ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 284 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-11
บทที่ 284 สุราเย็นกับเบี้ยหวัด-11
คืนวสันต์
ฝนวสันต์
แม้ต่างกล่าวกันว่าฝนวสันต์อ่อนละมุนล้ำค่าเทียมน้ำมัน
แต่ในแดนพายัพ
ไม่มีสิ่งใดอ่อนละมุน
ทุกสิ่งล้วนเป็นความแข็งกร้าวที่สุดโดยไม่มีสิ่งอื่นเจือปน
ฝนวสันต์นุ่มละมุนในที่แห่งอื่น ยามนี้เป็นดั่งเข็มเงินเล่มเล็กร่วงลงจากฟ้า
แทงทะลุทั่วร่างของหลิวรุ่ยอิ่งและหวาหนงตั้งแต่หัวจรดเท้า
คนทั้งสองเดินเปียกชุ่มเป็นลูกสุนัขตกน้ำอยู่บนถนน
รถม้า?
ไม่มีนานแล้ว
นอกจากรถม้าที่บรรทุกเบี้ยหวัด ทุกสิ่งนอกเหนือจากนั้นล้วนถูกรังสีดาบของจิ้งเหยาและรังสีกระบี่ของหลิวรุ่ยอิ่งฟันจนแหลก
พวกเขารอดชีวิตมาได้อย่างไร
หวาหนงมองไม่ถนัดตา
ตอนที่เขาตั้งสติได้ ก็รู้สึกแค่ว่าแขนของตนถูกแรงมหาศาลดึงเอาไว้
จากนั้นก็มาอยู่บนถนนแล้ว
ทั่วฟ้าเริ่มหลั่งฝน
หวาหนงมองหลิวรุ่ยอิ่งด้วยความฉงนยิ่ง
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับมีสีหน้าสงบ
ด้วยเหตุนี้หวาหนงจึงกลั้นใจไม่ถาม
ในเมื่อเขาเรียนรู้ที่จะหัวเราะและร้องไห้ ย่อมต้องเข้าใจเรื่องความอดทน
เรื่องบางเรื่อง
เมื่อผู้อื่นไม่พูด
เช่นนั้นก็ไม่ต้องถาม
หรือต่อให้ถามแล้ว
ก็ไม่แน่ว่าจะตอบ
หากอยากให้เขารู้
ไม่ต้องรอให้เขาถาม
หลิวรุ่ยอิ่งก็จะบอกเอง
ฝนยามค่ำคืนในวสันตฤดูมักทำให้คนเป็นทุกข์
โดยเฉพาะในสถานที่ซึ่งข้างหน้าไร้หมู่บ้าน ข้างหลังไร้ร้านรวงแห่งนี้
หวาหนงเห็นว่าไกลออกไปข้างหน้าคล้ายมีเขาลูกหนึ่ง
แต่เพราะถูกปกคลุมด้วยความชื้นจากฝนจึงมองเห็นไม่ชัดเจน
ยอดเขาอ้างว้างเหมือนกับถนนลูกรังลาดเอียงใต้เท้า
ข้อดีเพียงประการเดียวก็คือฝนห่านี้ทำให้ถนนลูกรังไม่มีฝุ่นคลุ้ง
แต่ก็ทำให้เต็มไปด้วยโคลนเละ
คนทั้งสองเดินไปอย่างช้าๆ
เดินๆ ไป
ทันใดนั้นหลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกว่าใต้เท้าตนรู้สึกแข็งทื่อ
เขาโน้มตัวลงมองพื้นอย่างละเอียด
และพบว่านี่เป็นถนนเส้นเล็กๆ ที่ใช้ก้อนหินเรียบปูเอาไว้
ก่อนหน้านี้คงถูกดินกลบเอาไว้ จึงไม่อาจเผยร่องรอยให้เห็น
แต่เนื่องจากตอนนี้น้ำฝนซัดสาดจึงเผยโฉมหน้าเดิมออกมา
หลิวรุ่ยอิ่งตัดสินใจว่าจะเดินไปตามถนนที่ปูด้วยหินสายนี้
ไม่ว่าปลายทางจะเป็นที่ใด
ที่ที่มีถนนหิน อย่างน้อยก็ต้องมีบางอย่างอยู่ที่นั่น
ไม่ว่าอย่างไร ก็จะต้องหลบฝนห่าใหญ่ในคืนนี้ไปให้ได้เสียก่อนค่อยว่ากัน
เมื่อเดินมาถึงจุดเริ่มต้นของถนนหิน
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นศาลเจ้าแห่งหนึ่ง
ไม่ได้ทรุดโทรมทีเดียว
เสาประตูเพิ่งทาสีใหม่ด้วยซ้ำ
แต่มองจากภายนอกกลับไม่รู้ว่าที่แห่งนี้กราบไหว้เทพเซียนสายใด…
ท่าทีที่หลิวรุ่ยอิ่งมีต่อศาลเจ้าไม่ต่างจากทังจงซงสักเท่าใด
แต่ไม่ได้สุดขั้วเช่นเขา
ทังจงซงถึงขั้นเอาของสกปรกไปสาดใส่ประตูศาลเจ้า
แต่หลิวรุ่ยอิ่งเพียงไม่รับและไม่ปฏิเสธเท่านั้น
คนที่นับถือเขาไม่ได้รังเกียจ
ส่วนตัวเขาเองไม่นับถือแต่ก็ไม่ไปลบหลู่เช่นกัน
นี่ไม่ใช่การวางตัวที่สมบูรณ์แบบที่สุดแล้วหรอกหรือ
ทุกคนทุกความคิดล้วนควรค่าต่อการเคารพ
การสังหารคนก็ไม่ได้นอกเหนือจากนี้
หากเจ้าจำเป็นต้องสังหารคนสักคน คนที่ต้องเกลี้ยกล่อมเป็นคนแรกก็คือตนเอง
เกลี้ยกล่อมผู้อื่นง่ายดายนัก
แต่เกลี้ยกล่อมตนเองกลับแสนยากเย็น
ก็เหมือนยามบางคนพูดโกหก เพียงอ้าปากก็พูดออกมาได้ทันที
ไม่จำเป็นต้องเตรียมตัวใดๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถใช้คำโกหกคำแล้วคำเล่าเรียงร้อยออกมาให้ถ้อยคำทั้งหมดครบถ้วนสมบูรณ์ได้ในที่สุด
แต่คนที่โป้ปดกลับยากจะหลอกตนเองได้
หากแม้แต่ตนเองก็ยังเชื่อ
เกรงว่าคงเกินขอบเขตของคำโกหกไปแล้ว
แม้เขาจะไม่เชื่อเรื่องเทพ
แต่หลิวรุ่ยอิ่งก็ยังโยนก้อนเงินแตกจำนวนหนึ่งลงไปในหีบทำบุญตรงหน้าประตูศาลเจ้า
ยามค้างแรมในโรงเตี๊ยมก็ยังต้องมีค่าห้องพัก
เมื่อมาหลบฝนในศาลเจ้า ก็นับว่าเป็นการยืมพื้นที่ผู้อื่นมาทำกิจของตน
เงินทองเล็กน้อยไม่ได้เสียหายอะไรมากมาย
เพียงแต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับเห็นแสงตะเกียงรำไรอยู่ภายในศาลเจ้า
หรือว่ายังมีคนคอยเฝ้าศาลเจ้าแห่งนี้อยู่ทั้งกลางวันและกลางคืน?
ต้องรู้ว่าโลกหล้าปัจจุบันนี้
นอกจากเงินทองแล้ว ผู้คนจะยอมศิโรราบต่อกระบี่เท่านั้น
ผู้ที่คร่ำเคร่งอ่านหนังสือหรือเคารพกราบไหว้เทพอยู่ทุกวันมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อยแล้ว
หากเป็นเช่นนี้จริง หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกขึ้นมาอีกว่าเมื่อครู่เขาให้เงินน้อยไปเสียแล้ว
ไม่ว่าการบูชาเทพเซียนนี้จะมีความหมายหรือไม่
แต่คนที่สามารถทำเรื่องเรื่องหนึ่งอย่างแน่วแน่ก็นับว่ายิ่งใหญ่นัก
และควรค่าให้ผู้คนนับถือ
เพียงแต่ในเมื่อมองเห็นแสงตะเกียง
หลิวรุ่ยอิ่งจึงไม่ได้ผลักประตูเข้าไปในทันใด
เขาเคาะประตูเบาๆ
อยากรอให้คนข้างในศาลเจ้าตอบกลับมาสักคำ
ในเวลาเดียวกันเขาก็กุมกระบี่เอาไว้แน่น
ความจริงแล้วเขาไม่สามารถกุมกระบี่เอาไว้ได้แล้ว
มีเพียงตัวเขาเองที่รู้
หากไม่ใช้เวลาสามถึงห้าวัน แขนขวาของเขา เกรงว่าแม้แต่จับพู่กันก็ยังเป็นเรื่องที่ยากเย็นจนผิดปกติ
แต่ไม่ว่ายามใดล้วนต้องมีแผนสำรองเผื่อเอาไว้
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะเหลือพลังปราณอยู่กี่มากน้อย
หลิวรุ่ยอิ่งก็จะพยายามกุมกระบี่เอาไว้สุดกำลังของตน
นึกไม่ถึงว่าประตูศาลเจ้ากลับบอบบางนัก
เขาแค่เคาะเบาๆ บานประตูก็เปิดออกกว้างเท่าฝ่ามือแล้ว
เมื่อเห็นเช่นนี้
หลิวรุ่ยอิ่งจึงได้แต่ต้องเดินเข้าไป
เพียงแต่ครั้งแรกที่เขาเข้าไปในศาลเจ้า
แม้บอกไม่ได้ว่าตื่นเต้น
แต่ก็ค่อนข้างขัดเขิน
เมื่อเดินเข้าไปในโถงใหญ่ของศาลเจ้า
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าบนแท่นบูชามีเทวรูปองค์หนึ่ง
แม้หลิวรุ่ยอิ่งจะไม่เคยเข้าศาลเจ้ามาก่อน
แต่เขาก็สัมผัสได้ถึงเส้นสนกลในอย่างหนึ่ง
นั่นคือเทวรูปค่อนข้างเล็กไปหน่อย…
เมื่อเทียบกับโถงที่กว้างใหญ่นับว่าไม่ได้สัดส่วนเท่าไรนัก
ข้างล่างแท่นบูชามีโต๊ะเซ่นไหว้สามตัว
บนนั้นมีอาหาร เนื้อ และผลไม้ที่สดใหม่อย่างยิ่งจัดวางอยู่
มองปราดเดียวก็รู้ว่ามีการเปลี่ยนใหม่ทุกวัน
ส่วนแสงตะเกียงที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้ก็คือตะเกียงน้ำมันที่จุดเอาไว้บนโต๊ะเซ่นไหว้นั่นเอง
“ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ต้องกราบไหว้ตามข้าก่อน”
หลิวรุ่ยอิ่งบอกกับหวาหนง
“เหตุใดต้องกราบไหว้เขา”
หวาหนงถาม
“เพราะที่แห่งนี้เป็นอาณาเขตของเขา”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“เขาเป็นเพียงรูปปั้นเท่านั้น หาใช่คนจริงไม่”
หวาหนงกล่าว
ศาลเจ้าเช่นนี้เขาพบเห็นมามากแล้ว
ศาลเจ้าทรุดโทรมในป่าภูเขา เรียกได้ว่ามีประปรายนับไม่ถ้วน
และศาลเจ้าเหล่านั้นก็มักเป็นที่พักพิงกายของเขา
โต๊ะบูชาในศาลเจ้าก็คือเตียงของเขา
ส่วนที่ว่างด้านหลังรูปปั้นก็คือห้องสุขาของเขา
ฉะนั้นหวาหนงย่อมไม่เห็นว่าศาลเจ้าเหล่านี้เป็นเรื่องสลักสำคัญอันใด
“จะเป็นคนจริงหรือไม่ ที่นี่ก็เป็นที่ของเขา พวกเรานับว่าเป็นแขกต่างถิ่นที่บังเอิญได้มาพานพบและผ่านมาหลบฝนเท่านั้น ในเบื้องต้นการให้ความเคารพผู้อื่นก็ยังต้องทำอยู่!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
แม้ว่าในใจของหวาหนงยังคงไม่เห็นด้วยเท่าไรนัก
แต่เมื่อเห็นว่าหลิวรุ่ยอิ่งมีท่าทีหนักแน่น
ก็ไหว้เทวรูปนี้สามครั้งตามเขาไป
“ของพวกนี้กินได้หรือไม่”
เห็นชัดว่าหวาหนงหิวแล้ว
เขาชี้ไปที่ผลไม้และเนื้อบนโต๊ะบูชาพลางเอ่ย
“เจ้าเอาก้อนเงินนี่โยนลงในหีบทำบุญหน้าประตูก่อน จากนั้นเจ้าอยากกินก็กินเถิด”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขายื่นก้อนเงินสิบตำลึงก้อนหนึ่งให้หวาหนง
หวาหนงรับมา ตอบรับคำหนึ่งแล้วเดินไปตรงหน้าประตู
“ฮ่าๆๆ! นายกองหลิวช่างไม่ธรรมดาดังคาดจริงๆ!”
จู่ๆ ก็มีเสียหัวเราะดังมาจากข้างหลังหลิวรุ่ยอิ่ง!
เขาหันหลังไปพลางชักกระบี่ออกมาด้วยความตกใจ
แต่เมื่อหันหลังไปมองกลับพบว่าไม่มีคนสักคน
หลิวรุ่ยอิ่งไม่กล้าผ่อนความระแวดระวังตัวลง
เขามองไปรอบตัวด้วยความระแวง
แต่ก็ยังไม่มีคนสักคน
เขาคิดว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ตอนใช้กระบี่คราวก่อนทำให้เสียกำลังมากเกินไป
จึงทำให้เกิดภาพหลอนในหัว
แต่สีหน้าของหวาหนงกลับบอกเขาว่านี่ไม่ใช่ภาพหลอน
เพราะเขาก็ได้ยินเช่นกัน
ในยามที่อ่อนล้าที่สุดจนเกิดภาพหลอนเป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้
หรือต่อให้คนสองคนเกิดภาพหลอนขึ้นในเวลาเดียวกัน ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
แต่หากคนทั้งสองเกิดภาพหลอนเช่นเดียวกันในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าอย่างไรหลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่เชื่อเด็ดขาด
หากเป็นผู้อื่นอาจบอกว่านี่เป็นการแสดงอิทธิฤทธิ์ของเทพเซียนทำนองนั้น
แต่เดิมทีหลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่เชื่อเรื่องผีสางเทวดา
ดังนั้นในศาลเจ้าแห่งนี้นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว จะต้องมีคนอยู่อีกผู้หนึ่งเป็นแน่
เวลานี้เอง
จู่ๆ เทวรูปที่นั่งอยู่บนแท่นสูงก็ขยับตัว
เขาลุกขึ้นมาจากที่นั่ง
สีหน้าแสดงอารมณ์
นี่หาใช่เทวรูปอย่างใด
แต่เป็นคนจริงๆ!
แม้ว่าบนใบหน้าจะทาด้วยสีทองและสองมือที่ยื่นออกมาตกแต่งด้วยผงสีทอง
แต่จะอย่างไรเขาก็เป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง
เพียงแต่แสร้งทำเป็นเทวรูปและนั่งอยู่บนแท่นบูชาก็เท่านั้น
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นคนที่มีรูปร่างเล็กเตี้ย
คนผู้นี้ทาสีทองบนใบหน้าไว้หนาเหลือเกิน
หลิวรุ่ยอิ่งจึงมองใบหน้าที่แท้จริงของเขาไม่ชัดเจน
แต่น้ำเสียงเมื่อครู่นี้ เมื่อย้อนนึกถึงกลับรู้สึกค่อนข้างคุ้นหู
ไม่รู้ว่าเคยได้ยินที่ใดมาก่อน
‘เทวรูป’ ก้าวลงมาจากแท่นบูชาทีละก้าว
แต่หลิวรุ่ยอิ่งกลับถอยไปทีละก้าวตามการเคลื่อนไหวของเขา
ประตูศาลเจ้าที่เปิดตอนเข้ามาเมื่อครู่นี้ยังไม่ได้ปิดลง
หากเป็นหลิวรุ่ยอิ่งต้องการ เขาก็สามารถหลบหนีออกไปได้ทุกเมื่อ
แต่ในสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ชัดว่าอีกฝ่ายมีจุดประสงค์ใด หลิวรุ่ยอิ่งจะไม่บุ่มบ่ามโดยเด็ดขาด
การกระทำใดๆ ในเวลานี้ล้วนเป็นการบุ่มบ่ามทั้งสิ้น
แม้แต่การออกไปจากที่นี่ก็ด้วย
ในชั่วพริบตาที่หันหลังไปก็ถือว่ามอบโอกาสให้อีกฝ่ายได้ฉกฉวยแล้ว
ทว่าสภาพภายในกายของเขาเวลานี้ ไม่สามารถทานรับต่ออันตรายใดๆ ได้โดยสิ้นเชิง…
ตัวเขาอาจสามารถอาศัยกระบี่แสนว่องไวของหวาหนงได้บ้าง
แต่หลิวรุ่ยอิ่งจะให้ศิษย์หลานของตนไปเสี่ยงได้อย่างไร
‘เทวรูป’ เดินลงมาจากแท่นบูชา
ดึงมีดเล็กๆ ออกมาจากตรงเอว
นี่เป็นมีดขนาดเล็กเล่มหนึ่ง
มีความยาวเท่านิ้วชี้เท่านั้น
ทว่าหากรู้จักใช้งานให้ดีก็สามารถสังหารคนได้
แต่แน่ชัดว่า ‘เทวรูป’ หาได้ใช้มีดเล่มนี้มาสังหารคน
หากแต่หยิบผิงกั่วจากโต๊ะเซ่นไหว้มาลูกหนึ่ง
แล้วเริ่มใช้มีดเล็กเล่มนี้ปอกเปลือก
‘เทวรูป’ นี้มีฝีมือปอกผลไม้ที่สูงส่งทีเดียว
ปอกเปลือกผิงกั่วทั้งลูกแต่กลับทำให้เปลือกของมันกลายเป็นเส้นยาวต่อกันได้โดยไม่ขาด
หนำซ้ำเปลือกผิงกั่วที่ถูกปอกออกไปก็เหมือนกับการถอดเสื้อผ้าของผิงกั่วออกชั้นหนึ่ง
ทั้งเสมอกันและบางยิ่งนัก
………………………………………