต้องการถามข้อมูล แต่ไม่ว่าเจ้าจะเลี้ยงเขามากเท่าไร เขาก็ไม่มีทางบอกอะไรเจ้า”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“เหตุใดเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
“เพราะไม่มีใครรู้มากกว่าข้า อีกอย่างแค่ดื่มสุรา ไม่พอจะทำให้เขาบอกอะไรเจ้าได้หรอก”
เถ้าแก่เนี้ยกล่าว
“ดูเหมือนข้าต้องถามเจ้าแล้วกระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งพูด
“เจ้าอยากถามอะไรข้า”
เถ้าแก่เนี้ยแลบลิ้นเลียขอบจอกสุราเบาๆ แล้วถาม
“ทุกเรื่องของที่นี่”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“ข้าไม่ใช่คนลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติด้วยสิ”
เถ้าแก่เนี้ยพูด
“เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถใช้เงินซื้อเจ้าได้”
หลิวรุ่ยอิ่งพูด
“ข้าน่ะมัวเมาสุรา และลุ่มหลงสวาท!”
เถ้าแก่เนี้ยพูดพลางหัวเราะออดอ้อน
“บังเอิญเสียจริง ข้าก็เหมือนกัน! แต่เมื่อคนสองคนที่ติดสุราหลงสวาทมาเจอกัน ไม่ใช่ว่าจะมีเรื่องให้คุยไม่จบหรอกหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เจ้า? ติดสุราอาจจะใช่ แต่เจ้าไม่มีทางลุ่มหลงสวาทหรอก!”
เถ้าแก่เนี้ยยื่นมือมาจิ้มปลายจมูกของหลิวรุ่ยอิ่งแล้วพูด
“ลุ่มหลงสวาทหรือไม่ย่อมขึ้นอยู่กับบุคคล! สตรีสองคนก่อนหน้านี้ก็ไม่นับว่าเท่าไร!”
หลิวรุ่ยอิ่งจับมือเถ้าแก่เนี้ยแล้วกล่าว
“แม้เจ้าจะติดสุราหลงสวาท แต่ดูเหมือนว่าสุราจะมาก่อน! มา ดื่มกันก่อนเถิด!”
เถ้าแก่เนี้ยดึงมือออกมาเบาๆ แล้วพูด
ในช่วงชุลมุนนั้น หลิวรุ่ยอิ่งเห็นกำไลหยกชิ้นหนึ่งที่ข้อมือของเถ้าแก่เนี้ย
ทั้งยังเป็นชนิดเคลือบแก้วสีน้ำเงินที่คุณภาพดีที่สุด
กำไลหยกเช่นนี้ ในอาณาจักรเจิ้นเป่ยสามารถซื้อเมืองเล็กๆ ทั้งเมืองได้
แต่ตอนนี้กลับสวมอยู่บนข้อมือของเถ้าแก่เนี้ยที่เหมืองแร่รกร้างห่างไกล
“งามหรือไม่”
เถ้าแก่เนี้ยยกมือขึ้นอวดกำไลหยกบนข้อมือแล้วถาม
“งามมาก!”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
“คนงามหรือกำไลงามกันแน่”
เถ้าแก่เนี้ยเอียงตัวกระซิบข้างหูหลิวรุ่ยอิ่งแล้วถาม
พูดจบ นางยังแลบลิ้นออกมาเลียหูของหลิวรุ่ยอิ่งเบาๆ อีกด้วย
“ม้าดีต้องมาพร้อมกับสตรีงาม ดาบหอกของขลังควรมอบแก่วีรบุรุษ สิ่งดีๆ ก็ต้องมีผู้ครอบครองที่เหมาะสม! กำไลหยกนี้หากสวมอยู่บนข้อมือของเถ้าแก่เนี้ย ก็งดงามหาใดเปรียบ!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
ทันใดนั้น กลิ่นหอมของเนื้อสุกโชยมา
หลิวรุ่ยอิ่งจึงเห็นว่าเถ้าแก่อ้วนกำลังถือจานเนื้อขนาดใหญ่เดินมาจากหลังร้าน
ทุกคนต่างรู้สึกหิว
พอเห็นจานเนื้อใบใหญ่ ต่างพากันกลืนน้ำลายอึกใหญ่
หลิวรุ่ยอิ่งจึงเชื้อเชิญทุกคนมากินเนื้อ
ตัวเขาเลือกที่จะดื่มสุราต่อ
“เจ้าไม่กินเนื้อหรือ”
เถ้าแก่เนี้ยเอ่ยถาม
“ข้ายังไม่หิว”
หลิวรุ่ยอิ่งตอบ
แต่เถ้าแก่เนี้ยก็ยังใช้มือหยิบเนื้อม้าส่วนที่ติดมันป้อนให้หลิวรุ่ยอิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งจึงอ้าปากรับเนื้อที่นางป้อนให้
“รสชาติไม่เลว!”
“แน่นอน! เนื้อม้าที่ข้าเลือกมานั้นคัดเฉพาะส่วนที่ดีที่สุดของขาม้าเท่านั้น!”
เถ้าแก่อ้วนกล่าวอย่างอารมณ์ดี
เขามีความสุขมากเมื่อได้ยินคนอื่นชื่นชมสิ่งที่เขาทำ
รอยยิ้มครั้งนี้ เต็มไปด้วยความจริงใจถึงแปดส่วน
…………………………………………….