ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 24 ลิขิตสวรรค์ขัดต่อผู้ใด-4
บทที่ 24 ลิขิตสวรรค์ขัดต่อผู้ใด-4
ฮั่ววั่งฉวยโอกาสนี้หลุดพ้นจากหมอกพิษและแนวกระบี่ที่ล้อมรอบ หันกลับมาสวนโจมตี หลี่อวิ้นรีบรับมือ
เห็นพลังกระบี่เข้าประชิด ฮั่ววั่งกลับปลดกระบี่ใช้ฝ่ามือฉับพลัน
เขายกฝ่ามือทำลายพลังกระบี่ของตนก่อนหน้านี้ ระเบิดแหลกเป็นร้อยพันสาย แผ่กระจายทั่วสารทิศ
กลุ่มฐานเมฆาสิบสองคนถูกเล่นงานเป็นแถบ บาดเจ็บหนักทีเดียว
หลี่อวิ้นเห็นสหายตนถูกกระบี่ ยามนี้ก็ไม่พะวักพะวนอีกต่อไป
วิชาปาดกระบี่ทลายฟ้าวันนั้นปรากฏอีกครั้ง แต่อย่างไรโอกาสสำคัญในศึกนี้ก็ผ่านไปแล้ว ฮั่ววั่งเพียงหยุดกายเท่านั้น ไม่ได้บาดเจ็บหนัก
“ที่แท้ ก็เป็นเจ้านี่เอง!”
ฮั่ววั่งสองนิ้วมือซ้ายแนบกระบี่ ปลายนิ้วรวมแสงทองกลุ่มหนึ่งชี้ไปที่หลี่อวิ้น
หลี่อวิ้นหลบไม่ทัน ไหล่ซ้ายถูกเจาะทะลุ เลือดไหลดุจเทน้ำ
“พวกเจ้าถอยก่อน!”
หลี่อวิ้นป้องบาดแผลไว้ ตะโกนเอ่ยกับกลุ่มคนฐานเมฆาที่เหลือ
“ถอย? จะไปได้รึ!?”
ฮั่ววั่งยืนผงาดมั่นคง กล่าวพลางถือกระบี่
“ท่านเป็นหนึ่งในห้าอ๋องแห่งใต้หล้า เหตุใดต้องไล่สังหารกลุ่มฐานเมฆาให้ได้”
หลี่อวิ้นออกปากถาม
ที่จริงนางเดาได้แล้วว่าฮั่ววั่งมาเพื่อกระบี่ดาราของตน แต่ตอนนี้พูดอีกประโยคก็ถ่วงเวลาได้อีกพักหนึ่ง เลือดและชี่ที่ปั่นป่วนในกายตนจะได้เสถียรขึ้นส่วนหนึ่ง
คิดไม่ถึง ฮั่ววั่งไม่ต่อบทสนทนาโดยสิ้นเชิง ไม่ให้โอกาสนางได้หายใจแม้แต่น้อย
หลี่อวิ้นเห็นเช่นนี้ พลังรอบกายก็พลันเปลี่ยน พริบตาประหนึ่งความชั่วร้ายทั้งหมดในโลกรวมตัวอยู่ในกาย
กระบี่ออก
เทพและมารล้วนพรั่นพรึง
กระบี่ของฮั่ววั่งเพิ่งตัดกับมันก็พลันหักรับเสียง
หลี่อวิ้นบุกเข้าต่อ คาดไม่ถึงฮั่ววั่งกลับหยัดกายพุ่งไปข้างหน้า เป็นฝ่ายให้กระบี่แทงทะลุแขนซ้ายของตนเอง
หลี่อวิ้นย่อมไม่เคยเห็นวิธีสู้สุดชีวิตเช่นนี้มาก่อน บัดนี้อึ้งงันทั้งกายแข็งทื่อ
เล็งเห็นช่องว่างนี้ ฮั่ววั่งมือถือกระบี่หักฟันส่วนล่างของหลี่อวิ้นในแนวนอน
หลี่อวิ้นหลบไม่ทัน ส่วนท้องถูกกระบี่
นางปักกระบี่ดาราในมือลงบนพื้น ใช้มันเป็นที่พยุงให้กายตนไม่ล้มลงไป
พอลองคิดดู หลี่อวิ้นรู้ดีว่าหากยังหาวิธีหลุดพ้นไปไม่ได้ วันนี้ได้ตายอยู่ที่นี่เป็นแน่
ไม่มีทางเลือก นางรวมลมปราณเคลื่อนกำลังอีกครั้ง
แยกร่างออกเป็นเงามายาหลากสาย หนีเอาชีวิตรอดคนละทิศทาง
คิดไม่ถึง กลับถูกฮั่ววั่งใช้พลังล่มทะเลพลิกแม่น้ำขวางกั้นไว้ทั้งหมดด้วยกระบี่หักครึ่งด้าม
หลี่อวิ้นยังถูกปิดล้อมไว้ที่เดิม นางไม่มีเวลาสนใจเหล่าสหายฐานเมฆาข้างกายแล้ว
‘ไม่รู้หนนี้จะฝ่าภัยนี้ออกไปได้หรือไม่…ข้าหลี่ชิวเฉี่ยว ถ้ำเสือเหวมังกรก็เคยบุกทะลวงมาแล้ว เพียงแต่ครั้งนี้กลับต้องทำผิดต่อพวกนาง…’
หลี่อวิ้นหันกลับไปมองกลุ่มฐานเมฆาสิบสองคน ยิ้มให้พวกนางเล็กน้อย
ดวงอาทิตย์เอนทางตะวันตกแล้ว
ใบหน้าซีดเผือด มุมปากเลือดไหล สาบเสื้อแดงสดท่ามกลางซากภูเขาแม่น้ำและเศษเสี้ยวแสงอาทิตย์ทำให้รอยยิ้มนี้เศร้าสลดอย่างประหลาดชัดเจน
หลี่อวิ้นถอนหายใจยาว กระตุ้นตันเถียนอีกครั้ง อินหยางสองขั้วในกายเริ่มมีสัญญาณแตกสลาย
ในเมื่อสองฝ่ายรู้เขารู้เราแล้ว หลี่อวิ้นจึงทิ้งกระบี่ดาราเสีย ต้านรับแขนขาฮั่ววั่ง เคลื่อนกายต่อสู้อยู่ในป่า
“ฝ่ามือเมฆาร้อยปัก!”
พลังฝ่ามือหลี่อวิ้นทะลุตรง แรงฝ่ามือโจมตีลากยาว
ทะเลเมฆพลิกม้วนทันใด ในนั้นยังมีร้อยหงส์ร้อยมังกรออกทะลวงเมฆปักตะวัน โถมกำลังสังหารฮั่ววั่ง
ฮั่ววั่งพลันรู้สึกแรงกดดันท่วมทั่ว
เพียงเห็นเขาย่อสองเข่าเล็กน้อย สองฝ่ามือยันไว้เสมอกัน
สองแรงตัดไขว้ คล้ายหินทะลวงอากาศ
พื้นดินก็แบกรับพลังโกลาหลนี้ไม่ไหว เริ่มทรุดตัวแยกออกทีละผืน
“ใต้เท้าผู้หนุนฐานรีบไปเร็ว! พวกเราจะถ่วงเขาไว้ด้วยชีวิต!”
กลุ่มฐานเมฆาสิบสองคนรวมพลอีกครั้ง คราบเลือดและเม็ดเหงื่อระเหยด้วยไอร้อนจากวิทยายุทธ์ สวี่ฝานเยี่ยนเลียริมฝีปากที่เริ่มแห้ง
“แนวกระบี่มังกรทลายคลื่น!”
กลุ่มฐานเมฆาทั้งสิบสองคนต่างเค้นเลือดและจิงถ่มใส่บนกระบี่คำหนึ่ง กระบี่ที่อาบด้วยเลือดและจิงส่งเสียงหึ่งๆ ไม่รู้ฮึกเหิมหรือหวาดกลัว
ศิษย์สิบคนคุมกระบี่ดุจทะเลเขียวบังเกิดคลื่น คลื่นหนึ่งยังไม่สงบอีกคลื่นหนึ่งมาถึงไม่ขาดสาย
บัดนี้กระทั่งพลังฝ่ามือดั่งเบิกฟ้าแยกแผ่นดินนั่นของฮั่ววั่งก็ถูกทั้งสิบคนร่วมกันผ่อนแรงไปหมดแล้ว
ขณะหนึ่งสถานการณ์รบตกอยู่ในสภาพต่างฝ่ายไม่ยอมอ่อนข้อ
“จ้าวพันผูกปฐพีแปดทิศ!”
สองเท้าฮั่ววั่งออกแรงฉับพลัน ใช้ตนเองเป็นศูนย์กลาง พลังยากอธิบายทอดตัวสู่แปดทิศ บริเวณที่มันผ่านแม้แต่ดินฝุ่นก็ไม่ลอยฟุ้งอีกต่อไป คุมขังทุกการเคลื่อนไหว
พลังกระบี่คลื่นทะเลถูกยับยั้ง
สองนักรบฐานมือเร็วตาไว กระโดดขึ้นให้ห่างพื้นดิน เคราะห์ดีรอดพ้นพลังคุมขัง
ทั้งสองยืมพลังกันกลางอากาศ โจมตีขนาบซ้ายขวาดั่งมังกรสองตัวแหวกว่าย
“จ้าวสกัดเวหาแปดทิศ!!”
ฮั่ววั่งพลันคว้าอากาศซ้ายขวา สองนักรบฐานถูกตรึงอยู่กับที่ทันใด
หลี่อวิ้นเห็นสภาพการณ์ รวบรวมพลังน้อยนิดทั่วกายเฮือกสุดท้ายขว้างกระบี่ดารา
“อั่ก…”
ฮั่ววั่งอ้าปากตะโกนลั่น
“มารคำรามเวียนวน!”
กระบี่ดาราถูกสกัดร่วงลงพื้น
“ติ้งซีอ๋อง! หม่อมฉันให้กระบี่ดาราท่าน ขอแค่ท่านปล่อยกลุ่มฐานเมฆาไป!”
หลี่อวิ้นกุมบาดแผล ยังคงดื้อรั้นกล่าว
“แล้วจะเอาสิ่งใดมาแลกชีวิตของเจ้าอีกล่ะ”
ฮั่ววั่งมองกระบี่ดาราบนพื้นแวบหนึ่ง กระบี่ดาราเล่มนี้ไม่มีฝักตั้งแต่หลี่อวิ้นปรากฏตัว
“ชีวิตหม่อมฉันไม่ต้องแลก หากท่านอยากได้ เช่นนั้นก็เอาไป! กระบี่ดาราหนึ่งเล่มแลกกับชีวิตของสิบสองคนนี้ยังไม่พออีกหรือ”
“ไม่พอ ไม่พอ…กระบี่ดาราไร้ฝักแทบไม่ต่างกับอาวุธเทพทรงพลังทั่วไป แต่สิบสองคนนี้ล้วนเป็นระดับหัวกะทิของฐานเมฆาเจ้า…ไม่แน่วันใดอาจมีพวกฝีมือโดดเด่นสองสามคนประสบความสำเร็จบนวิถียุทธ์เหนือกว่าข้าก็เป็นไปได้ ข้าได้กระบี่ดารากึ่งขยะเล่มหนึ่งกลับต้องปล่อยคู่แค้นสิบสองคนที่เกลียดชังข้าเต็มอกแล้วยังมีศักยภาพไร้ขีดจำกัด การซื้อขายนี้ไม่คุ้มค่าเลยสักนิด”
หลี่อวิ้นเงียบกริบ กระบี่ดาราเล่มนี้เป็นแต้มต่อมากสุดที่นางหยิบออกมาได้ในยามนี้แล้ว
นางตริตรองในใจอย่างรวดเร็ว ยังมีสิ่งใดกันที่ใช้โน้มน้าวฮั่ววั่งได้อีก
เดิมทีฝ่ายตนก็ไม่ได้เผด็จการเท่ากลุ่มสนับสนุนสงคราม สิบสองคนนี้ยิ่งเป็นกำลังลับหน่วยหนึ่งที่ฝึกอบรมหลายปีมานี้ ไม่อาจสูญเสีย
“แต่ก็ใช่ว่าหารือกันไม่ได้ ขอแค่พวกเจ้าตั้งปฏิญาณเลือดวิถียุทธ์ว่าวันหน้าจะไม่มาแก้แค้นข้าหรือกำลังพลใต้บังคับบัญชาข้าเด็ดขาด ข้าก็จะเก็บกระบี่ดาราไว้และปล่อยพวกเจ้าไป”
ฮั่ววั่งพลันเปลี่ยนประเด็นกล่าว
“คำพูดนี้เป็นจริง?”
“ข้าติ้งซีอ๋องไหนเลยจะปากผิดกับจิตใจ”
“ได้! วันนี้คนของฐานเมฆายอมรับติ้งซีอ๋องเป็นผู้มีน้ำใจกว้างขวาง หากวันหน้าผู้ใดในที่นี้ตามแก้แค้นติ้งซีอ๋องหรือกำลังพลใต้บังคับบัญชาของเขา ผู้นั้นก็ไม่อาจก้าวหน้าในการฝึกยุทธ์ตลอดชีวิต อีกทั้งต้องได้รับโทษสวรรค์ขั้นสูงสุด”
ฮั่ววั่งเห็นคนของฐานเมฆาตั้งปฏิญาณเสร็จสิ้น ตนก็ให้คำสัตย์ทันที จากนั้นปล่อยกลุ่มคนออกจากการคุมขัง
สิบสองคนนี้อยู่ที่ฐานเมฆาล้วนเป็นถึงหัวกะทิอัจฉริยะ ครั้งนี้ออกมาภายนอกครั้งแรกก็ล้มไม่เป็นท่า ต่างรู้สึกท้อแท้ใจอยู่บ้างโดยไม่รู้ตัว…
หลี่อวิ้นเห็นแล้ว คิดอยู่ว่าอีกเดี๋ยวตอนเดินทางกลับควรปลอบใจอย่างไรดี
หากข้ามเนินในใจนี้ไปไม่ได้ วันหน้าต้องมีผลกระทบใหญ่หลวงต่อการฝึกตนแน่นอน
ฮั่ววั่งก้าวขึ้นมาเก็บกระบี่ดารา พลางมองกลุ่มคนฐานเมฆาที่กำลังจากไป
มุมปากของเขาเผยรอยยิ้มชั่วร้าย
กระบี่ดาราพลันกวัดแกว่ง
พลังกระบี่ฟ้าเย็นเยียบห่อหุ้มด้วยแสงแดงเรื่อจากอาทิตย์อัสดงแดงฉาน ดูแล้วประหลาดยิ่ง
“ระวัง!”
หลี่อวิ้นสังเกตเห็นจิตสังหารรุนแรงบุกจู่โจมเข้ามาทางด้านหลังจึงร้องเตือนทันที!
“โอ๊ย! อั่ก…”
แต่สุดท้ายยังคงช้าไปครึ่งก้าว…
เพียงหนึ่งกระบี่
กลุ่มฐานเมฆาสิบสองคน
ตายเรียบ
“มีเพียงกระบี่ดาราที่สำแดงอานุภาพของกระบี่เย็นกร่อนดาราได้สมบูรณ์ดังคาด!”
ฮั่ววั่งถือกระบี่แนวขวางตรงหน้าอก ชื่นชมอย่างพึงใจ
สำหรับเขาการฆ่าสิบสองคนไม่ต่างอะไรกับฉีกกระดาษสิบสองแผ่นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ถึงขั้นง่ายดายกว่าหน่อย
เพราะขอบกระดาษบางยังอาจบาดนิ้วได้หากไม่ระมัดระวัง แต่คนกลับทำได้แค่ส่งเสียงร้องโหยหวนอันเปล่าประโยชน์
“ท่าน!”
หลี่อวิ้นมองสหายที่ตายไป ขึงตามองติ้งซีอ๋องด้วยโกรธจัด
“ข้าเพียงให้คำสัตย์ปล่อยพวกเจ้าไป แต่ใช่ว่าจะไม่สังหารพวกเจ้า เจ้าดู เทียบกับตอนข้าให้คำสัตย์ก่อนหน้านี้ พวกเจ้าไม่ได้อยู่ที่เดิมแล้วใช่หรือไม่”
ฮั่ววั่งกล่าวเหยียดหยัน
“เห็นสวรรค์เป็นเรื่องเล่นเช่นนี้! หลอกตนเองและคนอื่นเช่นนี้! ฮั่ววั่งท่านต้องไม่ตายดี!”
“ตายดีตายเลวไม่สำคัญ ที่ข้าสนใจกว่าคือตายก่อนตายหลัง ระหว่างเจ้ากับข้า เจ้าตายก่อน ตายเสียบัดนี้”
ยังพูดคำว่าตายไม่จบฮั่ววั่งถือกระบี่วาดวงกลมอยู่ตรงหน้าตนเอง
“หยกพิสุทธิ์กวาดเถ้าธุลี!”
“ส่งเจ้าสู่ความตายด้วยเพลงกระบี่งามจับใจดุจภาพวาดบทกวีเช่นนี้ ก็ไม่เสียฐานะผู้หนุนฐานเมฆาของเจ้าแล้ว! ฮ่าๆๆๆ!”
ฮั่ววั่งแหงนหน้าหัวเราะลั่น เผยธาตุแท้จอมอหังการหมดเปลือก
………………………..
ในหัวเมืองรัฐติง
ทังจงซงแก้ผ้าหลิวรุ่ยอิ่งในบ้านของตาเฒ่าเยี่ย
“จึๆๆ สองมือข้าเพิ่งเคยถอดเสื้อผ้าบุรุษเป็นครั้งแรก! ดีเสียจริงที่ข้าเรียกเจ้าว่าสหาย!”
ในลานบ้านของตาเฒ่าเยี่ยมีแท่นเตาใหญ่ยักษ์อันหนึ่งกับหม้อเหล็กมหึมาอันหนึ่ง
เขาเอาไว้ใช้ต้มน้ำอาบให้ตนเอง
ตอนนี้กลับเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการขับพลังโลหะเสี้ยมคมให้หลิวรุ่ยอิ่ง
ทังจงซงหาตะแกรงอันหนึ่งมาวางในหม้อ จับหลิวรุ่ยอิ่งนั่งขัดสมาธิวางไว้บนตะแกรง แล้วใช้ราวไผ่ท่อนหนึ่งประคองสันหลังของเขา เขาจะได้ไม่เอนซ้ายเอียงขวา
“ตาเฒ่าเยี่ย ฝาหม้อของท่านล่ะ”
ทังจงซงมองซ้ายแลขวาล้วนหาฝาหม้อไม่เจอ จึงออกปากถาม
“เจ้าเอาฝาหม้อไปทำอะไร”
“ต้มของไม่ปิดฝาหม้อรึ”
ทังจงซงรู้สึกตาเฒ่าเยี่ยพิลึกคน
“พ่อเจ้าประคุณ! นี่คือคน คนเป็นๆ คนหนึ่ง! หากเจ้าปิดฝาหม้อไม่อบเขาจนสุกหรอกรึ”
“อ้อๆ…ก็จริง!”
ทังจงซงตอบสนองทันที
“แค่ใช้ไอร้อนจากไฟเผาโลหะช่วยร่างกายเขาขับพลังประหลาดภายนอกนั่นจากล่างขึ้นบนก็พอ เจ้าอย่าลืมป้อนน้ำให้เขาทุกครึ่งชั่วยาม ไม่อย่างนั้นพลังประหลาดยังไม่ทันละลายเขาได้ถูกย่างเป็นคนแดดเดียวเสียก่อน”
ตาเฒ่าเยี่ยพูดจบก็หมุนกายเดินเข้าในบ้าน เหลือทังจงซงอยู่ข้างนอกเพียงคนเดียว
“ฮี่ๆ ดูเหมือนของข้าใหญ่กว่าหน่อย!”
ทังจงซงไม่มีอะไรทำเลยมองเรือนร่างเปลือยเปล่าของหลิวรุ่ยอิ่ง แอบทำการเปรียบเทียบ
ในที่ว่าการ
เจียงเหิงเจียวมีเรื่องด่วนเข้าพบทังหมิง บอกว่าเมื่อครู่นี้เกิดเสียงการต่อสู้ดุเดือดขึ้นนอกหัวเมืองรัฐติง
ทังหมิงฟังจบไม่ได้จัดการทันที เพียงให้เจียงเหิงเจียวนำกำลังทหารอีกกลุ่มไปเสริมการป้องกันแต่ละประตูของหัวเมือง
ชั่วขณะที่ฮั่ววั่งออกจากที่ว่าการเขาก็รับรู้ได้แล้ว บัดนี้ดูท่าไม่รู้ท่านอ๋องผู้นี้กำลังทำเรื่องใหญ่สะเทือนฟ้าดินอันใดอยู่อีก
หากตนบุ่มบ่ามมุ่งหน้าไปแล้วเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น ได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน จะไม่เป็นการหาเหาใส่หัวหรอกหรือ
………………………..
เมืองติ้งซีอ๋อง
บัณฑิตจางยังคงยืนตระหง่านอยู่นอกเมือง
คล้ายยืนนิ่งเหมือนต้นสน
ที่จริงปะทะกับเริ่นหยางมาไม่ต่ำกว่าหลายร้อยรอบ
สองคนแปลงจิตเป็นกระบี่และดาบ ขวานและเยวี่ย[1] ผ่าจามฟันแทงครบทุกกระบวน
ด้านหนึ่งแข็งแกร่งดุจทองคำบริสุทธิ์ อีกด้านก็อ่อนนุ่มพันรอบนิ้ว
ด้านหนึ่งดั่งสายรุ้งเจาะนภากาศ อีกด้านก็สายน้ำไหลใต้สะพานเล็ก
หอกมาโล่ต้าน กระบี่ถึงดาบสกัดโดยแท้
สองคนต่อสู้ฝีมือทัดเทียม
………………………………………….
[1] เยวี่ย อาวุธรูปร่างคล้ายขวาน