ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 295 ผ้าขาวกับของขวัญงานเลี้ยงวันเกิด-1
บทที่ 295 ผ้าขาวกับของขวัญงานเลี้ยงวันเกิด-1
แม้ว่าวิหคทมิฬจะชักกระบี่ออกมาแล้ว
แต่ยังลังเลไม่ยอมลงมือ
เขารู้สึกว่าความดื้อรั้นของหวาหนงช่างเหมือนกับตัวเขาในอดีต
อันที่จริงไม่ว่าใครก็ล้วนหาส่วนที่คล้ายคลึงกับตนเองได้จากหวาหนง
เพราะหวาหนงเป็นตัวแทนของความสมบูรณ์แบบ
ทุกสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของมนุษย์ เขามีครบถ้วน
และไม่เคยเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
เขาปรารถนาที่จะได้รับการยอมรับ
ทั้งยังเรียนรู้การร่ำสุรา
หลงใหลในเงินทองและหญิงงาม
บุรุษทุกคนในโลกนี้ก็เป็นเช่นนี้
ก็เหมือนกับมือของเราที่เปิดเผยตลอดเวลา
ผิวบนมือของคนเราย่อมไม่ได้ขาวสะอาดเหมือนส่วนอื่นที่ถูกปกปิดด้วยอาภรณ์หนาๆ
มีเพียงมือเท่านั้นที่โดนลมโดนแดดทุกวัน
แต่วิหคทมิฬนั้น แม้กระทั่งมือก็ยังสวมถุงมืออยู่เสมอ
คนที่ไม่อยากเผยแม้แต่มือของตน ภายในใจของเขาอย่างน้อยๆ ก็ต้องมีส่วนที่บิดเบือนอยู่
จู่ๆ วิหคทมิฬก็เก็บกระบี่เข้าฝัก
เขาถอดถุงมือออกช้าๆ
มือของเขาขาวมากจริงๆ
และยังนุ่มอีกด้วย
ผิวพรรณนวลเนียนราวน้ำนม
มือที่งดงามเช่นนี้ ไม่ควรใช้ถือกระบี่
หากทำงานปักผ้า คงจะเป็นเรื่องที่น่าปีติยินดีไม่น้อยทีเดียว
“ใส่ถุงมือกับถอดถุงมือต่างกันอย่างไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
วิหคทมิฬส่ายหัว
แต่หลิวรุ่ยอิ่งเข้าใจดี ต้องมีความแตกต่างมากเป็นแน่
ตอนที่ใส่ถุงมือ แรงและมุมในการใช้กระบี่จะต่างกัน
หากคนผู้หนึ่งชินกับการใส่ถุงมือ เมื่อจู่ๆ ถอดมันออก การจับกระบี่จะคลาดเคลื่อนไปอย่างแน่นอน
เขาเริ่มเดินเข้าหาหวาหนงอย่างช้าๆ
แม้ว่าเขาจะรู้สึกเหนื่อยล้า
แต่กระบี่ในมือเขาไม่รู้สึกเหนื่อย
ถุงมือถูกถอดออก
กระบี่ยาวกลับมาอยู่ในมืออีกครั้ง
กระบี่สีดำทมิฬกับมือที่ซีดเผือด
กระบี่ของวิหคทมิฬไม่เคยห่างจากมือเขา
ไม่ว่าเขาจะทำอะไร
กระทั่งขณะนอนกับสตรี เขาก็ยังใช้มืออีกข้างจับกระบี่ไว้
แต่หวาหนงไม่เหมือนกัน
หวาหนงจับกระบี่น้อยมาก
เพียงชั่วคราวเท่านั้น
แต่ไหนแต่ไรมาเขาเคยชักกระบี่เพียงหนเดียว
“หวาหนง…สกัดกระบี่ของเขาไม่ได้”
เยว่ตี๋เอ่ยออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
คำพูดนั้นเบามาก พูดด้วยความระมัดระวัง
มีเพียงหลิวรุ่ยอิ่งที่ยืนอยู่ข้างกายเท่านั้นที่ได้ยิน
“ข้ารู้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“แล้วเหตุใดเจ้าไม่ขึ้นไปห้ามเขา”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
“บางอย่าง หากไม่ถึงวินาทีสุดท้าย เขาก็ไม่เข้าใจ ข้าสามารถห้ามเขาได้ครั้งหนึ่ง แต่ไม่สามารถติดตามเขาไปตลอดชีวิต”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวต่อ
ไม่เพียงแค่เขาที่ทำไม่ได้
แม้แต่เซียวจิ่นข่านอาจารย์ของเขาเองก็ทำไม่ได้
ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์ก็ต้องพึ่งพาตนเอง
เมื่อระยะห่างระหว่างทั้งสองคนเริ่มลดน้อยลง
บรรยากาศการเข่นฆ่าก็เริ่มเข้มข้นขึ้น
เสื้อคลุมของวิหคทมิฬสะบัดไปตามปราณกระบี่
หวาหนงมองวิหคทมิฬที่ค่อยๆ เดินเข้ามา ทันใดนั้นเขาก็ชักกระบี่ออกมา
แสงกระบี่ระยับงดงาม
ทว่าวิหคทมิฬกลับยังไม่ออกกระบี่
ราวกับทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าไม่เกี่ยวข้องกับเขา
แสงกระบี่อันเจิดจ้าของหวาหนง แม้จะมองเห็นได้ชัด
ดวงตาสีดำขลับของเขาค่อยๆ กัดกร่อนและกลืนกินไปทีละน้อย
แสงกระบี่ของหวาหนงโฉบผ่านไป
ต้นไม้แห้งเหี่ยวเบื้องหลังวิหคทมิฬต่างกิ่งก้านหล่นร่วงลงมาเป็นทิวแถว
เสมือนลูกปัดที่ขาดจากเส้นด้าย
เสียงเสียดสีดังขึ้น
ตามด้วยเสียงกรีดร้องที่แสนสะเทือนขวัญ!
นั่นคือเสียงกรีดร้องของนายท่านจาง
แสงกระบี่สายนี้ของหวาหนงไม่เพียงทำให้ต้นไม้แห้งเหี่ยวเบื้องหลังของวิหคทมิฬหักลง
แต่ยังทำให้นายท่านจางสูญเสียหูข้างหนึ่งไปด้วย
วิหคทมิฬหยุดฝีเท้าลง
ไม่มีใครเห็นชัดว่าเขาถูกกระบี่แทงหรือไม่
แต่บนกระบี่ของหวาหนงไม่มีเลือด
และไม่สามารถแทงเข้าคอหอยของวิหคทมิฬได้
เดิมกระบี่นี้ไม่ได้แทงออกไป
แต่เป็นการฟันออกไปในแนวขวาง
“เจ้าไปเถอะ”
วิหคทมิฬเอ่ยปากพูด
เขาไม่ตาย
แน่นอนหวาหนงรู้ผลลัพธ์นี้อยู่ก่อนแล้ว
รู้ว่าตนไม่สามารถสังหารวิหคทมิฬได้
วิหคทมิฬไม่แม้แต่ขยับกระบี่เลยด้วยซ้ำ ยังสามารถป้องกันกระบี่นี้ของหวาหนงไว้ได้
“ก่อนหน้านี้ข้าตัดมือหลานของเจ้าไปแค่หนึ่งข้าง เจ้าก็ต้องการชีวิตของพวกเรา ตอนนี้ข้าตัดหูเขาไปอีกหนึ่งข้าง เจ้ากลับให้ข้าไปได้เช่นนั้นหรือ”
หวาหนงเอ่ยถาม
“มือข้างนั้นเป็นความผิดของพวกเจ้าจริงๆ แต่หูข้างนี้เป็นความผิดของเขาเอง”
วิหคทมิฬตอบ
เขาพูดเช่นนี้ แต่สายตากลับจับจ้องไปยังเยว่ตี๋
“เจ้าจำข้าได้แล้วหรือ”
เยว่ตี๋ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวพร้อมเอ่ยถาม
วิหคทมิฬพยักหน้า
“เพิ่งนึกขึ้นได้ ฉะนั้นมือข้างนั้นแม้จะเป็นความผิดของพวกเจ้า แต่ก็เสียหายไม่มาก”
“เขาเรียกเจ้าว่าอีกา เจ้าทนได้หรือ”
เยว่ตี๋เอ่ยถาม
วิหคทมิฬไม่ได้เอ่ยสิ่งใด
แต่ใช้กระบี่สวนกลับ
พลังสั่นสะเทือน แสงกระบี่กระจายออกไป
คนสิบกว่าคนที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา นอกจากนายท่านจางแล้ว ต่างล้มลงกับพื้นทั้งหมด
คอหอยมีรอยกระบี่ขนาดเล็ก
แต่ลึกเข้าไปถึงเนื้อ
พวกเขากุมคอตัวเองไว้แน่นเหมือนรั้งชีวิตที่กำลังจะหลุดลอยไป
แต่ก็ยังไม่สามารถห้ามเลือดสดที่ไหลออกมาได้
ไม่นานเสียงกระอักเลือดจึงค่อยๆ เงียบลง
วิหคทมิฬหันหลังเดินจากไป
เขาหยิบผ้าขาวผืนหนึ่งออกจากอก
แล้วคลุมลงบนร่างกายของทุกคนที่นั่น
“เหตุใดเจ้าจึงเตรียมผ้าขาวไว้มากมายเช่นนี้”
หวาหนงเอ่ยถาม
“เพราะข้าไม่รู้ว่าในแต่ละวันจะต้องฆ่าคนไปเท่าไร ข้าจึงพกมากกว่าที่จำเป็น”
วิหคทมิฬตอบ
“แล้วเหตุใดเจ้าไม่ฆ่าข้าล่ะ พวกเขาต่างก็ตายหมดแล้ว แต่พวกเรายังรู้ว่ามีคนเรียกเจ้าว่าอีกา”
หวาหนงเอ่ยถาม
“เพราะพวกเจ้าจะไปร่วมงานเลี้ยงวันเกิดสหายข้า ผู้ที่ไปฉลองวันเกิดสหายข้า ข้าไม่ต้องการเข่นฆ่า หากจะฆ่าก็ต้องรอหลังจากงานเลี้ยงเสร็จสิ้น”
วิหคทมิฬตอบ
“เจ้าให้ความสำคัญกับสหายผู้นี้ขนาดนั้นเชียวหรือ”
หวาหนงเอ่ยถาม
“สหายทุกคน ข้าล้วนใส่ใจทั้งสิ้น หากเจ้าเป็นสหายของข้า ข้าก็ไม่ถือสาที่จะเรียกข้าว่าอีกา”
วิหคทมิฬกล่าว
แม้ว่าใบหน้าของเขาจะถูกผ้าสีดำคลุมไว้
แต่หลิวรุ่ยอิ่งสังเกตเห็นหางตาของเขายกขึ้นเล็กน้อย
เขากำลังยิ้มอย่างแน่นอน
“หลังจากงานเลี้ยงเสร็จสิ้น หากเจ้ามาหาข้า ข้ารับรองว่าจะไม่หลบหนี”
หวาหนงกล่าว
แต่วิหคทมิฬจากไปแล้ว
เขาเดินออกจากป่าไม้แห้งเหี่ยวนี้
มุ่งไปยังทิศทางของเมืองหยางเหวิน
“ท่านคงคิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนเช่นนี้กระมัง”
หลิวรุ่ยอิ่งถามเยว่ตี๋
“คิดไม่ถึง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องคิด”
เยว่ตี๋ตอบ
“แล้วควรจะนึกถึงอะไรหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถามต่อ
“ควรนึกถึงของขวัญที่จะนำไปให้ในงานเลี้ยงวันเกิดคืนนี้ว่าจะมอบสิ่งใดให้เจ้าของงาน”
เยว่ตี๋กล่าว
“กระบี่ของเขาช่างเหมือนวิหคจริงๆ”
หวาหนงกล่าว
“เคลื่อนไหวอย่างพริ้วไหวสง่างามเหมือนวิหคหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
“ไม่ใช่ มันเหมือนวิหคที่แม้ในเวลาขี้เกียจก็ยังพล่ามไม่หยุด”
หวาหนงตอบ
หลิวรุ่ยอิ่งไม่เข้าใจความหมายของคำพูดนี้
ทว่าเจตจำนงแห่งกระบี่ยังคงวนเวียนอยู่รอบตัววิหคทมิฬตลอดเวลา ไม่มีลดละเลยแม้แต่น้อยและเขาก็รับรู้ได้
“ไปดูที่ตลาดในเมืองดีกว่าว่ามีของขวัญอะไรที่เหมาะสมบ้าง…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เยว่ตี๋ก็พยักหน้าเห็นด้วย
……………………
ในเมืองหยางเหวิน
ที่อาคารของกรมสอบสวนกลาง
จิ้นเผิงหัวหน้าอาคารเพิ่งจะตื่นนอน
เขาผลักหน้าต่างออก
“เป็นอีกวันที่มีแดดส่องสว่างและท้องฟ้าใส!”
จิ้นเผิงพึมพำกับตัวเอง
แสงแดดสาดส่องเข้ามาในห้องผ่านหน้าต่างที่เปิดออก
สาดส่องไปยังลำตัวเปลือยเปล่าท่อนบนของเขา
และสาดส่องไปถึงเรือนร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงด้านหลังเขาเช่นกัน
…………………………………………………………………………………