ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 262 จากไปพร้อมรอยยิ้ม-4
บทที่ 262 จากไปพร้อมรอยยิ้ม-4
“สุราทุ่งหญ้าของเราฤทธิ์แรงยิ่งนัก อาหารก็สุกเอาเผากินเกินไป หากให้แขกจากแดนไกลเมาหลังดื่มเพียงไม่กี่จอก จะไม่ยิ่งเสียมารยาทหรอกหรือ ด้วยเหตุนี้ข้าจึงซื้อสุราจากบ้านเกิดของบรรดาแขกที่มาจากอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องเป็นพิเศษ และยังพาพ่อครัวมือหนึ่งในอาณาจักรอ๋องมาด้วย!”
ซือเฟิงกล่าว
“ผู้นำหน่วยสามรอบคอบเพียงนี้ ช่างทำให้ข้าละอายใจจริงๆ…ต้องขอขอบพระคุณผู้นำหน่วยใหญ่ที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับ นับเป็นความโชคดีไปสามชั่วอายุคน ไหนเลยจะกล้ารบกวนผู้นำหน่วยสามเดินทางไกลหลายพันลี้เพื่อนำสุราที่บ้านเกิดข้ามาได้เล่า”
หัวหน้ากลุ่มวาณิชของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องลุกขึ้นกล่าว
เขาหันไปค้อมกายคำนับผู้นำทั้งสามหน่วยในกระโจมทีละคน
วาจาจริงใจอย่างยิ่ง
คนที่ได้ยินมีสีหน้าประทับใจยิ่งนัก
หลังได้ยินประโยคนี้ หัวใจที่ติดขัดของอวี้หรงพลันปล่อยวางลง
กลุ่มวาณิชนี้มาจากอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง
เป็นเพียงสัญลักษณ์หนึ่งเท่านั้น
เมื่อกล่าวถึงระดับความสำคัญยังห่างไกลจากขั้นที่ผู้นำหน่วยใหญ่แห่งหน่วยกลืนจันทราจัดงานเลี้ยงต้อนรับด้วยตนเองได้
แต่ในปัจจุบันนี้หน่วยกลืนจันทราเสียเปรียบหน่วยอื่นๆ ของราชสำนักทุ่งหญ้าจริงๆ
ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าภูมิหลังจะน้อยใหญ่ ฝีมือเท่าใดล้วนแล้วแต่ต้องยกระดับมาตรฐาน
นี่เป็นความหมายที่ซือเฟิงจะสื่อ
เขาเคยหารือเรื่องนี้กับอวี้หรงอย่างลับๆ
หากราชสำนักทุ่งหญ้ายึดติดกับมรดกบรรพบุรุษ ไม่แสวงหาดินแดนอาณาจักรอ๋องอีกต่อไป
ก็ต้องเหวี่ยงกระบี่ไปทางทิศใต้
เฝ้าดูความรุ่งเรืองและล่มสลายในใต้หล้า
ผู้ที่รักษาผืนแผ่นดินหนึ่งให้สุขสงบตั้งแต่โบราณกาล อาจนำความสงบสุขมาหลายชั่วอายุคนก็เป็นได้
แต่ท้ายที่สุดก็ถูกกลืนกินผนวกรวมเข้าด้วยกันอย่างช้าๆ
ทุกครั้งที่ซือเฟิงกล่าวเรื่องนี้กับพี่สาวต่างก็โกรธจัดจนบีบจอกในมือแตก
ในมุมมองของซือเฟิง
ในช่วงเปลี่ยนผ่านการสิ้นสุดราชวงศ์ของผู้เฒ่านั่น ควรอาศัยความวุ่นวายสั่งการเคลื่อนกำลังพล
แต่อดีตหลางอ๋อง มีแนวคิดอนุรักษ์นิยมและมุ่งแสวงความก้าวหน้าไม่มากพอ
ย่อมคู่ควรกับคำว่า ‘คุณธรรม’
แต่ไม่ใช่ผู้ที่สามารถประสบความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ได้จริงๆ
เมื่อหลางอ๋องสืบทอดมาจนถึงยุคนี้
หมิงเย่าเป็นอัจฉริยะที่หาได้ยากในรอบศตวรรษจริงๆ
เขามีทั้งความกล้าหาญเลือดเย็นของชาวทุ่งหญ้าและมีการวางกลอุบายของคนในอาณาจักรอ๋อง
แต่หลังจากที่หมิงเย่าขึ้นครองบัลลังก์ ใต้หล้าแยกออกเป็นห้าส่วน
ห้าอ๋องยืนเคียงข้างประหนึ่งร่วมสายเลือด
โดยเฉพาะอาณาจักรติ้งซีอ๋องที่มีพรมแดนติดกับราชสำนักทุ่งหญ้ามากที่สุด
ยิ่งกว่านั้นหลังจากใต้หล้าสงบสันติสุขก็พลันหันหัวหอก
จ้องทำลายราชสำนักทุ่งหญ้าอย่างกระตือรือร้นตลอดเวลา
ซือเฟิงไร้ทางเลือก แต่ก็ไร้หนทางจริงๆ
หลางอ๋องหมิงเย่าผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทุ่งหญ้าประจันหน้ากับฮั่ววั่งติ้งซีอ๋องผู้ทะเยอทะยานและองอาจที่สุดในห้าอ๋อง
เมื่อมีแสงสว่างแต่ความหวังอยู่ไหนเล่า
แต่ซือเฟิงรู้สึกว่าไม่ช้าก็เร็วคงเลี่ยงสงครามครั้งนี้ได้ยาก
อาจจะเป็นพรุ่งนี้หรืออาจจะเป็นสิบปีให้หลัง
แต่หมิงเย่าอายุมากกว่าฮั่ววั่งไม่น้อย
เวลาของเขาไม่มากเท่าฮั่ววั่งขนาดนั้น
ฉะนั้น ผู้ที่เปิดสงครามย่อมเป็นหมิงเย่า
ซือเฟิงเพียงเคารพชื่นชมหลางอ๋องหมิงเย่า แต่ไม่ได้รู้สึกสนิทชิดเชื้อเหมือนครอบครัว
สิ่งที่เขาคำนึงถึงมีเพียงผลประโยชน์ของหน่วยกลืนจันทราที่จะทำอย่างไรให้อยู่อย่างปลอดภัยไร้กังวลไปพร้อมกับการเติบโตอย่างแข็งแกร่งก็เท่านั้น
ครั้งแรกที่ซือเฟิงบอกเรื่องราวในใต้หล้าเหล่านี้กับอวี้หรง ทำเอาอวี้หรงตกตะลึงจนอ้าปากค้าง
ในภาพความทรงจำของนาง
น้องชายเป็นคนเสเพลที่คอยล้อมหน้าล้อมหลังผู้อื่น วันๆ เอาแต่ร่ำสุรา ไม่ถามไถ่สนใจการงานในหน่วย
แต่ผู้ใดจะล่วงรู้ว่าเขาอาศัยการยิงกระต่ายป่าเดินลัดเลาะไปตามชายแดนระหว่างทุ่งหญ้าและอาณาจักรติ้งซีทุกวัน
กระทั่งโกนเคราเกลี้ยงเกลาและผูกผมขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ปะปนท่ามกลางกลุ่มวาณิชมุ่งหน้าไปสืบสวนที่เมืองจี๋อิง
สิ่งที่อวี้หรงไม่รู้คือ
ซือเฟิงเคยไปเตร็ดเตร่เมืองติ้งซีอ๋องมาแล้วหนหนึ่ง
เนื่องจากการเดินทางไปเมืองติ้งซีอ๋องหนนั้น
ทำให้ความใจร้อนอย่างยิ่งยวดของซือเฟิงสงบลง
เพราะเขารู้ว่าอาณาจักรติ้งซีอ๋องในตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ราชสำนักทุ่งหญ้าจะรบจนคว้าชัยชนะได้อย่างง่ายดาย
แม้จะชนะ ก็ชนะอย่างอนาถ
ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องที่อยู่ทางเหนือก็จะเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้พอดีไม่ใช่หรือ
เมื่อถึงตอนนั้นเขาสามารถเอาชนะทหารเหลือรอดของราชสำนักทุ่งหญ้าได้ในคราวเดียว
ทั้งยังใช้ประโยชน์จากชัยชนะกวดขันและผนวกอาณาจักรติ้งซีอ๋องและทุ่งหญ้าเข้าด้วยกัน
ด้วยวิธีนี้ซ่างกวนซวี่เหยาก็จะกลายเป็นอ๋องที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า!
ต่อให้หลิวจิ่งเฮ่าฉิงจงอ๋องที่ครองตำแหน่งสูงในเมืองหลวงก็ไม่อาจช่วงชิงได้
คิดดูแล้ว ฮั่ววั่งไม่ยินดีใช้ทหารง่ายๆ
หนึ่งเป็นเพราะเขามีเวลามากมาย สองเพราะเกรงว่าผลประโยชน์จะตกเป็นของซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋อง
แม้ระหว่างห้าอ๋องจะมีข้อตกลงร่วมกัน
ไม่อาจแก่งแย่งช่วงชิงซึ่งกันและกัน
แต่มันอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่อำนาจของห้าอ๋องค่อนข้างเท่าเทียมกัน
หากฮั่ววั่งทำสงครามใหญ่กับทุ่งหญ้า ก็จะสูญเสียความแข็งแกร่ง รวมถึงพลังเสียหายหนักอย่างยิ่ง
ผู้ใดจะมั่นใจได้ว่าซ่างกวนซวี่เหยาจะไม่ใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อโจมตีเล่า
ข้อตกลงเป็นของผู้อ่อนแอเสมอ
ระหว่างฮั่ววั่งและหมิงเย่าก็มีข้อตกลงร่วมกัน
แต่เรื่องที่วันนี้เจ้าสังหารหมู่บ้านแห่งหนึ่งในชายแดนของข้าและวันมะรืนข้าสังหารทหารหมาป่าของเจ้า ล้วนเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
หากไม่อึกทึกครึกโครม ขุนนางแม่ทัพใต้บัญชาทั้งสองฝ่ายจะจัดการกันเอง
แต่หากอึกทึกครึกโครม ฮั่ววั่งกับหมิงเย่าก็เพียงเขียนจดหมายกล่าวว่าเป็นการเข้าใจผิดให้กันและกันเท่านั้น
………………………
อวี้หรงมองน้องชายกล่าววาจาฉะฉานตรงหน้า
เพียงไม่กี่ประโยคก็ตอกกลับผู้นำหน่วยรองจื่อเหวินจนหงายหลัง
ในใจพลันรู้สึกพึงพอใจอย่างยิ่ง
นางมองไหมปักลายที่อยู่ตรงกลางพรม
พลันนึกถึงสมัยที่บิดาพาพวกเขาสองพี่น้องโก่งคันศรยิงนกแร้ง
จากนั้นมองกองไฟนอกกระโจม
กองไฟของหน่วยกลืนจันทราเหมือนกับกองไฟของนอกกระโจมของราชสำนักทุ่งหญ้า
โหมไหม้แล้วจะไม่มีวันมอดดับ
ในความคลุมเครือเลือนราง
อวี้หรงดูเหมือนจะเห็นบิดาของตนกำลังมองพวกเขาสองพี่น้องพลางยิ้มและพยักหน้า
ชั่วครู่หนึ่งอวี้หรงไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้
พลันรีบร้อนยกจอกสุราตรงหน้า อาศัยท่าทางเงยหน้าดื่มสุรา
ให้น้ำตาที่เอ่อรื้นขอบตาไหลกลับคืนเข้าไปอีกครั้ง
ในฐานะผู้นำหน่วยใหญ่แห่งหน่วยกลืนจันทรา นางจะร้องไห้ไม่ได้เด็ดขาด
แม้ว่านางจะเป็นสตรี
ไม่ว่าจะเป็นสตรีอาณาจักรอ๋องหรือสตรีทุ่งหญ้า
ตราบใดที่เป็นสตรี
เกรงว่ามักจะร่ำไห้คร่ำครวญ
แต่นางไม่ใช่
แม้จะร้องไห้อยู่รอมร่อก็ไม่ใช่ตอนนี้
อวี้หรงรู้สึกว่าช่วงนี้ตนแปลกไปเล็กน้อย
ช่วงที่บิดาเสียชีวิต นางไม่ร้องไห้สักหยด
ไฉนถึงยามนี้แล้วจึงทอดถอนอารมณ์และน้ำตาไหลบ่อยนักเล่า
ขณะที่จิตใจอวี้หรงล่องลอย
ม่านกระโจมถูกเปิดออกอีกครั้ง
ผู้ที่เดินเข้ามาเป็นทหารองครักษ์ของซือเฟิง
เป็นคนเดียวกับที่เขาสั่งกำชับให้เดินทางตามมาอย่างช้าๆ เมื่อครู่
“ข้าน้อยในนามใต้เท้าผู้นำหน่วยสามซือเฟิงได้นำส่าน้ำจัณฑ์ สุรารสเลิศหมักพิเศษมาจากอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋อง”
ทันทีที่ทหารองครักษ์ผู้นี้เข้ากระโจมพลันคุกเข่าข้างหนึ่งลงแล้วกล่าวกับอวี้หรง
อวี้หรงเหลือบมองจื่อเหวิน
พบว่าอากัปกิริยาของคนผู้นี้ยังคงเหมือนเดิม
กระทั่งยังเผยสีหน้ายินดี
“รีบเอามาเถิด!”
อวี้หรงสั่งกำชับ
เดิมทีซือเฟิงควรจะเป็นผู้เอ่ยคำนี้ออกมา
แต่อวี้หรงมองออกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับร่างกายของซือเฟิง
ตอนนี้นั่งตรงนี้ได้อย่างมั่นคง เกรงว่าจะใช้แรงไปทั้งหมดแล้ว
ไหนเลยจะยังมีแรงเหลือให้พูดได้อีกเล่า
อย่างน้อยก็ไม่จำเป็นต้องให้เขาเปิดปากเอ่ยคำว่า ‘จัดสุรา’ ที่ไม่สำคัญเพียงนี้ก็ได้
ทหารองครักษ์ผู้นี้ย่อมรู้ถึงความสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนระหว่างซือเฟิงเจ้านายของตนและผู้นำหน่วยใหญ่ผู้นี้ดี
ด้วยเหตุนี้จึงไม่รอให้ซือเฟิงเอ่ยปากพยักหน้ารับ เขาตอบรับคำแล้วหันหลังเดินออกจากกระโจมไปขนสุรา
ไม่นาน กล่องขนาดใหญ่สองใบก็วางอยู่กลางกระโจมหลัก
“นี่เป็นเรื่องประหลาดใจแรกที่ข้าจัดเตรียมไว้ให้ทุกท่าน ส่าน้ำจัณฑ์เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในสามสุดยอดแห่งเจิ้นเป่ย!”
ซือเฟิงซ่อนมือซ้ายไว้ใต้ที่นั่งและพยายามจับเอาไว้สุดกำลัง
มือขวาพลันชี้สุรารสเลิศในกระโจมและเอ่ยเสียงดังก้อง
ความเร็วในการเอ่ยวาจาของเขาไม่เร็วไม่ช้า
แต่กลับเอ่ยเสียงดังก้อง
แสดงให้เห็นถึงความฮึกเหิมและความเอื้อเฟื้อของชางทุ่งหญ้า
ที่จริงซือเฟิงคิดคำนวณไว้แล้ว
เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าหากพูดช้าลงหน่อย เสียงเบาลงหน่อยจะทำให้เขาเหนื่อยน้อยลงเช่นกัน?
แต่หากเป็นเช่นนั้นละก็ อาจทำให้จื่อเหวินสังเกตเห็นความผิดปกติ
สู้ตะเบงเสียงดังเช่นนี้จะได้ไม่รู้สึกอึดอัดไปเลยดีกว่า
อาศัยพลังเสียงก้องกังวาน ดูเหมือนจะบรรเทาอาการปวดศีรษะลงได้เล็กน้อยชั่วคราว
“ช่างรบกวนผู้นำหน่วยสามให้เหนื่อยแล้ว! ได้ยินมานานแล้วว่า ‘ส่าน้ำจัณฑ์’ ของอาณาจักรเจิ้นเป่ยอ๋องเรียกได้ว่าเป็นสุราที่หายากในใต้หล้า ซ่างกวนซวี่เหยาเจิ้นเป่ยอ๋องจัดให้เป็นสิ่งสุดยอดอันดับหนึ่งจากสามอันดับ ไม่ปิดบังทุกท่าน ข้าก็เป็นผู้ที่เสพติดสุราเช่นกัน สุรารสเลิศเช่น ‘ส่าน้ำจัณฑ์’ ทำเอาน้ำลายสอตั้งนานแล้ว! วันนี้จะอาศัยโอกาสที่ผู้นำหน่วยใหญ่เชิญมาร่วมงานเลี้ยงอาณาจักรอ๋อง ช่างทำให้ข้าพลอยได้ประโยชน์ไปด้วยจริงๆ!”
ทันทีที่สิ้นเสียงของซือเฟิง
ยังไม่รอให้กลุ่มวาณิชอาณาจักรอ๋องได้กล่าวขอบคุณ
จื่อเหวินรีบตอบวาจาเช่นนี้กลับทันที
“ผู้นำหน่วยรองจริงจังเกินไปแล้ว! ในเมื่อต่างก็เป็นยอดนักดื่ม สุราก็ไม่ใช่สิ่งที่ล้ำค่าอีกต่อไป สิ่งที่ล้ำค่าคือความจริงใจระหว่างสหายร่ำสุราที่ครึกครื้นเช่นนี้ต่างหาก!”
ซือเฟิงกล่าว
……………………………………………………………………….