ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 20 เป็นผู้ทัศนาจรในโลกหล้า-2
บทที่ 20 เป็นผู้ทัศนาจรในโลกหล้า-2
“มีคำกล่าวว่าดอกไม้หน้าบ้านแย้มฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้หลังบ้านโรยฤดูใบไม้ร่วง หน้าหนาวผ่านพ้นน้ำแข็งเริ่มอุ่น ยกเวทีร้องรำทำเพลงขึ้นมา วันนี้เราไม่พูดถึงทวนทองปะทะม้าเหล็ก และไม่พูดถึงหมอกฝนปกคลุมเมืองหลวง เล่าเรื่องบุคคลผู้หมกมุ่น เขาไม่กลับบ้านห้าสิบปี และปิศาจจิ้งจอกขาดใจอยู่ขอบฟ้าได้อย่างไร!”
กล่าวคำนำจบ ชายผู้นี้ลูบดาบยาวที่ใช้เป็นไม้เคาะบนโต๊ะของเขา นัยน์ตาขมขื่นยิ่ง
“เอ่ยถึงแม่น้ำจักรพรรดิตอนบน มีผู้หนึ่งในรัฐหงเขตเจิ้นเป่ยอ๋อง สกุลเกานามว่าซวี่ข่าย นับแต่ลืมตาก็หลงใหลวิถีแห่งวิชาตัวเบา พบคนก็คุยโวอวดโอ้ บอกว่าต้องเป็นผู้มีวิชาตัวเบาอันดับหนึ่งในใต้หล้า! หลังรู้เดียงสา ยังกระทำสิ่งต้องห้ามโดยไม่ลังเล เขาเปลี่ยนชื่อของตนเอง…ถึงขั้นเสียสามหลักห้าจรรยา[1]นี้ไปแล้วหนึ่งประการ แต่เขาเปลี่ยนเป็นอะไรท่านรู้หรือไม่
ไจซิง[2]! คุณพระช่วย ความอาจหาญนี้ช่างใหญ่นัก…เดินถนนยังไม่มั่นก็จะไปเก็บดวงดาวนั่นแล้ว? คนเป็นพ่อแม่ย่อมไม่ยินดี แค่อยากให้ลูกชายเรียนงานฝีมือสักอย่างที่ใช้ได้จริง ภายหน้าแต่งภรรยาจะได้เลี้ยงครอบครัวไม่ใช่หรือ คิดไม่ถึง เจ้าหนุ่มนี่เสียสติไปแล้วจริงๆ มุ่งมั่นอยากเรียนวิชาตัวเบา ยังบอกว่าอยากเรียนวิชาลอยบนผิวน้ำอย่างโจ่งแจ้ง ไม่มีใครสอนเขาทำอย่างไรดีล่ะ เรียนเองอย่างไรละ!
เช่นนั้นท่านคงถามแล้ว ไม่รู้ฝึกยังไงแล้วควรทำเช่นไร ว่าไปเจ้าหนุ่มนี่ก็หลักแหลมทีเดียว ไม่รู้เก็บกระดานไม้ผุพังมาจากที่ใด เคาะๆ ตอกๆ ทำเป็นแพไม้เล็กอันหนึ่งพายลงแม่น้ำ หากเป็นคนทั่วไป แม้ยามบ้านเมืองสุขสงบก็ใช่จะอ้วนกันได้ง่ายๆ เจ้าหนุ่มนี่ดีเสียอีก ปากใหญ่โตไม่รู้กินอาหารกี่บ้าน แพไม้เล็กนั่นลงแม่น้ำไม่นานก็ถูกเขาทับจมแล้ว…”
เล่าถึงตรงนี้ นักเล่าเรื่องกระแอมไอ ยกชาบนโต๊ะขึ้นจิบน้อยๆ คำหนึ่ง สายตาคล้ายเจตนากวาดมองในโถงรอบหนึ่ง
ทังจงซงฟังจนเข้าถึงบท
ขาข้างหนึ่งเหยียบอยู่บนตั่ง ถือเมล็ดถั่วจานหนึ่งกินไปหัวร่อไป
“คนผู้นี้แต่งตัวประหลาด คิดไม่ถึงว่าเรื่องที่เล่ากลับน่าสนใจมาก!”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ย
“จากนั้นล่ะ ท่านเล่าต่อสิ เจ้าอ้วนนี่จมน้ำตายใช่หรือไม่”
“จะเป็นไปได้ยังไง ที่ชายฝั่งมีคนดูเรื่องสนุกเยอะขนาดนั้นไม่ขาดคนว่ายน้ำเก่งหรอก เห็นเขาตกน้ำ เด็กหนุ่มจิตใจดีสองคนก็พุ่งเข้าไปช่วยเขาทันที จากนั้นว่ายกลับมาบนฝั่ง เด็กและผู้ใหญ่คนอื่นๆ ที่ดูเรื่องสนุกล้วนเหมือนข้าวฟ่างก่อนเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง หัวเราะจนตัวงอ แต่เขาน่ะ ไร้ซึ่งความอับอาย! เดินทะลุผ่านกลุ่มคน ต่างคนต่างแยกย้าย เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ไก่ยังไม่ขันเขาก็ตื่นมาวิ่งอ้อมหน้าหลังบ้าน วิ่งไม่กี่ก้าวก็หายใจไม่ทัน จับกำแพงนั่งยองลงไป”
“ทำไปทำไมกัน น้ำเข้าสมองแล้วใช่หรือไม่”
คนหนึ่งออกปากพูดแทรกคำของนักเล่าเรื่อง
ชัดทีเดียว จุดนี้หาใช่รหัสคำที่ให้ผู้ถามร้องชื่นชมหรือเอ่ยถามไม่ นักเล่าเรื่องสีหน้าไม่พอใจอยู่หน่อย แต่ยังอดกลั้นหัวเราะไปด้วยสองทีถึงเล่าต่อ
“ฮ่าๆ บอกว่าน้ำเข้าสมองก็ไม่ผิด น้ำไหลเข้าในสมอง ล้างรอบหนึ่งทำให้เขากระจ่างไม่น้อย เขาคิดว่าวิชาตัวเบานี้ก็แค่มีคำว่าเบาเป็นสำคัญ รูปร่างพุงย้วยของตนขัดกับความหมายสำคัญของวิชาตัวเบาเสียแล้ว ดังนั้นการลดน้ำหนักจึงกลายเป็นขั้นแรกของเส้นทางยึดครองสมญาวิชาตัวเบาอันดับหนึ่งในใต้หล้า
แต่จะมีสักกี่คนที่มีจิตใจแน่วแน่ปานนั้น ไม่ถึงครึ่งเดือนเขาก็ออกเดินทางอีก คราวนี้กระทั่งแผ่นประตูบ้านของตนก็ถอดออก พายแพไม้เล็กถึงกลางแม่น้ำอย่างยากเย็น น้ำไหลช้า ผืนน้ำกว้างใหญ่ เหมาะกับฝึกลอยบนผิวน้ำพอดี! ผลคือเพิ่งหันหน้ากลับไปมองผืนน้ำด้านข้างก็อ้วกทันที…เจ้าหนุ่มนี่กลับเมาน้ำ! เป็นเช่นนี้เลยฝึกไม่สำเร็จอีกครั้ง ต้องลากแพกลับไปอย่างจนใจ”
“แล้วตกลงสุดท้ายเขาฝึกสำเร็จหรือไม่”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยถาม
เพิ่งเปิดปากเขาก็เสียใจแล้ว…วู่วามเช่นนี้ได้อย่างไรกัน นิสัยของตนกระทั่งเรื่องเล่าของนักเล่าเรื่องคนหนึ่งยังฟังไม่จบ จะไปตรวจสอบเรื่องในโลกหล้าด้วยสายตาเย็นชาได้อย่างไร
ทังจงซงได้ยินหลิวรุ่ยอิ่งถามเช่นนี้ มือที่โยนเมล็ดถั่วเข้าปากหยุดเล็กน้อยชั่วครู่ พอคิดดูแล้วก็กลับมาปกติอีกครั้ง
“เอามาอีกจาน!”
ทังจงซงเอ่ยเรียก
“ผู้ถามท่านนี้ไม่ต้องรีบร้อน และฟังข้าค่อยๆ พูดปริศนา”
นักเล่าเรื่องใช้นิ้วโป้งดันดาบยาวออกท่อนหนึ่ง จากนั้นกดกลับไปอีกอย่างรุนแรง เกิดเสียงดังทอดมา
“หลังจากนั้นมาเขาทำตัวดีขึ้นเยอะ ไม่ได้ร้องโวยอยากฝึกวิชาตัวเบานานมากแล้ว คนในบ้านล้วนโล่งอกพึงใจ คิดว่าในที่สุดเขาก็เติบใหญ่รู้ความ แต่เขายังวิ่งไปริมแม่น้ำทุกวัน ไม่ทำงานที่ควรทำสักนิด
ที่จริงเพื่อเอาชนะโรคเมาน้ำของตน เขานั่งจ้องผิวน้ำตาไม่กะพริบอยู่ข้างแม่น้ำทุกวัน นิ่งไม่ขยับเขยื้อน จนทำต่อไม่ไหวแล้วจริงๆ ก็อ้วกกระจายรอบหนึ่ง หิวแล้วจับปลาในแม่น้ำย่างกิน กระหายแล้วกอบน้ำแม่น้ำขึ้นดื่ม ทำไปทำมาเช่นนี้กลับผอมลงไม่น้อย ดูท่าวิชาเล่นแร่แปรธาตุลอยตัวกลางอากาศนี้ก็พอนับเป็นวิธีลดน้ำหนักที่ดีได้!”
นักเล่าเรื่องกล่าวหยอกเย้า นัยน์ตามองผ่านสตรีไม่กี่คนในโรงขับร้อง
“เห็นโรคเมาน้ำของตนค่อยๆ ดีขึ้น เขาก็เกิดความคิดลงแม่น้ำอีกครั้ง ลงครั้งนี้…”
นักเล่าเรื่องพูดถึงตรงนี้และหยุดลงเสียอย่างนั้น
ใจของทุกคนในโถงใหญ่ล้วนเต้นจนเหมือนจะหลุด หายใจแรงก็ไม่กล้า น้ำลายก็ไม่กล้ากลืน กลัวพลาดคำใดไป
“ลงครั้งนี้…ก็เป็นห้าสิบปี! เขาไม่กลับขึ้นฝั่งอีกเลย…วิชาตัวเบาฝึกสำเร็จหรือไม่เราก็ไม่รู้ แต่วิทยายุทธ์พายเรือทั่วสารทิศประดุจเดินดินนี้กลับกลายเป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าแห่งแม่น้ำจักรพรรดิอย่างสมศักดิ์ศรี…”
ผู้คนฟังถึงตรงนี้ก็ผ่อนลมหายใจที่สูดเข้าไปเมื่อครู่
“อย่างไรก็เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้าแล้ว…”
หลิวรุ่ยอิ่งเอ่ยพึมพำ
“ผู้ถามท่านนี้กล่าวถูกต้อง! อย่างไรก็เป็นอันดับหนึ่งในใต้หล้า! ว่าไว้ไม่มีวงเวียนกับไม้ฉากก็ไม่อาจวาดสี่เหลี่ยมหรือวงกลม[3] แต่เรื่องทางโลกและความรู้สึกในใจไหนเลยจะมีกฎเกณฑ์ให้ตามหา ยิ่งไม่มีบรรทัดฐานให้รักษา แม้หมกมุ่นอยู่เต็มทรวง สุดท้ายไม่อาจต้านชะตาเล่นตลก แม้ตั้งใจปักดอกไม้ ก็ยากหลีกพ้นฝุ่นควันทั่วกาย”
ไม่รู้เพราะอะไร ตอนชายผู้นี้กล่าวคำท่อนสุดท้ายเหมือนมองมาทางหลิวรุ่ยอิ่งตลอดเวลา แต่ยามที่สายตาของหลิวรุ่ยอิ่งกำลังจะสบกับเขา เขากลับหลบเลี่ยงไปโดยไม่ทิ้งร่องรอย
‘ท่านไม่ควรข้ามแม่น้ำ ท่านกลับจะข้ามให้ได้ บัดนี้ท่านจมน้ำตาย ข้าควรทำเช่นไรหรือ’
หลิวรุ่ยอิ่งสะอื้นเล็กน้อย ไม่รู้ทำไมเขาเกิดความรู้สึกร่วมกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ
‘วิชาตัวเบาอันดับหนึ่งในใต้หล้าที่เขาอยากเป็น ต่างอะไรกับตำแหน่งผู้บังคับการกรมที่ข้าอยากเป็นเล่า ข้าหามีอุปสรรคเช่นเขาไม่ แต่ก็เหนื่อยล้าทั้งกายใจแทบจะล้มเลิก แล้วเขาล่ะ ไม่เคยท้อถอย ไม่มีวันยอมแพ้ ฝึกฝนจากการทดสอบอันยากลำบาก ต่อให้คนข้างๆ คิดว่าตนทึ่มทื่อก็ไม่ล้มเลิกเด็ดขาด หนำซ้ำคนผู้นี้อาศัยเพียงความหมกมุ่นและความฮึกเหิมเต็มอก แต่ข้ากลับแบกความผิดฐานยึดทรัพย์ ความแค้นของการฆ่ายกครัวเอาไว้…’
‘มีเพียงเปล่งเสียงดังอันแผ่วเบา[4]อย่างโง่เง่า ต่อให้ภาชนะล้ำค่ายากทำสำเร็จ[5]ก็ต้องไม่กลัวอุปสรรคถึงจะแปรร่างกายให้ไร้รูป[6]ได้’
หลิวรุ่ยอิ่งก้มมองเสื้อคลุมนกกระเรียนผ้าปักดอกคลื่นเขียวตัวใหม่เอี่ยมบนกายตน
“ขอถามท่าน นี่คือเรื่องจริงคนจริงหรือเรื่องเล่าในบทละคร”
“คนในบทละคร คนเข้าถึงบท เดิมทีเรื่องราวในใต้หล้าก็ฟังไปมาซ้ำๆ เหตุใดท่านต้องจริงจังเช่นนี้”
นักเล่าเรื่องตอบหลิวรุ่ยอิ่ง
“เป็นผู้ทัศนาจรในโลกหล้า เสวยสุขหมดแล้วควรทำเช่นไร”
ประโยคหนึ่งทอดมาข้างหูหลิวรุ่ยอิ่งกะทันหัน พลันเงยหน้ากลับหาที่มาของเสียงไม่เจอโดยสิ้นเชิง อดงุนงงอยู่บ้างไม่ได้
จากนั้นเขารู้สึกมีพลังกลุ่มหนึ่งไหลเวียนอยู่ในกาย กระแทกซ้ายทะลวงขวาจนรู้สึกไม่ดีเอามาก เขากลั้นหายใจตั้งสมาธิทันที เคลื่อนกำลังภายในต่อต้านมัน แต่ทำอย่างไรพลังกลุ่มนี้ก็ลื่นเหมือนปลาไหล ไม่ปะทะกับพลังในกายหลิวรุ่ยอิ่งตรงๆ เลย ไล่ตามมันอยู่ในกายเช่นนี้ บนหน้าผากผุดเม็ดเหงื่อเล็กๆ ชั้นหนึ่ง
ทันใดนั้น นอกโรงขับร้องมีสตรีกลุ่มหนึ่งเดินผ่านมา
พวกนางใส่ผ้าคลุมหน้าสีดำปกปิดดวงหน้า ก้าวย่างนุ่มนวล เอวบางส่ายเล็กน้อย คนเห็นแล้วลืมความธรรมดา ช่วงเอวของแต่ละคนยังเข้าคู่ด้วยกระบี่สีน้ำเงินเล่มหนึ่ง นอกจากดุดันยังให้อารมณ์เย็นเยือกอีกหลายส่วน
คราวนี้สายตาของทุกคนล้วนถูกดึงดูดไป
สตรีเช่นนี้คนเดียวก็หายากแล้ว กลับปรากฏตัวพร้อมกันเป็นกลุ่ม ทำให้บรรดาหญิงมีครอบครัวทั่วละแวกนั้นริษยายิ่ง
หลิวรุ่ยอิ่งก็เห็นแล้ว เพียงแต่ยามนี้เขาไม่มีเวลาสนใจจริงๆ
ทังจงซงหันกายไปจ้องสตรีกลุ่มนี้ตาเขม็ง สีหน้าเย็นเยือก ไม่เหมือนคุณชายใหญ่ทังที่พบหญิงงามในวันปกติโดยสิ้นเชิง
………………………..
วังติ้งซีอ๋อง
บัณฑิตจางยืนอยู่บนจุดสูงนอกเมืองอ๋อง มองคูเมืองทั้งเมือง
เขาจำต้องเข้าเมืองสักหน แต่เขากลับมีสีหน้าย่ำแย่
ตอนนี้ติ้งซีอ๋องฮั่ววั่งไม่อยู่ที่นี่
ด้วยการฝึกตนของเขาควรเป็นผู้มีอำนาจเกรียงไกรและเย่อหยิ่งจองหองถึงจะถูก
แต่เขากลับสัมผัสได้ถึงจิตเบาบางกลุ่มหนึ่งกำลังแผ่คลุมเมืองอ๋องแห่งนี้
บัณฑิตจางแยกจิตของตนออกเล็กน้อย ค่อยๆ ยื่นเข้าไปทดสอบราวหนวดแมลงอย่างระมัดระวัง กลับเป็นวัวดินปั้นจมทะเล[7] ไม่เหลือร่องรอย…
จิตที่ดูเหมือนไม่เข้มข้นนี้กลับมีพลังมหาศาล มันเหนือความคาดหมายของบัณฑิตจาง ทำให้เขาลังเลยังไม่ออกเดินทาง
“หืม?”
เริ่นหยางที่ยังอยู่ครัวหลังวังอ๋องเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ
‘วิชาแยกจิต! มีคนใช้วิชาแยกจิตเป็นด้วย…’
อินหยางเป็นกฎเหล็กในโลกหล้าที่มีอยู่ตั้งแต่โบราณกาล เป็นกฎของการเชื่อมโยงกันระหว่างสรรพสิ่ง ต้นกำเนิดของการเปลี่ยนแปลงทั้งมวล
ฟ้าดินมีอินหยาง ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์มีอินหยาง กายคนก็มีอินหยาง
ทั้งหมดนี้ก็คือสามอินสามหยาง
พลังอินหยางหมุนเวียนตลอดเวลา
เพียงมุ่งส่งผ่านทั่วกาย กลับไม่เปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ภายนอก
ดังนั้นเมื่ออินหยางแยกออกและรวมกัน ภายในและภายนอกจึงประสาน
ว่ากันตามหลักทั่วไป ไม่ว่าเจ้าฝึกตนหรือไม่ ในร่างกายทุกคนล้วนมีอินหยางแค่คู่เดียว เพียงแต่ผู้ฝึกตนสามารถสัมผัสถึงอินหยางสองพลังนี้ ยิ่งมีวิชายอดเยี่ยมเลิศล้ำมาใช้ประโยชน์ จึงเกิดความสามารถในการย้ายภูเขาเคลื่อนทะเล
ต่อให้เป็นเซียนดาราผู้ก้าวข้ามสะพานเซียน หนึ่งวิชาทลายหมื่นทำนองก็เป็นเช่นนี้
ทั้งหมดมักมีข้อยกเว้น
มีคนโชคดีผู้เกิดมาพร้อมพรสวรรค์พิเศษ พื้นฐานร่างกายไม่ธรรมดา
และคนที่ฝึกแยกจิตได้ยิ่งเป็นหนึ่งในล้าน
สิ่งเดียวในโลกที่สามารถทัดเทียมอินหยางได้ก็คือธาตุทั้งห้า
ในห้าธาตุไม้เจอโลหะแล้วถูกตัด ไฟเจอน้ำแล้วดับ ดินเจอไม้แล้วร่วน โลหะเจอไฟแล้วหลอมละลาย น้ำเจอดินแล้วถูกสกัด
มีเพียงเดินทางตันห้าอย่างนั้นจนครบ บ่อเกิดห้าธาตุได้รับการกลั่นแล้วถึงก่อรูปธรรมกาย[8]ในตัวได้ใหม่
เมื่อมีธรรมกายนี้แล้วจึงสร้างอินหยางได้อีก การแยกจิตก็มาจากตรงนี้
สภาพร่างกายกับเส้นลมปราณตันเถียนของคนทั่วไปรับความรุนแรงและความพยศของบ่อเกิดห้าธาตุไม่ได้โดยสิ้นเชิง แค่สัมผัสในระยะใกล้ก็อาจกายระเบิดแตกดับ
ดังนั้น ผู้ไม่มีโชคและความพยายามไม่อาจฝึกฝนวิชาแยกจิตนี้ได้เลย
………………………..
ในหัวเมืองรัฐติง โรงขับร้องเรืองขวัญ
‘ตึง!’
เสียงดังลั่นดึงสายตาของผู้คนจากบนกายสตรีด้านนอกกลับมาทั้งหมด
“สหาย เจ้าเป็นอะไร!”
พอทังจงซงหันกลับมาก็เห็นหลิวรุ่ยอิ่งล้มหมดสติอยู่ด้านข้างพร้อมกับเก้าอี้
เขากำหมัดทั้งสองแน่น เส้นเลือดดำบนหลังมือปรากฏชัด ขากรรไกรขบแน่น สีหน้าซีดเหลือง หนังตายังกระตุกไม่หยุด
……………………………………
[1] สามหลักห้าจรรยา สามหลักประกอบด้วยกษัตริย์เป็นหลักของขุนนาง บิดาเป็นหลักของบุตร สามีเป็นหลักของภรรยา ห้าจรรยาประกอบด้วยเมตตา ซื่อสัตย์ ปัญญา จารีต สัจจะ
[2] ไจซิง แปลว่าเก็บดวงดาว
[3] ไม่มีวงเวียนกับไม้ฉากก็ไม่อาจวาดสี่เหลี่ยมหรือวงกลม หมายถึงหากทำเรื่องใดๆ โดยไม่มีมาตรฐานหรือแบบแผนจะเกิดความผิดพลาด
[4] เสียงดังอันแผ่วเบา หมายถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อยู่ไกลจนไม่อาจคาดเดา ในนี้สื่อว่าตั้งปณิธานให้ใหญ่เข้าไว้ แม้มันจะดูสำเร็จยาก
[5] ภาชนะล้ำค่ายากทำสำเร็จ หมายถึงความสำเร็จที่มีคุณค่ามักต้องใช้เวลานาน
[6] แปรร่างกายให้ไร้รูป หมายถึงหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ บรรลุจุดสูงสุด
[7] วัวดินปั้นจมทะเล หมายถึงหายไปไม่กลับมาอีก
[8] ธรรมกาย กายภายในที่ตรัสรู้แล้ว สื่อถึงพระพุทธเจ้าที่อยู่ในตัวหรือในท้อง