ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 268 หยุดพักใหญ่น้อย-1 [ภาคที่ 2 บทเพลงแห่งชัยชนะบรรเลง ณ เมืองหลวง]
- Home
- ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา
- บทที่ 268 หยุดพักใหญ่น้อย-1 [ภาคที่ 2 บทเพลงแห่งชัยชนะบรรเลง ณ เมืองหลวง]
[ภาคที่ 2 บทเพลงแห่งชัยชนะบรรเลง ณ เมืองหลวง] บทที่ 268 หยุดพักใหญ่น้อย-1
รถม้าคันหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนออกจากแดนสุขสัญจร
โดยมีม้าเฒ่าตัวหนึ่งลากไป
ทุกสองก้าวที่ย่างเดินจะมีเสียงหอบหนหนึ่ง
ราวกับว่าก้าวต่อไปจะล้มลงมาอย่างนั้น
ม้าตัวนี้แม้จะแก่ แต่ไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใด
กลับกันมันแข็งแรงอย่างยิ่ง
เกือกม้าทั้งสี่เท้าของมันเพิ่งใส่มาใหม่
เพิ่มความสง่างามให้ม้าเฒ่าตัวนี้หลายส่วน
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะได้รับแรงหนุนจากเกือกม้าใหม่นี้หรือไม่
แม้ว่าม้าเฒ่าตัวนี้จะค่อนข้างอ่อนล้า แต่ทุกก้าวกลับก้าวเดินอย่างมั่นคงเป็นที่สุด
เมื่อม้าก้าวย่างอย่างมั่นคง ตัวรถข้างหลังที่ม้าลากอยู่ย่อมต้องแล่นไปอย่างราบเรียบและมั่นคง
เพียงแต่เมื่อเทียบกับมาเฒ่าตัวนี้แล้ว รถคันนี้ช่างดูธรรมดาเหลือเกิน
ต่อให้เป็นคนมีปัญญาสักเท่าใดได้เห็น ก็ยังไม่สามารถคาดเดาฐานะของคนภายในรถได้ถูกต้อง
เมื่อพ้นแดนสุขสัญจร ก็มีลมพัดมาวูบหนึ่ง
เม็ดทรายในสายลมกระทบกับตัวรถไม่หยุดหย่อน
ม้าเฒ่าก้มหน้าลง หรี่ตา
ราวกับว่าคุ้นเคยกับทรายในสายลมนี้เป็นอย่างดี ฝีเท้าของม้าจึงไม่ได้ช้าลงแม้แต่น้อย
แม้ว่าตัวรถจะธรรมดาสามัญ
แต่กลับปิดสนิทยิ่งนัก
“ลมแรงเพียงนี้ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะไม่เข้ามานั่งข้างในรถ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
ที่แท้ข้างนอกรถยังมีคนผู้หนึ่งกำลังเดินอยู่
ฝีเท้าของคนไม่มีทางไล่ทันฝีเท้าม้า
ม้าเดินไปก้าวหนึ่ง อย่างน้อยคนต้องเดินสองก้าวครึ่ง
แต่คนผู้นี้กลับเดินตามม้าโดยไม่เหน็ดเหนื่อยแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถจับจังหวะและเดินไปพร้อมกับรถม้าได้อีกด้วย
“ภายในรถม้าเล็กเกินไป!”
หวาหนงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งออกจากหอทรงปัญญาแล้ว
เขาจะกลับไปรายงานที่กรมสอบสวนกลาง
ขามาเขามาเพียงผู้เดียว
แต่ขากลับมีหวาหนงเด็กหนุ่มผู้นี้ไปด้วย
คิดๆ ดูแล้วก็นับว่าเป็นโชคดี
ส่วนจิ่วซานปั้น
เดิมทีเขาอยากไปเที่ยวชมเมืองหลวงกับหลิวรุ่ยอิ่ง
แต่เพราะเขายังต้องเข้าร่วมการประเมินผลวัดระดับก่อน
ส่วนสหายคนอื่นๆ คงได้พบกันอีกในงานประชันพยัคฆ์มังกรวรรณกรรมเท่านั้น
หลิวรุ่ยอิ่งเองก็ไม่ได้ไปร่ำลาเป็นการเฉพาะ
เพราะเมื่อเขาไป ข่าวก็จะแพร่ออกไปเอง
“ภายในรถคับแคบ แต่ข้างนอกลมแรงนี่! ข้างในรถอย่างน้อยก็กันลมและทรายได้”
“ข้าไม่ชอบที่เล็กคับแคบ”
หวาหนงกล่าว
ก่อนสะดุ้งตกใจ เพราะกินทรายเข้าไปคำหนึ่ง
จากนั้นก็ไออย่างหนัก
ประจวบเหมาะกับที่หลิวรุ่ยอิ่งก็ไอขึ้นมาเช่นกัน
เขาไม่ได้ไอเพราะทรายเข้าปาก
แต่เป็นเพราะว่าเขารีบร้อนดื่มสุราจนสำลัก
ทั้งคู่ไออยู่พักหนึ่งถึงกลับมาเป็นปกติ
และลมที่พัดทรายมาวูบนั้นก็ผ่านไปแล้ว
เห็นชัดว่ารถม้าวิ่งได้เร็วขึ้นไม่น้อย
แต่หวาหนงยังคงเดินตามทัน
หลิวรุ่ยอิ่งเปิดม่านหน้าต่าง
จับจ้องที่สองขาของหวาหนง
แม้ม้าตัวนี้จะเป็นม้าแก่ตัวหนึ่ง
แต่เขาก็ยังอยากดูว่าสองขานี้เป็นเช่นใดกันแน่ ถึงสามารถวิ่งตามรถม้ามาได้สิบกว่าลี้โดยไม่ล่าช้ากว่าแต่อย่างใด
แต่ดูมาครึ่งค่อนวัน ก็ยังวิเคราะห์ไม่ได้ชัดเจน
ด้วยจนหนทางจึงปล่อยม่านลง กลับมานั่งที่ดีๆ อีกครั้ง
เมื่อพ้นแดนสุขสัญจร
หลิวรุ่ยอิ่งก็รู้สึกอ้างว้างอย่างยิ่ง
เขาไม่เคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
แต่เวลานี้เขามีภาระผูกพัน มีเสียงหัวเราะเบิกบาน
ทำให้กระโจนออกมาจากห้วงของความอ้างว้าง เมื่อหันหลังกลับไปมองอีกครั้ง จึงเพิ่งสัมผัสได้ว่าสิ่งใดคือความอ้างว้าง
มันไม่ใช่ความรู้สึกที่ทำให้คนรู้สึกสบาย
หลังจากความอ้างว้างก็คือความอ้างว้าง
อ้างว้างจนสิ้นแล้วก็จะอ่อนล้า
หลิวรุ่ยอิ่งง่วงแล้ว อยากนอนหลับ
แต่เขายังคงคำนึงถึงสุราครึ่งขวดในมือตนที่ยังดื่มไม่หมด
ตอนออกเดินทาง เขาขอรถม้าคันนี้จากเซียวจิ่นข่าน
และยังมอบม้าของตนให้จิ่วซานปั้น
แม้นั่นจะเป็นม้าของกรมสอบสวนกลาง แต่ด้วยความสัมพันธ์อันดีของเขากับชายชราเลี้ยงม้าผู้นั้น คิดว่าหากม้าหายไปสักตัวก็คงจะไม่เกิดเรื่องราววุ่นวายมากมายนัก
หลิวรุ่ยอิ่งถึงกับแต่งเรื่องไว้เป็นข้ออ้างหลายเรื่อง
แต่สุดท้ายหลังจากคิดทบทวนแล้ว กลับรู้สึกว่าตนเองน่าขันนัก
ม้าหายแล้วก็ให้หายไป มอบให้คนก็คือมอบให้คน
แค่ม้าตัวหนึ่งเท่านั้น
มีอะไรควรค่าให้ต้องวิตกนักหนา?
แต่หากไม่หาเรื่องมาให้วิตกบ้าง ความอ้างว้างของเขาก็จะยิ่งทวีคูณขึ้นอย่างสาหัส
จากปลายเท้าขึ้นมาถึงท้ายทอย
ค่อยๆ แผ่ขยายกลืนกินร่างกายและจิตวิญญาณของเขา
ข้างนอกอบอุ่นนัก
ภายในตัวรถจึงค่อนข้างอบอ้าว
เขาใช้มือลูบคอของตน
ความรู้สึกเย็นทำให้เขาสั่นสะท้านไปทั่วกาย
หลังจากถอนหายใจยาวๆ หนหนึ่ง จึงรู้สึกว่าความอ้างว้างนั้นถูกความเย็นนี้สะกดลงไปได้ไม่น้อย
พูดกันตามจริงแล้ว เขาไม่อยากจากมาเลย
นี่หาใช่เพราะเขาชื่นชอบหอทรงปัญญาแห่งนี้
แต่เพราะเขาอาลัยอาวรณ์คนในหอทรงปัญญา และทุกสิ่งที่ได้เห็นได้ฟังตลอดการเดินทางในคราวนี้เป็นอย่างยิ่ง
แม้แต่ฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องที่คอยหาเรื่องเขาหนแล้วหนเล่า หลิวรุ่ยอิ่งก็ยังคิดถึง
เซียวจิ่นข่านใส่สุราจำนวนมากไว้บนรถม้า
มากจนหลิวรุ่ยอิ่งสามารถดื่มได้ตลอดทางจนไปถึงเมืองหลวง
เวลานี้ความง่วงของเขาก็หายไปแล้ว
เขาแกว่งกาสุราในมือ เปิดผ้าม่านแล้วบอกคนที่อยู่ข้างนอก
“ขึ้นมา มาดื่มสุราเป็นเพื่อนข้า!”
หวาหนงหันหน้ามองหลิวรุ่ยอิ่ง
อาจเป็นเพราะเขาเองก็รู้สึกกระหายน้ำขึ้นมาเล็กน้อยเช่นกัน
ในที่สุดจึงพยักหน้า
“ที่ท่านไม่ขี่ม้าแต่เลือกนั่งอยู่บนรถม้า ก็เพื่อจะได้ดื่มสุราอย่างสะดวกหรือ”
หวาหนงถาม
หลิวรุ่ยอิ่งหาวคราวหนึ่ง
อาศัยตอนที่กำลังอ้าปากเติมสุราใส่เข้าปากอีกอึกหนึ่ง
“ไม่ผิด”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
แม้เขาจะเป็นอาจารย์อาของหวาหนง
แต่หวาหนงกลับไม่เคยใช้คำนี้เรียกขานเขามาก่อน
หลิวรุ่ยอิ่งเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับพิธีรีตองวุ่นวายเหล่านี้เท่าไร
กลับกัน กลับรู้สึกว่าเป็นดังนี้สบายและเป็นอิสระมากกว่า
หาไม่แล้ว หากเอาแต่เรียกอาจารย์อาอยู่เรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าเขาก็ต้องคอยวางท่าเป็นผู้อาวุโสกว่าอยู่ตลอดเวลาหรอกหรือ
หากเป็นเช่นนั้นไม่สู้ขี่ม้าดีกว่า
นั่นเพราะในยามที่ขี่ม้า ผู้คนมักไม่ค่อยพูดสิ่งใด
ความจริงแล้ว ที่หลิวรุ่ยอิ่งเลือกนั่งรถม้ายังมีอีกเหตุผลหนึ่ง
นั่นก็คือหวาหนงขี่ม้าไม่ค่อยเป็น
หากเป็นระยะทางสั้นๆ ยังพอได้
แต่หากให้เขาขี่ม้าตามตนเองไปจนถึงเมืองหลวง
เกรงว่าไม่รู้จะตกจากหลังม้ากี่ครั้ง
จมูกช้ำหน้าบวมไปถึงเมืองหลวงนั้นยังไม่เป็นไร
แต่ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดการเดินทางก็นับว่าเป็นช่วงเวลาที่หลิวรุ่ยอิ่งจะได้มีอิสระเสรีอย่างหาได้ยากยิ่ง
เขาไม่อยากรีบร้อนเพียงนั้น
หลายๆ ครั้งต้องรีบจัดการธุระให้เสร็จจึงจะไม่สิ้นเปลืองเวลา
แต่ในยามนี้ สำหรับหลิวรุ่ยอิ่งแล้ว
การเดินทางกลับอย่างอ้อยอิ่งเชื่องช้า จึงนับได้ว่าใช้ทุกชั่วเวลาได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด
ฟังไปแล้วช่างขัดแย้งกันยิ่งนัก
เมื่อคิดถึงเรื่องนานายามกลับไปถึงกรมสอบสวนกลาง หลิวรุ่ยอิ่งก็ปวดหัวหนักแล้ว
หนำซ้ำ เขายังต้องทำเรื่องเข้ารับตำแหน่งให้หวาหนงอีก
กรมสอบสวนกลางไม่ใช่ร้านน้ำชา
คนที่ไม่เกี่ยวข้องย่อมเข้าไปไม่ได้
แต่หากมีหนังสือฉบับหนึ่งเพื่อรับรองฐานะ เช่นนั้นก็จะง่ายดายกว่ามาก
ตนเป็นถึงนายกอง
เมื่อต้องการสนับสนุนผู้สั่งการสักคน หรือให้หวาหนงเป็นองครักษ์กองธรรมดาๆ เขาสามารถจัดการได้ทั้งสิ้น ไม่มีทางมีปัญหาใด
แต่จะอย่างไรเขาก็ยังรู้สึกว่ายุ่งยากอยู่ดี
คนเรานี่หนา!
ในเวลาที่ต้องทำงานยุ่งขึ้นมาก็มักเกี่ยงว่ายุ่งยาก
แต่เมื่อไม่มีเรื่องอะไรทำก็รู้สึกเหงาขึ้นมาอีก
แล้วความรู้สึกแบบไหนกันแน่ที่เป็นของจริง
ไม่มีผู้ใดสามารถแยกแยะได้ชัดเจน
หลิวรุ่ยอิ่งเองก็รู้สึกสนใจหวาหนงทีเดียว
เพราะเขาเพิ่งออกมาจากในป่าในเขา
จึงมีความหวังเปี่ยมล้นกับทุกสิ่งในโลกหล้า
เพียงแต่เขาไม่เคยไถ่ถามแต่อย่างใด
หลายครั้งหลิวรุ่ยอิ่งเห็นว่าคิ้วเขายังคงยู่ย่น
เห็นชัดว่ามีความไม่เข้าใจมากมายอยู่ในใจ
แต่เขายังคงไม่เปิดปากถาม
หลิวรุ่ยอิ่งหยิบขวดสุราจากในรถแล้วโยนให้หวาหนง
“ข้าจำเป็นต้องดื่มหรือ”
หวาหนงรับขวดสุรามาถือพลางถาม
“ข้าเรียกให้เจ้าขึ้นรถมาดื่มสุรากับข้า เมื่อครู่เจ้าก็รับปากแล้วนี่”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
………………………………………