ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 246 ผู้มาทีหลังย่อมเหนือกว่า
บทที่ 246 ผู้มาทีหลังย่อมเหนือกว่า
ดังคำกล่าวที่ว่า ทุกสิ่งมีลำดับ
มาก่อนได้ก่อน
แต่ผู้ชนะในตอนท้ายมักจะเป็นผู้มาทีหลังย่อมเหนือกว่า
ไม่ใช่เพราะสิ่งอื่นใด
เพียงแต่ผู้มาก่อนมักจะตื่นกลัวเกินกว่าจะมองย้อนกลับไป
ทว่าผู้ที่มองย้อนกลับไปบ่อยครั้งจะสังเกตเห็นความงดงามข้างหน้าได้อย่างไร
แต่ผู้มาทีหลังกลับไร้ความกังวล เอาแต่มุ่งมั่นกระโจนไปข้างหน้า
ทุกก้าวที่มุ่งไปข้างหน้าล้วนเบิกบานใจ
ครั้นเงยหน้าขึ้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวถึงได้พบว่าตนอยู่เพียงลำพัง
ในยามนี้จึงเริ่มรู้สึกโดดเดี่ยวและเกิดสงสารตนเองขึ้นมา
สำหรับเรื่องที่ว่าเช้าได้สัมผัสสัจธรรม คืนนั้นแม้ตายก็ยินดี[1]นั้นไม่มีอยู่จริง
ผู้ที่สัมผัสสัจธรรมต่างต้องการไล่ตามจุดหมายที่ลวงตา
ผู้ใดจะยอมตายเล่า
นอกเสียจากผู้เฒ่าอาภรณ์สีฟ้าที่ทำให้เสิ่นชิงชิวจับจุดไม่ได้ผู้นั้น
หอทรงปัญญาในยามนี้ดูเหมือนจะสงบสุข แต่ความจริงแล้วมีดวงตาหลายพันคู่จับจ้องที่นี่อยู่
จับจ้องการปะทะระหว่างตี๋เหว่ยไท่และเสิ่นชิงชิว
‘เผี่ย’ (丿) ที่ตี๋เหว่ยไท่เขียน
คล้ายกับคลื่นก่อนพระอาทิตย์ตกดินที่ถูกย้อมเป็นสีแดงฉาน
พลังปราณและพลังพู่กัน
พวกเขาทั้งสองต่างปะทะกันด้วยพลัง
ทำให้ถนนสายยาวที่ทรุดโทรมสว่างสดใสขึ้นมาในทันใด
ดวงตาที่ซ่อนอยู่ในความมืดมิดเหล่านั้น
เพียงรู้สึกวิงเวียนศีรษะตาพร่าไปครู่หนึ่ง
ทั้งยังรู้สึกใจฝ่อเล็กน้อย
วิงเวียนศีรษะตาพร่าเพราะแรงปะทะนั้นช่างน่าสะพรึงกลัว
แม้จะรุนแรงอย่างยิ่ง แต่การควบคุมก็ละเอียดอ่อนยิ่งนัก
นอกจากแสงและเงา พู่กันและกระบี่กลับไม่มีพลังรั่วไหลออกมาแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ทำให้ผู้บริสุทธิ์ได้รับอันตรายไปด้วย
มือสะอาดไม่จำเป็นต้องล้าง
…………………….
เซียวจิ่นข่านก็เป็นหนึ่งในดวงตาหลายพันคู่เหล่านั้น
เพียงแต่เขาในยามนี้ยังห่างไกลจากความสบายดังแต่ก่อนนัก
หากเป็นการต่อสู้ของผู้อื่น จะดูหรือไม่ค่อยว่ากัน
หรือต่อให้ดู ก็จะรินสุราสักจอกและหาสหายสักคน
ขณะที่ทั้งสองดื่มก็ดูไปพลางแล้วค่อยแสดงความเห็นสักสองสามประโยค
ตอนนี้หลิวรุ่ยอิ่งนั่งอยู่ข้างเซียวจินข่าน
มองเห็นเขากำหมัดแน่น
แต่มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่รู้ว่าฝ่ามือชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
หลิวรุ่ยอิ่งดูออกว่าเขาตึงเครียด
แม้บนโต๊ะจะวางสุราอยู่ก็ตาม
แต่การแสดงออกของเซียวจินข่านเคร่งขรึมเกินไปจริงๆ
ภายใต้บรรยากาศเคร่งขรึมเช่นนี้ ไม่ต้องเอ่ยถึงการดื่มสุรา
แม้แต่เสียงกลืนน้ำก็ทำให้หลิวรุ่ยอิ่งกังวลอย่างไร้เหตุผล
ครั้นผ่านไปหนึ่งกระบวนท่า
ทั้งสองคนกลับมายังที่เดิมในพริบตา
ประจันหน้าและสบสายตามองกัน
แปลกประหลาดนัก ความตื่นเต้นดันผุดขึ้นในแววตาของทั้งสองคน
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปความตื่นเต้นนี้กลับยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
การต่อสู้ปะทะกันในยามนี้ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับการสมคบคิด อุบายและแผนการใดๆ ก่อนหน้านี้
เพียงแต่คนทั้งสองที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดเกิดรู้สึกสงสารตนเองขึ้นมา ในที่สุดก็พบว่าข้างกายยังมีผู้อื่นอยู่ไม่ไกล
ความตื่นเต้นเช่นนี้ครอบคลุมทุกสิ่งอย่าง
ตอนนี้สิ่งที่พวกเขาทั้งสองต้องการ มีเพียงการปะทะอันแสนอบอุ่นเท่านั้น
แม่ทัพรบจนตัวตาย
แม้ว่าผู้ที่ฝึกยุทธ์จะไม่ต่อสู้ในสนามรบก็ตาม
แต่โชคชะตาที่ดีที่สุดคือการตายใต้เงื้อมมือคู่ต่อสู้ที่ตนเคารพมากที่สุด
สำหรับเสิ่นชิงชิวแล้ว บนดินแดนอันกว้างใหญ่นี้ยังมีผู้ที่เหมาะสมกว่าตี๋เหว่ยไท่อีกหรือ
ไม่มี
ไม่มีอย่างแน่นอน
ส่วนตี๋เหว่ยไท่จะคิดอย่างไร เสิ่นชิงชิวไม่รู้
แต่เขามั่นใจในสิ่งนี้มาตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนแล้ว
กระทั่งยังเคยกล่าวเหมือนล้อเล่นด้วยซ้ำ
น่าเสียดายที่ในตอนนั้นตี๋เหว่ยไท่ไม่ได้จริงจังกับเรื่องนี้
ผู้ฟังไม่ตั้งใจ ทว่าผู้พูดตั้งใจ
คำพูดจริงใจสักเท่าใดก็ทำได้เพียงใช้วิธีพูดเช่นนี้ เพราะเกรงว่าจะเป็นภาระหนักใจมากเกินไป
หากเจ้าเข้าใจ ย่อมกระทำตาม
หากเจ้าไม่เข้าใจ เพียงหัวเราะออกมา
เมื่อความตื่นเต้นกำลังจะถึงจุดสูงสุด
เสิ่นชิงชิวออกกระบี่อีกครั้ง
ปลายกระบี่ของเขาสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง
ชะล้างพลังปราณ
ชั่วพริบตาก็ผนึกลำคอ หัวใจและจุดสำคัญทั้งหมดของตี๋เหว่ยไท่
พู่กันของตี๋เหว่ยไท่ยังคงรักษาท่าทางการเขียนตัวเผี่ยนั้นไว้
อักษรมักจะพลิกแพลงยิ่งกว่าการเคลื่อนไหวของกระบี่มากโข
ไม่เอ่ยถึงอักษร
เพียงแค่ส่วนประกอบของอักษรจีน เกรงว่าไม่มีวิชายุทธ์ใดเทียบเท่าความหลากหลายระดับนี้ได้
ฉะนั้นดูเหมือนตี๋เหว่ยไท่ไม่เคลื่อนไหว
ความจริงแล้วเป็นกระบวนตั้งรับที่วิจิตรบรรจงที่สุด
เขารู้ว่าเสิ่นชิงชิวเพียงแค่ทดสอบเท่านั้น
ในใจเขาก็ยังไม่ได้คิดว่าจะออกกระบี่ไปตำแหน่งใดในตอนท้าย
แม้ว่าฉายาเขาคือ ‘กระบี่สามพัน’
แต่ในความเป็นจริงมีกระบี่เพียงเล่มเดียวเท่านั้น
แบ่งแยกแต่พังทลาย ประสานแต่ทะลวง
หากแบ่งแยกมันออกมา พลังน่าเกรงขามย่อมลดฮวบลงแน่นอน
อย่างน้อยก็ไม่เป็นภัยคุกคามใดๆ ต่อตี๋เหว่ยไท่
ดังนั้นเขาไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวก่อน
เพียงแต่สิ่งที่เขาต้องทำคือตัดสินเป้าหมายการออกกระบี่ของเสิ่นชิงชิวอย่างแม่นยำในวินาทีสุดท้ายก็พอ
นี่อาจจะเป็นการต่อสู้ที่ยืดเยื้อทีเดียว
หรืออาจจะจบลงในพริบตา
แต่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับว่าผู้ใดจะพลาดท่าก่อนกัน
ขึ้นอยู่กับตบะวิถียุทธ์และแก่นแท้ของพวกเขาทั้งสอง
เดาว่าเป็นการตัดสินใจพลาดท่าได้ยากยิ่งนัก
ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวคือ
ผู้ใดจะใจอ่อนกว่ากัน
แม้ในอดีตจะเหมือนเงาไม่แยกจากตัวสู่การหันอาวุธเข้าใส่กันในปัจจุบัน
แต่มนุษย์ไม่ใช่พืชผัก
เมื่อตรานาบทางอารมณ์และความผูกพันเกิดขึ้นแล้วก็ยากจะกำจัดให้หมดไป
ไฟป่าเผาผลาญแต่ไม่สูญสิ้น ลมวสันต์จะพัดปลุกชีวิตฟื้นคืนอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งจะได้สัมผัสความอ่อนโยนในใจทั้งสองอีกครั้ง
เมื่อใดที่ความอ่อนโยนถูกปลุกให้ตื่นขึ้น
พู่กันไม่คมดุจมีด วาจาคมกริบไม่เห็นเลือดอีกต่อไปเช่นกัน
แสงกระบี่สลัวดั่งเศษตะเกียง กระบี่ยาวเหี่ยวเฉาดุจไม้ผุพัง
มันคือการเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตา
……………………
“ท่านอาจารย์เขา…เป็นอะไรไปหรือ”
หวาหนงเห็นท่าทางของเซียวจินข่านจึงถามหลิวรุ่ยอิ่งด้วยความไม่สบายใจเล็กน้อย
“เฮ้อ…”
หลิวรุ่ยอิ่งถอนหายใจลึกๆ
เขาสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวประหลาดภายในหอทรงปัญญา
แม้จะไม่ชัดเจนเท่าเซียวจิ่นข่านก็ตาม
แต่เขาก็รู้ว่ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น
เพียงแต่หลิวรุ่ยอิ่งไม่รู้จะอธิบายให้หวาหนงฟังอย่างไร
และไม่แน่ใจว่าที่ตนอธิบายไปเขาจะเข้าใจมันหรือไม่
มีเรื่องราวมากมายในโลก
เดิมก็ไม่อาจอธิบายได้อยู่แล้ว
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และสิ่งที่กำลังจะเกิด
ไร้ซึ่งเหตุผล
ไร้ซึ่งกฎเกณฑ์
บางทีในสายตาของเซียวจินข่านสุดยอดนักพรตอินหยางผู้นี้สามารถมองเห็นเส้นบางๆ ของเหตุและผลก็เป็นได้
แต่ในสายตาของหลิวรุ่ยอิ่ง เรื่องเหล่านี้มีเพียงสองคำเท่านั้น
ไร้สาเหตุ
ไร้ซึ่งมูลเหตุ ก็ไร้ซึ่งเหตุผล
มันเกิดขึ้นโดยไร้สาเหตุใดๆ
อีกทั้งยังเลวร้ายลง
ไม่ถึงวินาทีสุดท้ายก็จะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด
ประหนึ่งสายน้ำไม่หวนคืน
ผู้คนโลกนี้ล้วนชอบคำว่า ‘เสริมแต่ง’
แต่ไม่มีสิ่งใดในโลกนี้สามารถเสริมแต่งให้กลับมาได้อย่างสมบูรณ์พร้อม
หลังจากหลิวรุ่ยอิ่งถอนหายใจก็รินสุราหนึ่งจอกให้หวาหนง
แม้ว่าบรรยากาศจะไม่เหมาะกับการดื่ม
แต่สุราในยามนี้หาได้เป็นสุราไม่
มันคือยา
เป็นยาดีที่ทำให้คนสงบจิตสงบใจ
นอกจากสุราจอกนี้แล้ว หลิวรุ่ยอิ่งก็ไม่รู้ว่าตนสามารถทำสิ่งใดได้อีก
พูดไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว
รินสุราจอกนี้แล้ว จะรินสุราจอกที่สองหรือไม่ เขาก็ไม่รู้เช่นกัน
……………………
กระบี่ของเสิ่นชิงชิวหยุดสั่นสะเทือนแล้ว
สีหน้าตี๋เหว่ยไท่พลันแข็งค้าง
แม้แต่กำปั้นของเซียวจินข่านที่เพิ่งคลายออกเล็กน้อยเมื่อครู่ ยามนี้กลับกำแน่นอีกครั้ง
หลิวรุ่ยอิ่งเห็นเม็ดเหงื่ออยู่บนปลายนิ้วก้อยของเขา
เม็ดเหงื่อขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดก็หลุดจากฝ่ามือร่วงหล่นลงไป
ขณะที่เม็ดเหงื่อหยาดนี้ร่วงลงสู่พื้น
เสิ่นชิงชิวแทงกระบี่ออกมา
สรรพสิ่งในโลกก็เป็นโชคชะตาให้มาพานพบกัน
แม้แต่เซียวจินข่านก็ไม่อาจทำนายได้ว่าขณะที่เม็ดเหงื่อบนฝ่ามือของตนร่วงสู่พื้น จะเป็นตอนเดียวกับที่เสิ่นชิงชิวออกกระบี่
แต่ทุกสิ่งล้วนมาบรรจบกันด้วยความบังเอิญ
กระบี่ของเสิ่นชิงชิว
ไม่ได้แทงไปยังคอหอยหรือทรวงอกของตี๋เหว่ยไท่
ทว่าจ่อตรงไปที่หว่างคิ้วของตี๋เหว่ยไท่
เช่นเดียวกับตอนที่เขายกพู่กันและชี้ปลายพู่กันใส่หว่างคิ้วของเสิ่นชิงชิวเมื่อครู่
…………………….
ตอนนี้เอง จู่ๆ หวาหนงก็มีสีหน้ากระจ่างแจ้งขึ้นหลายส่วน
แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่เคยลืม
อาจารย์ผู้นี้ทำให้ตนระเห็จจากป่าเขามาสู่โลกมนุษย์
เขาไม่รู้ว่าความหมายที่ตนออกจากป่าเขาคือสิ่งใด
จนกระทั่งตอนนี้เซียวจินข่านอาจารย์ของเขายังไม่เอื้อนเอ่ยออกมาแม้แต่คำเดียว
เพียงแต่สอนบทเรียนที่น่าสับสนงุนงงให้แก่เขา
โชคดีที่นอกจากต้นไม้สัตว์ป่าเหล่านั้นแล้ว คนที่พบเจอคนแรกคือเซียวจิ่นข่าน
เซียวจินข่านทำให้เขารู้ว่า โลกมนุษย์นี้ไม่ได้น่ากลัวเพียงนั้น
อย่างน้อยด้วยธรรมชาติของเขาก็สามารถฝ่าฟันเอาตัวรอดไปได้
หากเสือจะกินตน เช่นนั้นจงออกกระบี่ฆ่าเสือก่อน
ตนสามารถรอดชีวิต ไม่หิวโหย และไม่หนาวเย็นจึงจะเป็นสัจธรรมหนึ่งเดียวในป่าเขา
คิดไม่ถึงว่าในโลกมนุษย์ก็เฉกเช่นเดียวกัน
แต่ยามนี้ เขามองสุราจอกที่หลิวรุ่ยอิ่งรินให้เขา
เขาดื่มด่ำความอบอุ่นจากมัน
ระหว่างป่าเขามีเพียงความเกลียดชัง
แค่ความเกลียดชังที่ไร้เหตุผล
ทุกวันล้วนต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด
แต่ในโลกมนุษย์กลับมีมิตรภาพมีความรักใคร่
แม้จะมีไม่มากและไม่ค่อยมีให้เห็น
แต่อย่างน้อยมันก็มี
ความรักระหว่างบิดามารดาที่มีต่อบุตร ความรักระหว่างสามีภรรยา
ครั้นใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้ว มักจะมีมากมายกว่าที่ผู้คนคิดเสมอ
อย่างน้อยก็ยามที่คนผู้หนึ่งสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว รินสุราสักจอกเพื่อปลอบโยนก็เป็นคุณธรรมอันดีงามเช่นกัน
และคุณธรรมอันดีงามประเภทนี้เป็นสิ่งที่สิงห์สาราสัตว์ไม่มีทางครอบครองได้อย่างแน่นอน
ความอบอุ่นย่อมดีกว่าความเย็นชา
ความรักย่อมทำให้คนสบายใจยิ่งกว่าความเกลียดชัง
นี่เป็นสิ่งที่หวาหนงได้จากการที่หลิวรุ่ยอิ่งรินสุราให้ตน รวมถึงหลักการที่ว่าไร้ซึ่งสิ่งใดในจอกสุรา
แม้ว่าเรื่องนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เซียวจินข่านและหลิวรุ่ยอิ่งกังวลก็ตามที
แต่หัวใจของตนอย่างไรก็เป็นของตนเสมอ
ต่อให้ความสัมพันธ์ทั้งสองคนจะดีเพียงใด ก็ไม่อาจผูกหัวใจไว้ด้วยกันตลอดเวลาได้
หลิวรุ่ยอิ่งมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของเขา
จึงถอนหายใจหนักๆ อีกครั้ง
ทั้งๆ ที่นี่เป็นเรื่องที่ดียิ่งนัก แต่ไฉนจึงถอนหายใจเล่า
เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดียิ่ง อาจารย์ของหวาหนงกลับไม่อาจมองเห็นได้
หรือเขาอาจกระจ่างแจ้งแล้ว
แต่ยามนี้ไม่อาจแบ่งใจจับจ้องได้
………………………
ตี๋เหว่ยไท่เห็นแสงกระบี่โจมตียังหว่างคิ้วของตนจึงยกพู่กันขึ้น
ทิศทางที่ปลายกระบี่ของเขาชี้ก็เป็นหว่างคิ้วของเสิ่นชิงชิวเช่นกัน
ปลายกระบี่ปะทะปลายพู่กัน
หว่างคิ้วปะทะหว่างคิ้ว
พู่กันของเขา ไร้การเคลื่อนไหวใด
เพียงเขียนหนึ่งจุด
จุดเป็นพื้นฐานที่สุดในตัวอักษร
บัณฑิตหลายคนแสวงหาการประดิษฐ์ตัวอักษรของตนให้มีชีวิตชีวา รอบรู้กว้างขวาง ครอบครองธาราขุนเขาอันไกลโพ้น
แต่กลับละเลยแก่นแท้ที่สุดไป
นั่นก็คือทุกตัวอักษรล้วนประกอบด้วยหนึ่งขีดหนึ่งตวัดที่เป็นพื้นฐานที่สุด
จุด
ก็เป็นหนึ่งขีดหนึ่งตวัดที่เป็นพื้นฐาน
เป็นพื้นฐานยิ่งกว่า ‘เผี่ย’ ก่อนหน้านี้มากนัก
การเขียนจุดเป็นเพียงเรื่องชั่วขณะหนึ่ง
บางทีไม่จำเป็นต้องเขียนมัน
พู่กันที่จุ่มหมึกชุ่ม ปล่อยให้หมึกหยดบนกระดาษย่อมกลายเป็นจุด
แต่จุดเช่นนี้ช่างเกียจคร้านและทำไปส่งๆ
ไม่คู่ควรกับแสงกระบี่ของเสิ่นชิงชิว
ตี๋เหว่ยไท่เชื่อว่าสิ่งที่เขาเขียนยอดเยี่ยมที่สุดและเป็นจุดที่ใช้ใจมากที่สุด
ดังนั้นช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลางดงามและน่าเศร้าที่สุดเช่นเดียวกัน
ดาวตกพาดผ่านท้องฟ้า อย่างน้อยก็ยังลากส่วนหาง
แต่จุดนี้กลับเงียบสงบไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้
ทว่ามันก็เป็นเพียงจุดธรรมดาทั่วไป
แต่กลับทำให้ดวงตาที่จับจ้องหลายพันคู่ต้องกลั้นหายใจ
โดยเฉพาะเซียวจินข่าน
แม้ว่าเขาจะเป็นคนตาบอดก็ตาม
หลิวรุ่ยอิ่งมองเห็นดวงตาบอดสนิทแต่เดิมของเขา ยามนี้หัวตาค่อยๆ อัดแน่นไปด้วยสีแดงก่ำ
เพราะจุดนี้และกระบี่นี้
มีอิทธิพลต่อหอทรงปัญญาและทั่วทั้งใต้หล้าอย่างลึกซึ้งจนเกินไป
ลึกซึ้งจนกระทั่งแม้แต่คนตาบอดยังต้องถลึงตาเบิกกว้างสำรวจความเป็นนิรันดร์เบื้องหลังกระบี่และจุดนี้
…………………………………………………………
[1] เช้าได้สัมผัสสัจธรรม คืนนั้นแม้ตายก็ยินดี หมายถึง เมื่อเข้าถึงสัจธรรมแห่งชีวิตแล้ว จะตายเมื่อไรก็ได้