ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 207 แก่นแท้พฤกษาอัคนี เมฆาวารีหรรษา-8
บทที่ 207 แก่นแท้พฤกษาอัคนี เมฆาวารีหรรษา-8
หลิวรุ่ยอิ่งดึงสติกลับมาแล้วเบิกตากว้าง
เห็นเจ้าหมิงหมิงยืนประจันหน้ากับสตรีเล่นว่าวเช่นนี้
ในใจรู้สึกไม่เข้าใจเล็กน้อย
ครั้นเงยหน้าขึ้น จึงมองเห็นจินเฉาโหย่วเยวี่ยกวักมือเรียกเขา บอกให้เขาไปที่โต๊ะ
“รบกวนนายกองหลิวช่วยนำสุราอีกสองกามาให้ข้าได้หรือไม่”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้ปฏิเสธ
หยิบสุราสองกาจากปลายโต๊ะอีกด้านมาวางไว้ตรงหน้าเขา
“ประมุขจินเฉาดื่มได้ไม่เลวจริงๆ!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวพลางหัวเราะ
“ต่างจากครั้งเยาว์วัยมากนัก…”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวพลางส่ายศีรษะยิ้มอย่างขมขื่น
“แต่ดื่มได้มากถึงเพียงนี้ ก็ยังเหนือกว่าผู้อื่นยิ่งนัก”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“กาหนึ่งของข้า อีกกาหนึ่งของท่าน”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยยกมือขวาขึ้น
ใช้หลังมือดันช้าๆ จนกาสุราส่งไปยังด้านหน้าหลิวรุ่ยอิ่ง
“ข้าหาได้คอแข็งเท่าประมุขหอจินเฉาเพียงนี้ไม่ หากเมาแล้วจะทำตัวน่าขันเอาได้”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เขาจะดื่มสุราในยามนี้ได้อย่างไรเล่า
เจ้าหมิงหมิงต่อสู้เป็นตายกับสตรีเล่นว่าวเพื่อช่วยตนเรื่องหนังสือทางการ
ยิ่งกว่านั้นเขาไม่รู้ว่าสุรานี้มีพิษหรือไม่
หากดื่มเข้าไปแล้ว ตนก็จะนั่งเป็นอัมพาตขยับเขยื้อนได้เพียงแขนขวาเช่นจินเฉาโหย่วเยวี่ย
มันจะไม่เป็นการเพิ่มภาระให้เจ้าหมิงหมิงอีกหรือ
ดังนั้นเขาตั้งใจว่าจะไม่ดื่มสุรานี้
“ข้าเกรงว่าที่นี่ยังต้องการเวลาอีกสักพัก ดื่มสุราเสียหน่อยจะได้ไม่เบื่อเกินไป”
ตอนนี้เอง จู่ๆ เจ้าหมิงหมิงก็หันมาพูดกับหลิวรุ่ยอิ่ง
ครั้นหลิวรุ่ยอิ่งได้ยินจึงนั่งลงข้างจินเฉาโหย่วเยวี่ยและรินสุราให้ตนเอง
“นี่คือสุราใดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เมื่อคืนรีบร้อนดื่มเกินไป
ยังไม่ทันได้ลิ้มรสเลียดละไม
“สุราดี”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“สุราของประมุขหอจินเฉาย่อมไม่เลว ข้าเพียงอยากรู้ว่าสุรานี้นามว่าอะไร”
หลิวรุ่ยอิ่งหัวเราะพลางกล่าว
จินเฉาโหย่วเยวี่ยจนปัญญาเล็กน้อย
เพราะชื่อสุรานี้จริงๆ ก็คือ ‘สุราดี’
คำว่า ‘ดี’ คำเดียวเป็นชื่อสุรา
เกรงว่าในใต้หล้าจะมีที่นี่ที่เดียว
“สุรานี้ยังมีเรื่องราวอีกด้วย”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“เรื่องราวใดหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งถาม
แต่สายตาของเขามองไปที่เจ้าหมิงหมิง
ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด
เพียงเขายกจอกสุราขึ้นมา ในใจพลันนึกถึงเจ้าหมิงหมิง
นึกถึงในโรงเตี๊ยมพูนโชคที่หัวเมืองรัฐติงคืนนั้น
ภาพหลังจากเขาดื่มกับเจ้าหมิงหมิงและร้อง ‘สุราบงกช’ ไปท่อนหนึ่ง
ดังนั้นในเมื่อยามนี้ต้องดื่มสุรา เจ้าหมิงหมิงก็อยู่ตรงหน้าเขาอีกครั้ง
จะไม่มองไปหาได้อย่างไร
เพียงแต่ตอนนี้เจ้าหมิงหมิงไม่มีเวลามาร่ำสุรากับเขา
ไม่มีแม้กระทั่งเวลาสบตาสื่อสาร
ยามนี้สตรีเล่นว่าวดูเหมือนจะเสียสติไปแล้ว
นางฉีกว่าวของตนออกเป็นชิ้นๆ เผยให้เห็นโครงกระดูก
จากนั้นงอโครงกระดูกโค้งในมือไปมา
บิดมันจนกลายเป็นผีผา
ที่แท้แล้วสายว่าวนั้นเป็นสายของผีผาตัวนี้
ขอเพียงสตรีเล่นว่าวขึงสายใหม่อีกหน ผีผาของนางก็จะเกิดใหม่อีกหน
“ก็อย่างว่า ไม่มีผู้ใดละทิ้งสิ่งที่ใช้มานานหลายปีได้ง่ายๆ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวพลางถอนหายใจ
“นางใช้ผีผานั่นหลายปีแล้วหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถาม
“แน่นอน นายกองหลิวนึกว่านางเอาแต่เล่นว่าวทุกวันหรือ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวพลางหัวเราะ
“ว่าวต้องการลมจึงจะปล่อยได้ แต่ผีผาจะบรรเลงเมื่อใดก็ได้ อารมณ์ดีก็บรรเลงได้ อารมณ์เสียก็บรรเลงได้”
“แต่บางทีเสียงของผีผาพานแต่จะทำให้คนรู้สึกอารมณ์เสียกระมัง…”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ดังนั้นยามที่ฟังผีผาจะต้องดื่มสุรา ไม่ว่ามันจะทำให้อารมณ์ของท่านแปรเปลี่ยนเช่นไร สุรามักมีความสุข ละลายท่วงทำนองคร่ำครวญลงในสุรา ครั้นดื่มลงไปก็จะไม่รู้สึกอึดอัดถึงเพียงนั้น”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“คนผู้นั้นคือใครหรือ”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่างพลางชี้ชายเป่าขลุ่ยที่นอนอยู่บนพื้น
“เขามีนามว่าจางจื่อหาน แต่เดิมเขาไม่ได้ชื่อนี้ ส่วนแต่ก่อนนามว่าอะไรนั้น ข้าก็ไม่รู้ ตอนที่ข้ารู้จักเขา เขาก็มีนามว่าจางจื่อหานแล้ว”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งรู้สึกว่าไม่เพียงแต่ชื่อของตัวเขาเท่านั้นที่แปลก แม้แต่ชื่อของศัตรูคู่แค้นเขาก็แปลกเช่นกัน
“ว่ากันว่าครั้งหนึ่งเขาเคยเป่าขลุ่ยใส่น้ำในเหมันต์ฤดู เพียงผ่านไปหนึ่งบทเพลง คิดไม่ถึงว่าจะทำให้ความหนาวเย็นที่ปกคลุมลดลง จนกระทั่งผ่านไปสามสิบเก้าวันก็ไร้ซึ่งน้ำแข็งแล้ว”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“ชื่อจื่อหานเป็นมาเช่นนี้นี่เอง…ช่างน่าสนใจยิ่งนัก แต่เหตุใดวันนี้เขาถึงเปราะบางเล่า”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวถาม
“เฮ้อ…”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยถอนหายใจอีกครั้ง
เพียงแต่การถอนหายใจคราวนี้ ทำให้เขาเอือมระอายิ่งกว่าคราวก่อนนัก
“หากท่านไม่ถาม เขาอาจจะเอาแต่นอนอยู่เช่นนี้ต่อไป จื่อหาน เจ้าลุกขึ้นมาได้แล้วกระมัง”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
ทันทีที่สิ้นเสียง
เห็นจางจื่อหานที่เอาแต่นอนหมดสติบนพื้นมาตลอดค่อยๆ หยัดกายลุกขึ้นยืน
เขาปัดผงไข่มุกที่เปรอะเปื้อนบนกายแล้วเดินไปข้างกายหลิวรุ่ยอิ่งและจินเฉาโหย่วเยวี่ย
“ข้าน้อยจางจื่อหาน นายกองหลิว ยินดีที่ได้รู้จัก!”
จางจื่อหานรินสุราให้ตนเอง
กล่าวกับหลิวรุ่ยอิ่งอย่างสุภาพอ่อนน้อม
หลิวรุ่ยอิ่งยกจอกสุราขึ้นชนกับเขาเบาๆ แต่ไม่ได้ดื่มจนหมด
เพราะเขาในยามนี้ยังคงจมอยู่ในภวังค์ที่น่าเหลือเชื่อ
จางจื่อหานแสร้งนอนหมดสติบนพื้น เห็นได้ชัดว่าตกลงกับจินเฉาโหย่วเยวี่ยไว้ก่อนแล้ว
ทว่าดูออกได้ไม่ยาก ตอนแรกเริ่มจางจื่อหานมาแก้แค้นจินเฉาโหย่วเยวี่ยพร้อมกับสตรีเล่นว่าว
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
สตรีเล่นว่าวเห็นจางจื่อหานลุกขึ้น โกรธจนไม่อาจควบคุมได้!
นางยื่นมือชี้จางจื่อหาน โกรธจนเอ่ยวาจาไม่ออกแม้เพียงคำเดียว
เจ้าหมิงหมิงเห็นสถานการณ์จึงหยุดมือ
ปล่อยให้ใจของสตรีเล่นว่าวคลุ้มคลั่งเล็กน้อย
“ซุนมู่หนิง เจ้ามักชอบใช้ลูกไม้ชายหญิงนั่นเล่นงานเสมอ หารู้ไม่ว่าความแค้นระหว่างบุรุษผูกง่ายก็แก้ง่าย ข้าในตอนนี้ไม่นับว่าเป็นสหายกับจินเฉาโหย่วเยวี่ย แต่กลับเป็นคนที่มีหัวอกเดียวกัน เพราะเราทั้งคู่ล้วนเคยเป็นชายถูกเจ้าเล่นสนุกและหลอกลวงมาก่อน แต่ว่าคนหัวอกเดียวกันเดิมทีก็เป็นสหายกัน ฉะนั้นตอนนี้พวกเราก็ยังเป็นสหายกัน”
จางจื่นหานกล่าว
ยังเป็นวาจาวกวนอธิบายซ้ำๆ และสมเหตุสมผลยิ่งของเขาเช่นเคย
หลิวรุ่ยอิ่งมองจินเฉาโหย่วเยวี่ย
ชายเป่าขลุ่ยมีนามว่าจางจื่อ[1]หาน[2]
เป็นเพราะเสียงขลุ่ยทำให้น้ำแข็งกะเทาะแตก
สตรีเล่นว่าวนามว่าซุนมู่หนิงจะมีคำอธิบายว่าอย่างไร
“นางเคยเป็นเด็กสาวที่ดียิ่งคนหนึ่ง ไร้เดียงสาร่าเริง สง่างามใจกว้าง ต่อมาประสบกับการแยกทางครั้งเดียวก็กลายเป็นเช่นนี้แล้ว”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเข้าใจความคิดของหลิวรุ่ยอิ่งจึงเอ่ยกล่าว
“อย่าเอ่ยถึงเขา!”
ซุนมู่หนิงตะโกนคำราม
หยาดน้ำตาใสร่วงผล็อย
มีเพียงน้ำตา ไม่เหมือนน้ำนมและไม่เหมือนน้ำตาล
เต็มไปด้วยความขมขื่นยิ่งนัก
“ตอนนั้นนางสวมชุดแต่งงานสีแดงสด สวมรองเท้าสีขาวบริสุทธิ์คู่หนึ่งนั่งอยู่บนตั่งหินหน้าประตู ยามนั้นเป็นเวลาพลบค่ำแสงอาทิตย์อัสดงสาดส่องร่างกายนาง แต่กลับไม่อาจแยกชัดเจนได้ว่าอาทิตย์อัสดงหรือชุดแต่งงานที่สีแดงยิ่งกว่า”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวถึงตรงนี้พลางดื่มสุราหนึ่งจอก
หลิวรุ่ยอิ่งเติมให้เขาอีกจอก
เพราะเขาอยากฟังตอนจบของเรื่องนี้จริงๆ
“นางเพียงนั่งอยู่เช่นนี้พลางบรรเลงผีผากับอาทิตย์อัสดง นางเอาแต่บรรเลงเช่นนี้จนผ่านไปแล้วสามวัน อาทิตย์อัสดงก็อยู่เป็นเพื่อนนางสามวัน จนกระทั่งเสียงผีผาของนางหยุดลง ตะวันจึงลับขอบฟ้าไปอย่างช้าๆ ด้วยเหตุนี้คนรอบข้างจึงมองว่านางกาลกิณี นางจึงละทิ้งบ้านเกิด ท่องยุทธภพเพียงลำพัง”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
เจ้าหมิงหมิงได้ยินสิ่งนี้ ในใจพลันรู้สึกสงสารเล็กน้อย
ทุกคนกลายเป็นสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้
ไม่ว่าตนเกลียดชังก็ดี โปรดปรานก็ดี
แต่กลับช่วยเหลือตนเองไม่ได้
ผู้ที่มีความรักลึกซึ้งที่สุด สามารถใช้ความรักอันลึกซึ้งจับอาทิตย์อัสดงไว้
แต่เพราะความรักแปรเปลี่ยนฉับพลัน จึงขาดความยับยั้งชั่งใจ
ทุกสิ่งคือโชคชะตา ไม่มีสิ่งใดขึ้นอยู่กับคน
เจ้าหมิงหมิงเดินไปข้างหน้าหลายก้าว
ซุนมู่หนิงเงยหน้าขึ้นอย่างระมัดระวัง
ยังคงมีคราบน้ำตาอยู่บนใบหน้า
เจ้าหมิงหมิงล้วงผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งออกมาจากอกของนางแล้วยื่นให้
นางถือผ้าเช็ดหน้าในมือแล้วเขย่ามัน
บอกเป็นนัยว่านี่เป็นเพียงผ้าเช็ดหน้าธรรมดาให้นางใช้เช็ดน้ำตาเท่านั้น
“ความแค้นระหว่างสตรี ผูกง่ายแต่แก้ยากจริง ทว่าความแค้นระหว่างสตรี ท้ายที่สุดแล้วล้วนเป็นความผิดของบุรุษเช่นพวกท่าน”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งลูบจมูกตนเอง
เห็นได้ชัดว่าคำพูดของเจ้าหมิงหมิงทำให้เขารู้สึกทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย
“ชาวภูเขาร่ำยอดสุราคล่องยิ่ง
ร่ำตามตรอกตามหัวสะพาน
รับแสงอัสดงที่ตรอกสะพานประจิม
ยามร่ำสุราความเศร้าถาโถม
ดื่มด่ำสำราญถนนทอดยาว
ย่ำก้าวขึ้นหอหยกขาว
หอสูงลมหนาวกระหน่ำ
ไม่อาจพัดจอกทองคำแตก
ไร้หนทางข้างหน้าสิ้นทางกลับ
ผู้ร่ำสุราวนกลับมาร่ำลำพัง
เคราะห์ดีมีสุราชั้นยอดจากท่าน
ถูกความรักทอดทิ้งน่าสงสาร
แรกแย้มเยาว์วัยเมามายขึ้นหอ
โศกเศร้าหมองใจนานนับสิบปี
มีหลายสิ่งมากมายในกา
นอกจากชีวิตความตายก็ชายหญิง
ชมห่านป่าบินเหนือรัฐไป๋ผิง
คนงามหอมหวนเซียนท่องสัญจร
ชุดวิวาห์ดั่งสีเลือดเสียงขลุ่ยคลอเคล้า
ร่วมร่ำสุราร่วมร้องทุกข์
มนุษย์โลกถามข้ากระหายสุราไม่
แท้จริงหวนคนึงถึงสหายร่ำสุรายิ่ง”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยถือจอกสุรามือขวาพลางเคาะโต๊ะตามจังหวะ
จางจื่อหานเป่าขลุ่ยไม้ไผ่
หลิวรุ่ยอิ่งเบนสายตาไปยังซุนมู่หนิง
ที่ขาดตอนนี้
ก็คือผีผาของนาง
และยาถอนพิษในอ้อมอก
…………………………………………………………..
[1] จื่อ (止) แปลว่าหยุดหรือระงับ
[2] หาน (寒) แปลว่าหนาวซึ่งอาจถึงขั้นก่อตัวเป็นน้ำแข็ง