ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 243 โลหิตที่ไร้ทางเลี่ยง
บทที่ 243 โลหิตที่ไร้ทางเลี่ยง
หากผู้คนกล่าวถึงโลหิต
มักจะไร้ซึ่งทางเลี่ยง
ลองถามไถ่ผู้ใดในใต้หล้าบ้างที่ไม่ปรารถนาถูกล้อมไปด้วยความฝันอันสวยงาม เมามายอยู่ริมต้นหลิว ตากสายลมยามรุ่งอรุณ เฝ้ามองพระจันทร์ข้างแรม
แต่ความจริงมักทำให้ผู้คนกล่าวถึงโลหิตอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะเทือกเขาที่หิมะตกตลอดปีหรือป่าเขาที่เขียวขจีทุกฤดูกาล
ท้ายที่สุดโลหิตล้วนไหลรินและกระจายไปทั่วทุกมุม
ตอนนี้ในที่สุดก็ถึงคราวพระตำหนักของวังติ้งซีอ๋องแล้ว
วันนี้จะต้องมีคนเลือดตกยางออก
เพียงแต่ฮั่ววั่งเชื่อว่าไม่ใช่ตัวเขาแน่นอน
มือกระบี่ขี้เหล้าก็รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเขาเช่นกัน
แสงราตรีเริ่มมืดลงเล็กน้อย
แสงเทียนสว่างในพระตำหนักเริ่มสั่นไหว
ไม่มีผู้ใดตัดไส้ตะเกียงเหล่านี้มานานมากทีเดียว
น้ำมันตะเกียงก็จวนจะมอดไหม้
สิ่งที่กำลังจะมาเยือนคือความมืดมิดอย่างสมบูรณ์
มือกระบี่ขี้เหล้าคว้าแสงสว่างสุดท้าย ฟันกระบี่ออกมา
ไม่ใช่การแทง แต่เป็นฟันฉับ
กระบี่เล่มนี้ไร้แสงกระบี่ประกายแวววาวดังก่อนหน้านี้
เป็นกระบี่ที่ฟันฉับอย่างนุ่มนวล
ทว่ายามกระบี่ฟาดฟันเข้ามาใกล้ แสงกระบี่ประหนึ่งสายฟ้าฟาดพุ่งพรวด
พริบตาเดียวไปถึงต้นคอและศีรษะของฮั่ววั่ง
ฮั่ววั่งยังไม่คิดออกกระบี่
เขารู้สึกว่ามันยังไม่คุ้มค่า
ขยับเท้าก้าวถอยหลังไปหลายจั้ง
คิดไม่ถึงว่ามือกระบี่ขี้เหล้าจะไม่เปลี่ยนกระบวนท่าและไม่หยุดยั้งเช่นกัน
ฟันฉับลงไปตรงตำแหน่งที่ฮั่ววั่งยืนอยู่ก่อนหน้าอย่างแน่วแน่
แม้กระบี่จะฟาดฟันอีกฝ่ายที่มีแต่อากาศเท่านั้น
อากาศเบาบางว่างเปล่า
อากาศไร้ซึ่งมวลน้ำหนัก
แต่ราวกับว่าเขาโจมตีฮั่ววั่งแล้วอย่างนั้น
ไร้ความอ่อนข้อใดๆ
“กระบวนกระบี่ถี่ถ้วนเช่นนี้ ข้าพบเจอไม่มากนักจริงๆ”
ฮั่ววั่งกล่าว
“เพราะเจ้าก็เป็นผู้ที่ถี่ถ้วนอย่างยิ่ง จึงมีเพียงกระบวนกระบี่ถี่ถ้วนเท่านั้นที่จะสังหารเจ้าได้”
มือกระบี่ขี้เหล้าออกกระบวนท่าแล้วเอ่ย
“มีเพียงผู้ถี่ถ้วนเท่านั้นจึงจะใช้กระบวนท่าที่ถี่ถ้วนเช่นนี้ จุดนี้เจ้าและข้าอยู่บนเส้นทางเดียวกัน”
ฮั่ววั่งกล่าว
มือกระบี่ขี้เหล้าส่ายศีรษะ
“ผู้ที่ถี่ถ้วนแท้จริงจะไม่เปลี่ยนแปลงตนเพราะสิ่งอื่นใด ดั่งคนโบราณกล่าวไว้ ไม่สุขด้วยวัตถุ ไม่ทุกข์เรื่องตน”
ฮั่ววั่งขมวดคิ้วมุ่น
ไม่สุขด้วยวัตถุ ไม่ทุกข์เรื่องตน เขาย่อมเคยได้ยินคำนี้แน่นอน
เพียงแต่เขาสงสัยมาตลอดว่าคงไม่มีผู้ใดในโลกนี้สามารถทำได้
ฮั่ววั่งเชื่อว่าจิตใจของตนแกร่งมากพอ
แม้จะยังหมกมุ่นเพื่อให้ได้มาซึ่งกระบี่ดาราก็ตาม
กระทั่งยังเรียกหานักเชิดหุ่นปีศาจ
ทันใดนั้นเขาพลันคิดได้ว่านักเชิดหุ่นปีศาจไม่ได้ปรากฏตัวมานานมากแล้ว
เมื่อก่อนปีศาจร้ายจะปรากฏข้างกายของตนทุกวันและกล่าววาจาแปลกพิลึกเป็นบางครั้งบางคราว
ฮั่ววั่งตอบรับคำพูดของเขาน้อยครั้งนัก
แต่ดูเหมือนว่าเขาไม่จำเป็นต้องตอบสนองทั้งหมด
ก็ยังคงพึมพำพูดคุยกับตนเองอยู่
เสมือนว่าตราบใดมีผู้ฟัง เขาก็พึงพอใจ
ช่วงนี้ไม่รู้ว่าเขาไปอยู่หนใด
หรือจะไม่กวนใจตนอีกแล้ว
เช่นนั้นอย่างน้อยก็ควรกล่าวลาบ้าง
ฮั่ววั่งผ่านประสบการณ์ความเป็นตายมามากโข
ท่าทีที่เขามีต่อความเป็นตายก็คือการกล่าวลาโดยไร้วาจา
เพียงแต่ในคราวนี้ เขากลับหวังว่านักเชิดหุ่นปีศาจจะปรากฏกายอย่างใจกว้างแล้วกล่าวกับเขาว่า
“ฮั่ววั่ง ข้าจะไปแล้ว”
แต่หากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ฮั่ววั่งพลันรู้สึกว่างเปล่าในใจเล็กน้อย
ฮั่ววั่งไม่รู้ว่าเหตุใดตนจึงเกิดความรู้สึกเช่นนี้ขึ้นได้
แต่เขาปรารถนาจะได้ยินคำพูดเช่นนี้จริงๆ
ฮั่ววั่งกล่าวถาม
“เดิมคิดว่าไม่มีสิ่งใดผูกมัดข้าได้ ข้าชอบกระบี่แต่ใช้กระบี่ไม่ได้ ข้าชอบดื่มสุราแต่ดื่มสุราไม่เก่งเช่นกัน จนกระทั่งพบกับนาง ข้าจึงรู้ว่าชั่วชีวิตของมนุษย์มักจะถูกมัดมือมัดเท้าอยู่หลายครั้งทีเดียว”
มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว
ทันใดนั้นสายฟ้าฟาดออกจากกระบี่อีกครั้ง
กระบี่ยาวในมือเขาเล่มนี้ทะยานไปข้างหน้าดั่งพยัคฆ์
ฟาดฟันตรงไปยังร่างของฮั่ววั่ง
ราวกับจะผ่าเขาออกเป็นสองส่วนตั้งแต่หัวจรดเท้า
ฮั่ววั่งเอี้ยวกายเล็กน้อย
หลบเลี่ยงกระบี่นี้อีกหน
ทว่าอิฐกระเบื้องสีมรกตกลับถูกสับแตกละเอียดถึงสิบห้าชิ้น
อิฐมรกตเหล่านี้ แต่ละชิ้นเป็นงานฝีมือที่ใช้เวลาสามปีห้าเดือน
พระตำหนักนี้ก็เคยเกิดการต่อสู้ปะทะมาไม่น้อยครั้ง
แต่พวกมันก็ไม่เคยได้รับความเสียหายใดๆ
แม้แต่รอยสีขาวก็ไม่เคยปรากฏให้เห็น
ตบะวีถียุทธ์ของมือกระบี่ขี้เหล้านี้สามารถคาดเดาได้
“เจ้าไม่ใช่ผู้ใช้กระบี่”
ฮั่ววั่งกล่าว
“ไม่ใช่จริงๆ”
มือกระบี่ขี้เหล้าพยักหน้ากล่าว
ฮั่ววั่งกล่าวถาม
เพราะแต่ก่อนเขาก็ใช้ดาบ
หลังจากได้รับกระบี่ดาราจึงทิ้งดาบแล้วใช้กระบี่เช่นเดียวกับทังจงซง
“ข้าไม่จำเป็นต้องใช้สิ่งใด”
มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าวพลางส่ายศีรษะ
ฮั่ววั่งเงียบขรึม
ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อ
แต่รู้สึกแปลกประหลาดนัก
ผู้ที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยใช้อาวุธกลับหยิบกระบี่ขึ้นมา ทั้งยังสามารถใช้มันได้ดีเพียงนี้ในชั่วพริบตา
นี่ไม่ใช่เรื่องที่แปลกพิลึกอย่างยิ่งหรอกหรือ
มือกระบี่ขี้เหล้าย่อเข่าลงแล้วกระโดด
ร่างนั้นกระโดดขึ้นสูง
กระบี่นี้กลับเปลี่ยนแนวทาง
ตัวกระบี่ห่อหุ้มไปด้วยพลังเต็มเปี่ยม
พุ่งตรงไปเสียบคอหอยของฮั่ววั่ง
ฮั่ววั่งมองแสงเย็นเยือกบนปลายกระบี่ของมือกระบี่ขี้เหล้า
แสงเย็นเยือกนี้ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นในรูม่านตาของเขา
สีหน้าเขามีร่องรอยของความเสียใจปนเศร้าเล็กน้อย
มนุษย์จะแปรเปลี่ยนไปในที่สุด
จากไม่ใช้อาวุธเปลี่ยนไปใช้กระบี่
แม้ว่าเขาจะไม่เห็นด้วยกับมันก็ตาม
แต่เขาสามารถเข้าใจได้
เพราะฮั่ววั่งเดาถูกแล้ว ผู้ที่มอบกระบี่เล่มนี้ให้มือกระบี่ขี้เหล้าจะต้องเป็นสตรี
ในร้านอาหารตอนกลางวัน มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าวไปแล้วว่าผู้ที่มอบกระบี่ให้เป็นสตรีเลอโฉมผู้หนึ่ง
แต่ฮั่ววั่งไม่เชื่อ
ไม่ว่าผู้ใดก็ล้วนชอบคุยโวโอ้อวด
ยามบุรุษคุยโวโอ้อวดมักจะเกี่ยวข้องกับสตรีทั้งสิ้น
โดยเฉพาะสตรีเลอโฉม
ฮั่ววั่งไม่ข้องแวะกับสตรี จึงไม่มีความคิดที่สามารถมองทะลุปรุโปร่งในด้านนี้ถึงเพียงนั้น
ดังนั้นเขาจึงละเลยประเด็นที่สำคัญยิ่ง
นั่นก็คือไม่ว่าบุรุษจะประสบกับการล้มลุกคลุกคลานมามากเพียงใด ไม่ว่านิสัยจะดื้อรั้นมากเพียงไหน ท้ายที่สุดก็จะเปลี่ยนแปลงไปเพราะสตรี
สตรีผู้นี้อาจเป็นภรรยาหรือคนรัก
หรือจะเป็นพี่สาว น้องสาวหรือมารดา
พวกนางล้วนเป็นไปได้ทั้งสิ้น
ทว่าในที่สุดก็จะเป็นสตรีผู้หนึ่ง
บุรุษอาจขุ่นเคืองต่อความไม่เป็นธรรมจนยอมเสี่ยงตายเพื่อสหายได้
แต่จะไม่ประนีประนอมเพื่อสหายเด็ดขาด
ทว่ากลับสามารถยอมแพ้และละทิ้งหลักการทั้งหมดเพื่อสตรีบางคนหนแล้วหนเล่า
นี่ก็เหมือนดั่งฆ่าคนจำต้องเห็นโลหิต
เป็นเรื่องที่ไร้ทางเลี่ยงอย่างยิ่ง
มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าวถาม
“ข้ากำลังรอเจ้าอยู่”
ฮั่ววั่งกล่าว
“รอข้าทำสิ่งใด”
มือกระบี่ขี้เหล้าถามอย่างไม่เข้าใจ
“รอเจ้าเรียนรู้การใช้กระบี่”
ฮั่ววั่งตอบ
มือกระบี่ขี้เหล้าฉีกยิ้ม
เขารู้สึกว่าฮั่ววั่งน่าเอ็นดูขึ้นมาเล็กน้อย
ยามที่อยู่ในร้านอาหาร เขายังรู้สึกว่าฮั่ววั่งค่อนข้างทึ่มทื่อ
แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเขาน่ารักน่าเอ็นดูยิ่งนัก
หากไม่ใช่เพราะตนต้องการเลื่องชื่อและต้องการกลายเป็นวีรบุรุษชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้า เขาอาจจะกลายเป็นสหายที่ดีกับฮั่ววั่งก็เป็นได้
สหายกับสตรี
เพราะลำดับการพบเจอก่อนหลังต่างกัน
ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมแตกต่างกันเป็นธรรมดา
หากมือกระบี่ขี้เหล้าพบเจอฮั่ววั่งก่อน นั่นย่อมเป็นสถานการณ์ที่ต่างออกไป
น่าเสียดาย
ผู้ที่เขาพบเจอก่อน
คือสตรีที่มอบกระบี่ให้ผู้นั้น
มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าวถาม
ฮั่ววั่งส่ายศีรษะไม่ตอบ
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากบอกแต่เขาเองก็ไม่รู้
ต่างเข้าสู่เส้นทางนี้ไม่นาน ฮั่ววั่งเองก็มีเวลามากกว่ามือกระบี่ขี้เหล้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ไม่สามารถนับว่าเป็นอาจารย์ของผู้ใดได้
หากไม่เชี่ยวชาญในปัญหานี้
เช่นนั้นเขายอมไม่เอ่ยกล่าว
หากกล่าวผิดพลาดไป ไม่เพียงทำร้ายผู้อื่น แต่ยังทำร้ายตนเองด้วย
แม้จะกล่าวว่าการสอนผิดศิษย์ล่าช้าดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับเขา
แต่ก็สามารถเปลี่ยนแปลงจิตใจของเขาให้ละเอียดอ่อนขึ้น
และการเปลี่ยนแปลงอันละเอียดอ่อนนี้สะท้อนให้เห็นบนกระบี่ในมือเขา
จิตใจเปลี่ยนแล้ว
กระบวนกระบี่ย่อมเปลี่ยน
เฉกเช่นเดียวกับคนเป่าขนมน้ำตาลปั้นผู้นั้น
แม้ว่าเขาไม่เคยฝึกวรยุทธ์ แต่ในสายตาของฮั่ววั่งก็ยังเป็นปรมาจารย์ไร้เทียมทาน
เพราะเขาทำเรื่องเดียวมานานสิบปี
สำหรับผู้อื่นไม่อาจกล่าวว่าไร้การแสวงหา
แต่เขาสามารถขจัดความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้ไปได้เสมอ
ฮั่ววั่งไม่อาจทำเช่นเขาได้
ดังนั้นแม้ว่าช่างฝีมือจะไร้ซึ่งตบะวิถียุทธ์ใดๆ ฮั่ววั่งก็รู้สึกว่าเขาเก่งกาจยิ่งกว่าตน
คนเช่นนี้หากได้จับกระบี่
ครั้นคิดถึงตรงนี้ เขาไม่รู้ว่าควรโล่งอกเพราะโชคดีหรือว่าควรเสียดายดี
โชคดีที่มีภัยคุกคามต่ออาณาจักรติ้งซีอ๋องน้อยลงไปหนึ่ง
เสียดายที่ใต้หล้าต้องสูญเสียมือกระบี่ไป
วิถีกระบี่เป็นวิถีแก่นแท้
กระบวนกระบี่เป็นกระบวนแก่นแท้
ครั้นถึงแก่นแท้ แห่งหนใดจะไม่ใช่กระบี่
ครั้นครอบครองแก่นแท้ สิ่งใดจะไม่ใช่กระบวนท่า
แม้หลักการนี้จะกล่าวง่ายดาย แต่กระทำยากยิ่งนัก
แม้แต่เริ่นหยางเทพบริราชเก้าทวีปก็เพิ่งค้นพบแนวทางใหม่ สรรสร้างกระบี่ตกปลาขึ้นมาเอง
ฮั่ววั่งกำลังรอแก่นแท้ของมือกระบี่ขี้เหล้าอยู่
เพียงแค่ข่มความคิดที่อยากมีชื่อเสียงเลื่องลือเพื่อสตรีผู้นั้นลงเล็กน้อย เขาก็จะเข้าถึงและครอบครองแก่นแท้ได้
ถึงตอนนั้นจึงจะนับว่าเข้าสู่หนทางแห่งกระบี่
มือกระบี่ขี้เหล้าสูดหายใจเข้าลึก
ปิดเปลือกตาเล็กน้อย
ฮั่ววั่งสัมผัสได้ว่าพลังในกายของเขาค่อยๆ ลดหลั่นไปทีละน้อย
แม้ว่าบนพื้นผิวจะลดหลั่นลง แต่ความจริงแล้วกลับมั่นคงและตกตะกอนทีละนิดๆ อีกครั้ง!
ทว่าความประมาท หุนหันพลันแล่น กระหายเลือด รวมถึงจิตสังหารก่อนหน้านี้อันตรธานหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“เจ้ามาวันพรุ่งนี้เถอะ”
ฮั่ววั่งกล่าว
เขาแค่นเสียงเบาๆ
“ไม่ ไม่ใช่พรุ่งนี้”
มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว
จากนั้นลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ยามนี้ในดวงตาของเขามีเพียงความกว้างใหญ่ไร้สิ้นสุด
ราวกับมหาสมุทรในรัตติกาล
แม้ว่าคลื่นจะไม่หยุดพักแต่ก็ยังซัดสาดเข้าฝั่ง
แต่คลื่นที่ซัดสาดนับไม่ถ้วนล้วนทำให้รอยย่นของมหาสมุทรราบเรียบได้ชั่วขณะหนึ่ง
ในสายตามือกระบี่ขี้เหล้าเป็นผืนมหาสมุทรที่ไร้คลื่น
กล่าวอีกนัยหนึ่ง เขาแช่แข็งคลื่นนี้เอาไว้
แช่แข็งส่วนท้ายที่จะซัดสาดเข้าฝั่ง
นี่เป็นช่วงเวลาที่มหาสมุทรแผ่ออกไปมากที่สุด
“เช่นนั้นก็วันมะรืน”
ฮั่ววั่งกล่าว
“ข้าจะไม่มาอีกแล้ว”
มือกระบี่ขี้เหล้ากล่าว
คิดไม่ถึงว่าเขาจะเก็บกระบี่
ฮั่ววั่งเฝ้าดูทั้งหมดนี้อย่างสงบนิ่ง
ราวกับคาดการณ์เอาแล้วไว้ก็ไม่ปาน
“ข้ายังไม่รู้ว่าเจ้านามว่าอย่างไร”
ฮั่ววั่งกล่าว
“นามว่าอย่างไรสำคัญด้วยหรือ”
มือกระบี่ขี้เหล้าย้อนถาม
“เจ้ารู้ว่าข้านามว่าฮั่ววั่ง ข้ากลับไม่รู้นามเจ้า แม้นามว่าอะไรจะไม่สำคัญ แต่อย่างน้อยการเอ่ยนามก็เป็นมารยาท โดยเฉพาะหลังจากที่เจ้าฟาดฟันกระบี่ใส่ข้าสองครั้ง แทงกระบี่หนึ่งครา”
ฮั่ววั่งกล่าว
“ข้ามีนามว่าฉู่คั่ว”
มือกระบี่ขี้เหล้าชะงักและกล่าว
“ฉู่ที่หมายถึงนภาฉู่ทางทิศใต้ คั่วที่หมายถึงกว้างใหญ่”
มือกระบี่ขี้เหล้ารับคำแล้วกล่าว
“หมอกครึ้มยามพลบค่ำ นภาฉู่อันกว้างใหญ่…”
ฮั่ววั่งพึมพำหนึ่งประโยค
คนเราเป็นดั่งชื่อ
นภาผืนดินฉู่ในคืนหมอกครึ้มช่างกว้างใหญ่ไพศาลสุดลูกหูลูกตา
แม้ว่าผืนดินฉู่นี้จะอยู่แห่งหนใดก็ยังไม่อาจตรวจสอบได้จนถึงทุกวันนี้
แต่มือกระบี่ขี้เหล้าอาศัยอยู่ทั่วทุกแห่ง เหตุใดจึงต้องยึดติดว่าผืนแผ่นดินฉู่อยู่แห่งหนใดเล่า
ตราบใดที่คนอยู่
แห่งหนใดบ้างไม่ใช่ผืนดินฉู่[1]
ท้องนภาแห่งหนใดไม่กว้างใหญ่?
………………………………………………….
[1] ผืนดินฉู่ หมายถึงดินแดนภายใต้เขตอำนาจของรัฐฉู่โบราณ และต่อมาได้ขยายไปยังพื้นที่ใกล้หูหนานและหูเป่ยในปัจจุบัน