ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 203 แก่นแท้พฤกษาอัคนี เมฆาวารีหรรษา-4
“ฮ่าๆๆ!”
สตรีเล่นว่าวเห็นจินเฉาโหย่วเยวี่ยกินมันเข้าไป
หัวเราะร่าพลางกระโดดลงจากโต๊ะกลม
“ตอนนี้เจ้าทำได้เพียงบอกข้ามาว่าเงินเหล่านั้นอยู่ที่ใดกันแน่”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
จินเฉาโหย่วเยวี่ยเผยสีหน้าตื่นกลัว
ขมปร่าและเจ็บแปลบบนปลายลิ้นเล็กน้อย
เขามองสตรีเล่นว่าวอย่างเหลือเชื่อแต่กลับพูดไม่ออกแม้เพียงคำเดียว
“ถั่วลิสงเป็นของเจ้า ชุดรับประทานอาหารก็เป็นของเจ้า แต่ปากเป็นของข้า”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
จินเฉาโหย่วเยวี่ยมองตะเกียบที่นางใช้เมื่อครู่
ใครจะไปคิดว่านางจะซ่อนพิษไว้ในปากและฉวยโอกาสกินอาหารทำให้ตะเกียบเคลือบพิษไว้เล่า
จินเฉาโหย่วเยวี่ยค่อยๆ สงบอารมณ์เย็นลง
หันกลับไปรินสุราให้ตน
อันที่จริงเขาดื่มสุรา
แต่ก่อน
ไม่เพียงแต่ดื่ม
ยังดื่มสุราจัดอีกต่างหาก
คอทองแดงยิ่งนัก
“สุราแก้พิษไม่ได้”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
นางเห็นจินเฉาโหย่วเยวี่ยต้องการดื่มสุราจึงเข้ามาขวาง
“อย่างไรก็แก้พิษไม่ได้ เหตุใดจึงไม่ดื่มสุราให้เวลาผ่านไปเร็วเสียหน่อยเล่า”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
สตรีเล่นว่าวก็ไม่รีบร้อน
ถึงอย่างไรก็ตามทุกจอกที่จินเฉาโหย่วเยวี่ยดื่ม นางก็จะเติมสุราจนเต็มจอกอีกครั้ง
ทันใดนั้นมือที่นางรินสุราพลันสั่นไหว
แม้แต่ฝากาสุรายังร่วงลงพื้น
จินเฉาโหย่วเยวี่ยแสร้งมองไม่เห็นและดื่มสุราต่อไป
“คิดไม่ถึงว่ามนุษยสัมพันธ์ของเจ้าไม่เลวนัก”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
“ข้าไปที่ใดล้วนเป็นที่โปรดปราน”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“คนร่ำรวยย่อมไม่ถูกดูแคลน”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
“นี่หาได้เกี่ยวข้องกับเงินไม่ ข้าอยู่เป็นต่างหาก”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าวพลางวางจอกสุรา
“เกรงว่าค่ายกลของเจ้าจะอยู่ได้อีกไม่นาน”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“นี่เป็นคนที่เจ้าเตรียมไว้หรือ”
สตรีเล่นว่าวถามด้วยความตื่นตระหนก
เพราะค่ายกลกับดักที่นางวางไว้นอกหอจันทร์กระจ่างโดนแรงสั่นสะเทือนไม่น้อยจริงๆ
เป็นผลให้เมื่อครู่นี้จิตใจของนางไม่มั่นคงเล็กน้อย
กาสุราในมือก็ได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน
“ข้าไม่ได้เตรียมไว้”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงรู้ว่ามีคนบุกเข้ามา”
สตรีเล่นว่าวถามด้วยความไม่เชื่อ
“เพราะข้ามีสิ่งของของพวกเขาอยู่”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“นิสัยมือเท้าลักขโมยของเจ้านี้แก้ไม่ได้จริงๆ”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
“แม้ว่านิสัยหยิบเอาของผู้อื่นมานั้นจะไม่ดี แต่บางครั้งก็สามารถช่วยชีวิตตนได้”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“ตอนนั้นที่เจ้าตีกลอง เหตุใดจึงดูไม่ออกว่าจะคิดคำนวณมากเพียงนี้”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
“กลองไม่มีท่วงทำนอง มีเพียงจังหวะ จังหวะช่างน่าเบื่อนัก หากคนผู้หนึ่งเบื่อนานๆ เข้า มักมีเรื่องให้คิดอยู่เสมอ”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“แม่นางผู้นี้ช่างเลอโฉมเสียจริงๆ!”
สตรีเล่นว่าวกล่าว
จินเฉาโหย่วเยวี่ยมองเห็นนางตกอยู่ในภวังค์ตรงหน้า
พลันรู้ว่านางกล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ายกลนอกหอจันทร์กระจ่าง
เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าสตรีผู้เลอโฉมจากปากสตรีเล่นว่าวคือผู้ใด
ถุงเงินของเกาลัดคั่วน้ำตาลถูกจินเฉาโหย่วเยวี่ยซ่อนเอาไว้จริงๆ
เพราะเขาคาดการณ์ไว้อย่างมั่นใจ
เมื่อใดที่เขาดีดลูกคิดหยก ทั้งสองคนจะมาเยือนถึงที่อย่างแน่นอน
แต่ในห้องส่วนตัวของฉางอี้ซานเมื่อคืนนี้ นอกจากเกาลัดคั่วน้ำตาลแล้วยังมีสตรีอีกสองคน
เจ้าหมิงหมิงและโอวเสี่ยวเอ๋อ
ทั้งสองล้วนงดงามมาก
และล้วนสง่าเลอโฉมยิ่ง
ทว่าในใจจินเฉาโหย่วเยวี่ยกลับหวังให้คนที่มาเป็นโอวเสี่ยวเอ๋อ
อย่างไรเสียตระกูลโอวยังมีชื่อ ‘แก่นกระบี่’ ตระกูลโอวก็เพียงพอที่จะปราบสตรีเล่นว่าวตรงหน้านี้ได้
แม้นางจะโลภและเห็นแก่ตัว
แต่กลับขี้กลัวสุดๆ
หากตนเพียงคนเดียว เกรงว่าจะไม่กล้ามาหอจันทร์กระจ่างเสียด้วยซ้ำ
“โดยทั่วไปมักไม่ควรไปยั่วยุสตรีงดงาม”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
“แล้วข้างดงามหรือไม่เล่า”
สตรีเล่นว่าวโน้มศีรษะเข้าใกล้แก้มจินเฉาโหย่วเยวี่ยแล้วถาม
“อย่างเจ้าไม่นับว่าเป็นคนหนุ่มสาวแล้ว”
จินเฉาโหย่วเยวี่ยกล่าว
ใบหน้าสตรีเล่นว่าวงอง้ำทันที
ไม่มีสตรีใดเต็มใจได้ยินผู้อื่นบอกว่าตนแก่เฒ่า
นางสามารถบอกกับตนเองได้ว่าตนไม่ใช่คนหนุ่มสาวอีกแล้ว
ทว่าคำพูดถ่อมตัวเช่นนี้ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้อื่นปฏิเสธด้วย
แต่เมื่อครู่จินเฉาโหย่วเยวี่ยพูดอย่างหมดเปลือกว่านางไม่ใช่คนหนุ่มสาว
สตรีเล่นว่าวไหนเลยจะกลืนน้ำเสียงนี้ลงได้
“คนหนุ่มสาวเป็นเจ้าสาว ไม่ใช่คนหนุ่มสาวก็จะเป็นมารดาของเจ้า!”
สตรีเล่นว่าวกล่าวอย่างมาดร้าย
กระแทกกาสุราในมือลงบนโต๊ะอย่างแรง
กาสุราไม่มีฝาปิดแล้ว
สุราในกากระฉอกออกมา
เปียกชุ่มสตรีเล่นว่าว
…………………..
ภายนอกหอจันทร์กระจ่าง
ท่ามกลางค่ายกล
เกาลัดคั่วน้ำตาลห่อตัวอยู่ข้างกายเจ้าหมิงหมิงด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย
หลิวรุ่ยอิ่งยืนอยู่กับที่
ถือกระบี่ในมือ
ออกจากฝักแล้ว
ก่อนหน้านี้เขาทุ่มแรงฟาดกระบี่ไปข้างหน้า
แต่ค่ายกลนี้กลับเสถียรภาพตามเดิม
ไร้การเปลี่ยนแปลงใด
“จะทำลายค่ายกลอย่างไร…”
ประโยคนี้หลิวรุ่ยอิ่งเหมือนจะพึมพำกับตนเอง
แท้จริงแล้วมองพลางกล่าวกับเจ้าหมิงหมิง
นับตั้งแต่พบกันที่หอทรงปัญญาครั้งนี้
เขารู้สึกว่าเจ้าหมิงหมิงมีความลับพิเศษบางอย่างซ่อนอยู่ในกาย
หากเป็นเพียงกุลสตรีจากตระกูลธรรมดา จะสงบนิ่งตลอดเวลาได้อย่างไร
แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์หลังจากได้เห็นร่างศพอาคันตุกะชุดแดงยังอดแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาไม่ได้
ทว่าเจ้าหมิงหมิงกลับไม่สะทกสะท้าน
หลิวรุ่ยอิ่งรู้
มีความเป็นไปได้เพียงทางเดียวเท่านั้น
นั่นก็คือมีประสบการณ์มาก
ประสบการณ์น้อยจะแปลกใจ
ประสบการณ์มากจะไม่แปลกใจ
ฉะนั้นหลิวรุ่ยอิ่งตั้งใจหมายจะเกลี้ยกล่อมให้เจ้าหมิงหมิงลงมือ เพื่อดูว่านางมาจากที่ใดกันแน่
ทว่าเจ้าหมิงหมิงกลับหมุนกายไปอีกด้านและพูดคุยกับเกาลัดคั่วน้ำตาลราวกับกำลังปลอบโยน
เจ้าหมิงหมิงเป็นคนเผ่าจิ้งจอกหูเงินหิมะทอง อสูรแห่งเก้าบรรพต
หนึ่งในพรสวรรค์ทางสายเลือดคือสามารถทำลายภาพลวงตา มองทะลุจิตใจมนุษย์
ฉะนั้นค่ายกลตรงหน้าช่างไร้มาตรฐานในสายตานาง
ทางเข้าหอจันทร์กระจ่างอยู่ห่างจากทางขวาด้านหน้าพวกเขาไปสี่จั้ง
แม้ว่าจะไม่อาจรู้แน่ชัดถึงสิ่งที่หลิวรุ่ยอิ่งกำลังคิดอยู่
แต่ก็ยังสามารถเข้าใจมันได้คร่าวๆ
ในเวลานี้เอง จู่ๆ ฝนก็เริ่มตกจากฟ้า
หลิวรุ่ยอิ่งจับกระบี่ขวางที่หน้าอก
มองดูเม็ดฝนตกลงบนกระบี่
หยดน้ำที่กระเด็น เกิดกลิ่นสุราเข้มข้นคละคลุ้ง
“ผู้ที่วางค่ายกลช่างอารมณ์สุนทรีย์เสียจริง…ราวกับรู้ว่าพวกเรารีบร้อนจึงสั่งสุราให้เราดื่ม”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
เจ้าหมิงหมิงหัวเราะพลางเอื้อมมือออกไปสัมผัสหยดสุราที่ตกจากฟากฟ้า
หยดสุราตกลงบนปลายนิ้วกลางของนาง
เจ้าหมิงหมิงหมุนมือหยกเบาๆ มองดูหยดสุราหมุนเป็นวงกลมบนปลายนิ้วของนาง
จากนั้นดีดนิ้ว
หยดสุราลอยไปข้างหน้าสี่จั้งก่อนจะค่อยๆ ร่วงลงไป
หลังจากมันร่วงสู่พื้น
หลิวรุ่ยอิ่งมองหยดสุราร่วงสู่พื้น ภาพตรงหน้าเกิดความผันผวนแปลกๆ
“ที่แท้ก็อยู่ตรงนั้น!”
ความคิดแวบเข้ามาในหัวของหลิวรุ่ยอิ่ง
ยืดตัวตรงและเคลื่อนไหว
แทงกระบี่ไปทางหยดสุราที่ตกลงพื้น
เพียงแค่แทงไปธรรมดาๆ เท่านั้น
ปลายกระบี่เจออุปสรรค
แท้จริงแล้วจุดนี้เป็นขอบเขตที่ค่ายกลนี้อยู่
“ค่ายกลนี้ไม่ได้ธรรมดาเพียงนั้น”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งเก็บกระบี่ หมุนกายหันกลับมามองนาง
“ก็จริง ผู้ที่วางค่ายกลนี้ไร้ระดับยิ่งนัก ตรงกันข้ามกลับมีหัวใจพฤกษา (เยือกเย็นโหดเหี้ยม)”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
พฤกษา เติบโตขึ้นเรื่อยๆ วัฏจักรสี่ฤดูกาล
ค่ายกลนี้เปรียบเสมือนวงแหวนการเติบโตของพฤกษาที่เกิดขึ้นเป็นวงกลม
ทำลายวงหนึ่งก็ยังมีอีกวงหนึ่ง
ไม่มีจุดสิ้นสุด
หินแข็งดุจเหล็ก คงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
แต่กลับดูดซับฟ้าดินธรรมชาติสรรค์สร้างไม่ได้ตั้งใจ
ยิ่งนานวันไปก็ยิ่งงดงามมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ที่สามารถวางค่ายกลประเภทนี้ได้ เดาว่าหัวใจมีเจ็ดห้องแต่เชื่อมกันทั้งเจ็ดห้อง
อีกทั้งทุกห้องล้วนแข็งแกร่งและเด็ดขาดมาก
“ค่ายกลแก่นแท้พฤกษาอัคนี จะต้องใช้เมฆาวารีหรรษามาทำลายค่ายกล”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งฟังไม่เข้าใจ
สิ่งเช่นเมฆาและวารี
สิ่งหนึ่งบนฟ้า สิ่งหนึ่งบนดิน
สิ่งหนึ่งสงบนิ่ง สิ่งหนึ่งเคลื่อนไหว
จะกลายเป็นความหรรษาได้อย่างไร
“ท่านก็เป็นคนที่น่าสนใจยิ่งนัก ไม่รู้ความหมายหรรษาล่องลอยดุจเมฆาไหลหลากดั่งวารีหรือ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวพลางหัวเราะ
“น่าเสียดาย…แม้ข้าจะเป็นคนที่น่าสนใจ แต่ไม่มีเวลาเหลือไปศึกษาเรื่องหรรษา”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวอย่างจนปัญญายิ่ง
เรื่องที่เงยหน้ามองเมฆ ก้มหน้ามองน้ำเขาก็มักจะทำอยู่บ่อยครั้ง
ทว่าเขาไม่เคยรู้สึกว่าเมฆจะหรรษา และไม่รู้สึกว่าน้ำจะหรรษาเช่นกัน
แต่เมฆมากย่อมมีฝนตก
ฝนตกมากก็จะกองเป็นแอ่งน้ำ
ครั้นคิดเช่นนี้แล้ว
เมฆาวารีทั้งสองสิ่งเชื่อมเข้าด้วยกันได้ ทั้งยังเหนียวแน่นยิ่งนัก
“น้ำระเหยกลายเป็นเมฆ เมฆซ้อนทับกันจนร่วงหล่นเป็นน้ำ เมฆและน้ำเฉกเช่นเดียวกับไม้และหิน ล้วนเกิดขึ้นใหม่เรื่อยๆ และวนเวียนเป็นวัฏจักรไม่มีสิ้นสุดไม่ใช่หรือ”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
“คิดไม่ถึงว่าท่านจะเข้าใจค่ายกลเพียงนี้!”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าวชื่นชม
“ข้าหาได้เข้าใจเรื่องค่ายกลไม่”
เจ้าหมิงหมิงกล่าวพลางส่ายศีรษะ
“แต่เพียงไม่กี่คำของท่านก็เผยความลับประตูค่ายกลนี้แล้ว”
หลิวรุ่ยอิ่งกล่าว
“ค่ายกลเพียงอาศัยพลังฟ้าดินและผู้ที่วางค่ายกลล้วนมีเจตนาเห็นแก่ตัวเช่นเดียวกับเรา ฟ้าดินไร้ปราณี มนุษย์อ่อนไหว เมื่อใดที่เข้าใจความรักย่อมมีความเห็นแก่ตัว ค่ายกลย่อมมีช่องโหว่เป็นธรรมดา”
เจ้าหมิงหมิงกล่าว
หลิวรุ่ยอิ่งพยักหน้า
เขาพอจะเข้าใจหลักการพื้นฐานเหล่านี้
แต่หากให้เขามองปราดเดียวแล้วบอกว่าค่ายกลนี้อาศัยพลังฟ้าดินอะไรนั่น ผู้วางค่ายกลเกิดความเห็นแก่ตัวแบบใด ก็ยังไม่อาจมองทะลุผ่านเพียงปราดเดียวเช่นเจ้าหมิงหมิง
………………………………………………