ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 2 เด็กหนุ่มผู้อาจหาญ-2
บทที่ 2 เด็กหนุ่มผู้อาจหาญ-2
ทันใดนั้นสายตาของนางหยุดอยู่ที่ประตู
เด็กหนุ่มผู้แต่งกายอย่างจอมยุทธ์พเนจรคนหนึ่งเพิ่งก้าวเท้าข้ามธรณีประตู กำลังมองผู้คนส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวในโถงโรงเตี๊ยมด้วยความงุนงง
‘เป็นเด็กหนุ่มที่หล่อเหลานัก! ดวงตานั่นใสสะอาดอย่างกับผ้าไหมที่อาบด้วยแสงจันทร์’ หลี่อวิ้นตกตะลึง
ณ มุมตะวันออกเฉียงใต้ของโถง
“ท่านผู้เฒ่า! ไม่ทราบว่าข้าน้อยขอร่วมโต๊ะกับท่านได้หรือไม่!”
เด็กหนุ่มที่เพิ่งปรากฏตัวอยู่ตรงทางเข้าร้านประสานมือคารวะ บนหน้ามีรอยยิ้มบาง เขาจงใจเอ่ยเสียงดัง ดูกระด้างคล้ายจอมยุทธ์มากประสบการณ์
ไม่รอบัณฑิตจางตอบคำ เขาก็ถือวิสาสะนั่งลงด้วยตนเอง จากนั้นฉวยมือหยิบสุราบนโต๊ะแล้วแหงนหน้ากรอกลงไปอึกใหญ่
“เจ้าดื่มสุราของข้าทำไม”
บัณฑิตจางถามเสียงเฉียบขาด
แม้แต่สองสามโต๊ะที่อยู่ใกล้ๆ ยังพากันมองมาด้วยสายตาซักไซ้
“…”
เด็กหนุ่มเอ่ยว่า ‘แย่แล้ว’ อยู่ในใจ เขาคลำห่อผ้าตามจิตใต้สำนึก ข้างในมีสมุดบางๆ เล่มหนึ่ง บนนั้นบันทึกเรื่องแปลกพิสดารในยุทธภพนี้เอาไว้เต็มไปหมด มีกฎเกณฑ์ วิธีการ รวมถึงการพูดการจาต่างๆ มากมาย
ข้อแรกเขียนว่า ‘ชาวยุทธ์ไม่พึงนุ่มนวล เมตตา นอบน้อม ประหยัดและอ่อนข้อ มีคำกล่าวว่าทุกคนทั่วหล้าล้วนเป็นพี่น้อง แหนลอยมาบรรจบ[1]คือโชคชะตา ใช้ชีวิตอิสระตามใจอยากสำคัญที่สุด ยิ่งเหิมห้าวโอหังยิ่งเผยความกล้าความสามารถตน ทั้งเหมือนผู้มากประสบการณ์ที่ตะลุยมาแล้วเหนือจรดใต้ เคยเห็นโลกกว้างและพบเจอเหตุการณ์มากมาย’
‘หรือว่าข้าเข้าใจผิดไป ไม่ก็แสดงออกเกินขอบเขตไปหน่อย’
เด็กหนุ่มทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะ
“ท่านบัณฑิตจาง แม่นางหลี่อวิ้นส่งสุรามาให้ขอรับ!” เสี่ยวเอ้อร์ร้องเสียงดังพลางวางสุราสองกาลงบนโต๊ะ
“เมื่อครู่ผู้น้อยล่วงเกิน ขอดื่มให้ท่านผู้เฒ่าหนึ่งจอก มีคำกล่าวว่าแหนลอยมาบรรจบล้วนเป็นพี่น้อง การได้พบกันในใต้หล้าอันกว้างใหญ่นี้ก็คือโชคชะตา!”
เด็กหนุ่มทิ้งช่วงครู่หนึ่งแล้วเอ่ย
“คนไม่มีหัวคิดจากไหนกันนี่ ไม่ดูตนเองเลยว่าบนปากตนมีหนวดเคราขึ้นกี่เส้น จะมาเรียกบัณฑิตจางว่าพี่น้อง เฮอะ! หากเจ้าเฒ่าผู้นี้ถือเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา อยากดูนักว่าเขาจะจบเรื่องอย่างไร”
คำวิพากษ์จากโต๊ะใกล้เคียงลอดเข้าใบหูของเด็กหนุ่ม สุราในจอกเพิ่งเข้าปากไปครึ่งหนึ่ง จะกลืนก็ไม่ใช่ จะอมไว้ก็ไม่ได้ รสเผ็ดคาวแผ่จากปลายลิ้นลงลำคอแล้วเข้าสู่โพรงจมูก สุดท้ายก็พ่นออกมาเคล้าน้ำตา
“พี่ชายผู้นี้ไม่ต้องรีบร้อนเพียงนั้น ค่ำคืนยาวไกลไฉนต้องชิงดื่มก่อนจอกหนึ่งเล่า”
หลี่อวิ้นเดินมาข้างกายเด็กหนุ่มอย่างอ่อนช้อย
นางยันข้อศอกไว้บนโต๊ะแล้วประคองใบหน้าด้วยสองมือ ทั้งกายโน้มลงไปด้านหน้า ภายใต้ชุดผ้าโปร่งเนื้อบางนั้นเผยให้เห็นเส้นเว้าโค้งของแผ่นหลังกับสะโพกจนหมดเปลือก เย้ายวนยิ่ง ทว่าก็มาพร้อมด้วยความงามอีกสามส่วน เพียงครู่เดียวกลิ่นกายผสมเครื่องประทินโฉมของสตรีก็กลบกลิ่นสุรา ทะลวงเข้าโพรงจมูกของเด็กหนุ่มและพุ่งขึ้นศีรษะของเขาอย่างไม่หวั่นเกรงสิ่งใด เด็กหนุ่มใช้แขนเสื้อเช็ดมุมปากเล็กน้อยแล้วขยับกายไปด้านข้างโดยไม่รู้ตัว หลี่อวิ้นเห็นเก้าอี้ยาวข้างกายเขาปรากฏที่ว่างส่วนหนึ่งก็ตั้งท่านั่งลง
“ไอ้หนุ่มหน้าขาวนี่โชคดีจริง!”
“นั่นสิ ครั้งก่อนข้ามอบไข่มุกทะเลบูรพาให้แม่นางหลี่อวิ้นเส้นหนึ่ง นางก็แค่เอ่ยอย่างเฉยชาคำหนึ่งว่าขอบคุณมาก ไม่ได้เชิญข้าเข้าไปนั่งดื่มชาสักถ้วย”
“พี่ชายมาจากที่ใดหรือ”
หลี่อวิ้นเอ่ยถามเรื่อยเปื่อย อีกทั้งรินสุราให้ตนเองจอกหนึ่งและช่วยเติมให้บัณฑิตจางจนเต็ม แต่หางตาของนางกลับไม่ละห่างจากเด็กหนุ่มผู้นี้เลย
“ข้าหรือ มาจากตะวันออก”
‘หนึ่งในข้อห้ามยุทธภพ อย่าได้เปิดเผยข้อมูลที่แท้จริงของตนเป็นอันขาด ยิ่งคลุมเครือยิ่งไม่ครบความเท่าไรก็ยิ่งทำให้คนอื่นหาที่มาที่ไปไม่เจอ เห็นว่าตนนั้นลึกลับไม่น้อย’ เด็กหนุ่มพูดไป ในสมองก็ปรากฏข้อความบนสมุดเล่มเล็กนี้ขึ้นมา ในใจรู้สึกภาคภูมิทีเดียว
“ตะวันออก เช่นนั้นเจ้าเป็นคนในเขตปกครองอันตงอ๋องน่ะสิ”
หลี่อวิ้นมีท่าทีหมายจะถามให้ถึงที่สุด
“ฮ่าๆ นับว่าใช่กระมัง”
“นับว่าใช่? หรือเจ้าอาจเป็นคนของสำนักปากสอบ ดูหน้าตาของเจ้าก็ไม่น่าใช่คนสังกัดเจ้าภูเขานะ”
“อืม… ตะวันออกก็ใช่ว่าต้องเป็นคนในเขตปกครองอันตงอ๋องเสมอไปนะ”
“โอ้ ที่แท้พี่ชายมาจากเมืองหลวงนี่เอง ข้าเสียมารยาทแล้วๆ ไม่ทราบว่าเหตุใดพี่ชายไม่ดื่มด่ำชีวิตสุขสบายอยู่ในเมืองหลวง แต่กลับเดินทางมาแหล่งภัยสงครามที่ห่างไกลความเจริญล่ะ”
เด็กหนุ่มลอบตกใจ ทั้งที่ตนไม่ได้พูดอะไรเลย นางเดาได้อย่างไรกันว่าเขามาจากเมืองหลวง
“เจ้าคิดดู เจ้าบอกว่าเจ้ามาจากตะวันออก เช่นนั้นสำหรับเขตปกครองติ้งซีอ๋องนี้ สุดฝั่งตะวันออกก็คือทะเลบูรพาไม่ใช่หรือ บนทะเลบูรพามีเพียงฐานเมฆา แต่คนของฐานเมฆาไม่มีทางมาแผ่นดินใหญ่ ลึกเข้าไปอีกก็เป็นเขตปกครองอันตงอ๋องกับสำนักปากสอบ ยังมีเขาโยธิน เขาสูริ เขาสรรพางค์ สามบรรพต หน้าตาพี่ชายงดงามเช่นนี้ คงไม่ใช่สัตว์อสูรในสามบรรพตเป็นแน่
ส่วนสำนักปากสอบ… คนที่ออกมาจากสถานพิลึกพิลั่นนั่นก็ล้วนแปลกประหลาดทั้งสิ้น พี่ชายย่อมไม่ใช่ แต่จากนั้นเจ้าพูดอีกว่าตะวันออกก็ใช่ว่าต้องเป็นเขตปกครองของอันตงอ๋องเสมอไป หากตัดอันนี้แล้วมุ่งหน้าไปทางตะวันออกก็มีเพียงแม่น้ำจักรพรรดิกับเมืองหลวงแล้ว ฉะนั้นเจ้าต้องเป็นคนเมืองหลวงใจกลางแห่งใต้หล้า เขตปกครองฉิงจงอ๋องแน่นอน”
เหมือนว่าหลี่อวิ้นอ่านความฉงนในใจเขาออก ที่จริงตอนหัวคิ้วเด็กหนุ่มขมวดน้อยๆ นั้นนางก็รู้ว่าตนทายถูกแล้ว
“เหตุใดข้าจึงไม่ใช่คนของแม่น้ำจักรพรรดิล่ะ”
“คนของแม่น้ำจักรพรรดิใช้ชีวิตอยู่ในเรือตลอดปี บนตัวล้วนมีกลิ่นอับเล็กน้อย อีกทั้งท่าเดินก็ไม่เหมือนคนทั่วไป ยิ่งกว่านั้นเจ้าขี่ม้ามา คนที่มีความรู้อยู่บ้างต่างรู้กันว่าคนแม่น้ำจักรพรรดิไม่เคยขี่ม้าและก็ขี่ม้าไม่เป็น” บัณฑิตจางยกจอกสุราพลางเอ่ย
“ท่านผู้เฒ่าท่านนี้ต้องมีความรู้กว้างขวางเป็นแน่”
เด็กหนุ่มมองบัณฑิตจางแล้วกล่าวด้วยความอิจฉาหน่อยหนึ่ง
‘พูดจาไม่รีบร้อน สงบอารมณ์มองทุกสิ่งเป็นกลาง นี่จึงจะเป็นชาวยุทธ์เก่ามากประสบการณ์ที่ใต้เท้าผู้สั่งการกองว่าไว้’
“คนทุกที่ล้วนมีลักษณะพิเศษของตน ลักษณะพิเศษเช่นนี้อยู่ในเลือดและกระดูกของเจ้า ต่อให้พยายามอย่างไรเจ้าก็เปลี่ยนมันไม่ได้ เจ้าอาจปกปิดมันได้กว่าครึ่ง แต่นานวันเข้าก็จะเผยออกมาโดยไม่ตั้งใจอยู่ดี”
“ขอถามท่านผู้เฒ่า ในพื้นที่ที่ต่างกันนั้นมีลักษณะพิเศษใดบ้างหรือ”
เด็กหนุ่มเอ่ยถาม หลี่อวิ้นก็เอียงศีรษะฟังอยู่ด้านข้าง สมาธิของคนสองสามโต๊ะใกล้เคียงก็มารวมอยู่ที่บัณฑิตจาง
“ในการปกครองร่วมกันของห้าอ๋อง ฉิงจงอ๋องเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในอ๋องทั้งห้า ด้วยเหตุนี้จึงปกครองเมืองหลวงได้ ดังนั้นคนที่มาจากเมืองหลวงล้วนมีความไร้เดียงสาที่ว่าไม่รู้เรื่องราวทางโลกและมีความยโสมากกว่าคนทั่วไป เจ้าหนุ่มอย่างเจ้าปิดบังความยโสของตนไว้ได้ดีทีเดียว แต่ความไร้เดียงสาที่พยายามทำทีว่ามากประสบการณ์ทั้งที่อ่อนต่อโลกนั้นกลับเผยออกมาจนหมดเปลือก
ส่วนคนในเขตปกครองอันตงอ๋องนั้น เพราะพื้นที่ติดทะเลบนตัวพวกเขาจึงมีกลิ่นคาวของน้ำทะเล อีกทั้งการค้าตรงชายฝั่งเจริญรุ่งเรือง สิบคนเป็นพ่อค้าไปแล้วเก้า คนทางนั้นเลยมีกลิ่นเงินรุนแรงมากด้วย สมองก็ชอบคำนวณ ทำอะไรระมัดระวัง ไม่มีทางนั่งดื่มสุราร่วมกับคนแปลกหน้าตั้งแต่มาถึงสถานที่ต่างถิ่นแน่นอน” บัณฑิตจางพูดถึงตรงนี้ก็ใส่ถั่วลิสงเข้าปากอีกสองสามเม็ด คำพูดเหล่านี้ไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่าไรนัก แต่เมื่อเอ่ยออกมาจากปากที่แทบจะบดบังด้วยเคราขาวและเสียงมีจังหวะน่าฟังของเขาแล้วกลับมีเสน่ห์ไปอีกแบบ
“ฮ่าๆๆ ท่าทางเจ้าจะไม่ใช่พี่ชาย แต่เป็นน้องชาย!”
ฟังถึงตรงนี้ หลี่อวิ้นหัวเราะอย่างซุกซน
“บัณฑิตจาง แล้วคนในเขตปกครองติ้งซีอ๋องอย่างเราล่ะ”
คนด้านข้างเห็นหลี่อวิ้นเปลี่ยนประเด็น กลัวเขาจะหยุดเพียงเท่านี้จึงเอ่ยปากถามโดยไม่รอช้า
“นี่มีอะไรน่าพูด อยากรู้ก็ไปส่องกระจกเองสิ! หรือไม่ลองเทียบกับเจ้าหนุ่มนี่ดูว่ามีอะไรต่างกันก็สิ้นเรื่อง ข้าว่านะ สิ่งที่ต่างกันที่สุดก็คือชะตาดอกท้อ[2]ของพวกเจ้าแย่เกินไป!”
คำพูดของบัณฑิตจางทำให้คนหัวเราะกันทั้งโถง แม้แต่หลี่อวิ้นยังเก้อกระดากเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ที่ริษยานั้นริษยากว่าเดิม
“น้องชาย เล่าเรื่องเมืองหลวงให้ข้าฟังหน่อยสิ!”
หลี่อวิ้นเปลี่ยนหัวข้ออย่างรวดเร็ว เอ่ยกระเง้ากระงอด
“เมืองหลวง… ก็… ธรรมดามากนะ แค่บ้านเรือนใหญ่หน่อย ถนนกว้างหน่อย คนเยอะหน่อย ครึกครื้นกว่าที่นี่อยู่บ้างเท่านั้นเอง”
“ก็ได้ๆ ในเมื่อเจ้าไม่อยากพูดถึงเมืองหลวงเช่นนั้นก็คุยเรื่องตัวเจ้าสิ”
“ตัวข้า?”
“ใช่น่ะสิ ตัวเจ้า”
“ตัวข้าก็ไม่มีสิ่งใดน่าพูด…”
เด็กหนุ่มเจอคำถามเป็นชุดของหลี่อวิ้นจนกระอักกระอ่วน
“ก็อย่างเจ้าชื่ออะไร ทำอะไร ครอบครัวมีกี่คน เหตุใดถึงมาที่นี่ มีงานอดิเรกอะไรทำนองนั้น”
“งานอดิเรกที่โปรดปรานที่สุดก็คือชอบฟังคนอื่นเล่าเรื่อง โดยเฉพาะเล่าความลับบางอย่างที่ข้าไม่รู้”
เด็กหนุ่มเอ่ยพลางสายตาก็เบนไปทางบัณฑิตจาง
บัณฑิตจางยิ้มบางๆ ทำท่าทางให้เด็กหนุ่มเอาหูเข้ามาใกล้
เอ่ยกับเขาเบาๆ “ข้ามีความลับเยอะแยะ แต่ข้าลืมหมดแล้ว”
…………………………………..
[1] แหนลอยมาบรรจบ หมายถึง คนแปลกหน้าที่มาพบกันโดยบังเอิญ
[2] ชะตาดอกท้อ ชะตาเกี่ยวกับเพศตรงข้าม ดวงเป็นคนมีเสน่ห์