ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 178 เมื่อใจสงบ ปัญหาจะคลี่คลาย-5
บทที่ 178 เมื่อใจสงบ ปัญหาจะคลี่คลาย-5
ในหอทรงปัญญา ที่พักของตี๋เหว่ยไท่
ตี๋เหว่ยไท่จัดการเรื่องแขนที่ขาดนั้นเสร็จก็กลับไปยังห้องของตัวเอง
ส่วนที่เหลือก็มอบให้ลู่หมิงหมิงจัดการทั้งหมด
“เจ้ามาแล้วหรือ”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ยขึ้น
เขาเพิ่งจะนั่งลงก็พบว่ามีเงาคนยืนอยู่หน้าประตู
เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นด้วยซ้ำ
แต่จากคำพูดของเขา เดาได้ไม่ยากว่าเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับคนผู้นี้
“อันที่จริง มันก็ถึงเวลาตั้งนานแล้ว”
คนผู้นั้นเอ่ยขึ้น
เขาพูดพลางเดินเข้ามาในห้อง
เขาคือคนเฝ้าแดนที่อาศัยอยู่ในบ้านเก่าๆ บนแดนสุขสัญจร
“ข้ายังเก็บสุราไว้ให้เจ้าเสมอ”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ย
ลุกขึ้นเตรียมเดินเข้าไปในบ้านเพื่อหยิบสุรา
“ไม่ต้องหรอก ก่อนจะมานี่ข้าดื่มไปเยอะแล้ว”
คนเฝ้าแดนกล่าว
เขาสวมชุดสีฟ้าคราม
ผมเผ้าก็สระหวีมาอย่างดี
หนวดเคราที่เต็มใบหน้าก็โกนออกจนเกลี้ยงเกลา
“น้อยมากที่จะได้เห็นเจ้ามีชีวิตชีวาเช่นนี้”
ตี๋เหว่ยไท่พูดพลางยิ้มเล็กน้อย
“ไม่ใช่น้อยมาก แต่ไม่มีเลยต่างหาก อย่างแรกข้าไม่เคยมีชีวิตชีวาเลย และอย่างที่สองเราไม่ได้เจอกันมานานมากแล้ว”
คนเฝ้าแดนพูด
“ชิงชิว เจ้ายังโกรธเคืองข้าอยู่หรือ”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ยถาม
“เสิ่นชิงชิว”
คนเฝ้าแดนแก้คำพูดให้ถูก
โดยทั่วไปแล้วการละแซ่และเรียกเพียงชื่อจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อทั้งคู่สนิทสนมกันมากเท่านั้น
คนเฝ้าแดนชื่อเสิ่นชิงชิว
เห็นได้ชัดว่าตี๋เหว่ยไท่กับเขาสนิทสนมกันอย่างมาก ไม่เช่นนั้นก็จะไม่เรียกเขาว่า ‘ชิงชิว’ โดยตรง
แต่เสิ่นชิงชิวไม่ต้องการที่จะสนิทสนมกับว่าตี๋เหว่ยไท่
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยแก้ทันทีว่า ไม่ใช่ ‘ชิงชิว’ แต่เป็น ‘เสิ่นชิงชิว’
“เสิ่นชิงชิว เจ้ายังโกรธเคืองข้าอยู่หรือ”
ตี๋เหว่ยไท่เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง
บางครั้งการเรียกชื่อเพียงคำเดียวก็สามารถแทนทุกอย่างได้แล้ว
พูดเยอะไปก็ไร้ประโยชน์
ไม่ว่าจะพยายามอธิบายอย่างไร ก็เป็นเพียงการดิ้นรนที่ไร้ประโยชน์
ตี๋เหว่ยไท่ปลอบตัวเองในใจว่า มันเป็นเพียงการเรียกชื่อเท่านั้น อย่างน้อยคนผู้นี้ก็นั่งอยู่ต่อหน้าตนแล้ว
“แน่นอนว่าไม่”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย
“เช่นนั้นก็ดี”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ย
สีหน้าท่าทางกลับมาผ่อนคลาย
“หลายปีมานี้ลำบากเจ้าแล้ว”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ยขึ้น
เขายังคงเดินเข้าไปในบ้าน ถือไหสุราออกมา แล้วรินให้เสิ่นชิงชิวหนึ่งจอก
“ไม่ลำบากหรอก กล้าได้ก็กล้าเสีย”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย
แม้เขาจะพูดว่าไม่ดื่ม
ทว่าเขาไม่ได้ปฏิเสธสุราจอกนี้จากตี๋เหว่ยไท่
“แม้เป็นการยอมรับผลการเดิมพันแต่ก็ยังต้องขอบใจเจ้าด้วย อีกทั้งการรักษาคำเดิมพันไว้อย่างต่อเนื่องก็เป็นเรื่องที่ลำบากไม่น้อย”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ย
“เจ้าอยู่ในระดับที่สูงเกินไป ข้าเทียบไม่ติด ข้ารู้เพียงว่าในโลกนี้ สิ่งที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ก็ต้องทำให้สำเร็จ”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย
“เจ้าทำได้แล้ว”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ย
พูดจบก็รินสุราให้เขาอีกจอก
เสิ่นชิงชิวมองสุราจอกนั้น แต่ไม่ได้ดื่มหมดในคราวเดียว
เขาใช้มือเคาะเบาๆ ที่โต๊ะ
สั่นสะเทือนเล็กน้อย ทำให้สุราในแก้วเกิดระลอกคลื่น
สุราในจอกใสมาก
ใสจนเสิ่นชิงชิวเห็นภาพสะท้อนของตัวเอง
แต่เมื่อเกิดระลอกคลื่นขึ้น ภาพสะท้อนก็สลายไป
“ผู้คนในใต้หล้าต่างกล่าวว่าการดื่มชาช่วยให้จิตใจสงบ จิตใจเป็นอย่างไรก็จะชงชาออกมาได้อย่างนั้น แล้วสุราเล่า”
เสิ่นชิงชิวเอ่ยถาม
“สุราหรือ สุราก็ถูกหมักไว้เรียบร้อยแล้ว เพียงแค่เทออกมาเท่านั้น หรือว่าสุราที่เทออกมาจะแตกต่างกันเมื่อมีความรู้สึกต่างกันหรือ”
ตี๋เหว่ยไท่ถามกลับ
“แน่นอนว่าสุราที่เทออกมาไม่มีความแตกต่าง ข้าเองก็ไม่เข้าใจเรื่องการหมักสุรา แต่อารมณ์ที่แตกต่างกัน แม้จะดื่มสุราไหเดียวกัน ความรู้สึกก็จะต่างกันมาก”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย
“ข้าไม่เข้าใจ”
ตี๋เหว่ยไท่กล่าว
“เจ้าเข้าใจแค่เรื่องชา ส่วนข้าชอบดื่มสุรา มันก็กำหนดไว้แล้วว่าไม่สามารถเข้ากันได้”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย
สุราทำให้เมา
ชาก็เช่นกัน
มีแค่น้ำส้มสายชูเท่านั้นที่ช่วยให้สร่างเมาได้
แต่ชานั้นไม่มีวิธีแก้เมาได้
ชากับสุรา เดิมก็ไม่ใช่ของคู่กันอยู่แล้ว
แม้ว่าขณะดื่มสุรา คนมักจะสั่งชามาด้วย
แต่จะมีนักดื่มสักกี่คนที่ดื่มชาขณะดื่มสุรา
หากสามารถดื่มได้ขนาดนั้น ไม่สู้ดื่มสุราเพิ่มสักจอกไม่ดีกว่าหรือ
สุดท้ายชาก็เพียงตั้งวางไว้เท่านั้น
“แต่ครั้งหนึ่งเคย….”
“สิ่งที่เคยเป็นก็เป็นเพียงอดีต ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลงได้”
เสิ่นชิงชิวขัดจังหวะตี๋เหว่ยไท่
“ชาย่อมจืด ย่อมเย็นลง สุราเองก็ย่อมเสียรสชาติ ทุกอย่างล้วนเปลี่ยนแปลง”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ย
“ดังนั้นเราทั้งคู่ก็จะเปลี่ยนแปลง ไม่จำเป็นต้องพูดถึงอดีตอีก”
เสิ่นชิงชิวส่ายหัวเอ่ย
“เจ้าจะไปแล้วหรือ”
ตี๋เหว่ยไท่ถามขึ้น
ประกายความเคร่งขรึมแล่นผ่านแววตา
“ข้ากำลังจะไป แต่เจ้าไม่ต้องกังวล งานสกปรกที่ข้าทำแทนเจ้า ถึงมันจะไม่ใช่เจตนาของข้า แต่ก็เป็นผลลัพธ์ที่ข้ายอมรับจากการเดิมพัน จนถึงตอนนี้ยังไม่มีใครทำให้ข้าเปิดปากได้ และข้าก็ไม่ใช่คนที่ชอบนินทา อีกอย่างเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ควรนำมาโอ้อวดอยู่แล้ว”
เสิ่นชิงชิวกล่าว
“ข้าไม่ได้กังวลเรื่องพวกนี้”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ย
หางตาที่ตึงเครียดของเขาเมื่อครู่ ตอนนี้ค่อยๆ คลายลงแล้ว
“ไม่ต้องปฏิเสธหรอก ไม่ว่าเจ้าจะกังวลเรื่องนี้หรือไม่ ข้าก็จะบอกเจ้าเช่นนี้อยู่ดี คำพูดเหล่านี้ข้าคิดมานานแล้ว”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย
“คิดไว้นานแล้วหรือ”
ตี๋เหว่ยไท่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ
เพราะการคิดการณ์ล่วงหน้านั้น ไม่ใช่นิสัยของเสิ่นชิงชิวเลยจริงๆ
แต่ถึงอย่างไร ทุกอย่างล้วนมีการเปลี่ยนแปลง
เสิ่นชิงชิวในอดีตอาจไม่ทำ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเสิ่นชิงชิวในปัจจุบันจะยังคงเป็นเช่นนั้น
‘ปึก!’
เสิ่นชิงชิวหยิบซองจดหมายออกมาจากอกแล้วตบลงบนโต๊ะ
“นี่คืออะไร”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ยถาม
“เปิดออกดูก็รู้แล้วไม่ใช่หรือ หากข้าบอกเจ้า เช่นนั้นก็ไม่ใช่จดหมายแล้ว”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย
เขาเขียนจดหมายมากมาย
จดหมายเหล่านี้ถูกซ่อนไว้ใต้เตียงขนาดใหญ่ในบ้านเก่าๆ ของเขา
แต่จดหมายเหล่านั้นล้วนเขียนด้วยนิ้วที่จุ่มสุรา และไม่ได้ทิ้งคำใดๆ ไว้เลย
มีเพียงจดหมายซองนี้เท่านั้นที่เขียนด้วยพู่กันจุ่มหมึกอย่างจริงๆ
ตี๋เหว่ยไท่เปิดดูแล้วพบว่าเนื้อหาในจดหมายคือคำพูดที่เสิ่นชิงชิวพูดไปเมื่อครู่นี้
เขาจึงเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นชิงชิวด้วยความสงสัย
ในเมื่อพูดไปแล้วครั้งหนึ่ง เหตุใดยังต้องเขียนจดหมายให้ตนอีก
ตี๋เหว่ยไท่รู้สึกว่าเดิมทีเสิ่นชิงชิวอาจจะไม่ได้ตั้งใจมาพบเขา เพื่อพูดสิ่งเหล่านี้ต่อหน้า
จึงเขียนจดหมายไว้หนึ่งฉบับ
แต่ไม่รู้ด้วยเหตุใด เขาถึงเปลี่ยนใจ
ไม่เพียงแต่มาด้วยตัวเอง ยังนำจดหมายนี้มาด้วย
“เจ้ามักจะคิดเรื่องต่างๆ ให้ซับซ้อนเกินไป ที่จริงแล้วไม่มีการวางแผนอะไรมากมาย โดยเฉพาะข้า ไม่เคยคิดวางแผนอะไรกับเจ้าเลย”
เสิ่นชิงชิวส่ายหัวพูด
เขามองออกถึงความสงสัยในใจของตี๋เหว่ยไท่
เมื่อตี๋เหว่ยไท่กำลังคิดเรื่องอะไรสักอย่าง เขามักจะหมุนหรือบิดสิ่งที่ถืออยู่ในมือ
นิสัยนี้ เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้เลย
ดังนั้นเมื่อเสิ่นชิงชิวเห็นตี๋เหว่ยไท่เริ่มบิดจดหมายนั่น ก็รู้ว่าเขาเริ่มคิดมากอีกแล้ว
“แค่กๆ…ข้ารู้”
ตี๋เหว่ยไท่ดูเหมือนจะรู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง
เขาไอเบาๆ สองครั้งแล้วเอ่ย
“ข้าแค่อยากจะพิสูจน์ให้เจ้าเห็นว่า ข้าเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว”
เสิ่นชิงชิวเอ่ยขึ้น
ตี๋เหว่ยไท่จึงตระหนักได้ว่า ที่แท้จดหมายนี้เป็นเพียงฉบับร่างเท่านั้น
แต่นี่ก็เป็นนิสัยของเสิ่นชิงชิว
ไม่ว่าเขาจะเขียนอะไรก็ตาม เขาชอบใส่มันไว้ในซองจดหมาย
ไม่ใช่จดหมาย แต่ก็ต้องใส่ไว้ในซองจดหมาย
คนที่ไม่ค่อยรู้จักเขาดี มักจะคิดว่าเขาเขียนจดหมายมากมาย
แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่
แม้ดูเหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไป
แต่นิสัยเขียนสิ่งต่างๆ นั้นก็ยังเหมือนเดิม
ไม่ใช่แค่การบิดสิ่งของหรือการใส่ในซองจดหมายเท่านั้น
เสิ่นชิงชิวชอบดื่มสุรา
ตี๋เหว่ยไท่ชอบดื่มชา
สองสิ่งนี้ก็ไม่เคยเปลี่ยน
“ข้าจะเก็บมันไว้ในใจตลอดไป ความเศร้าบางอย่างสามารถบรรเทาได้ด้วยการดื่มสุรา แต่บางเรื่องยังคงต้องรอจนกระทั่งข้าตายไป แล้วปล่อยให้มันเน่าเปื่อยไปพร้อมกับศพและโลงศพ ถ้ามีคนเก็บศพข้าได้ล่ะก็นะ”
เสิ่นชิงชิวพูดต่อ
“เจ้าวางแผนจะออกเดินทางเมื่อไร”
ตี๋เหว่ยไท่ใส่จดหมายกลับเข้าไปในซอง วางซองนั้นลงบนโต๊ะแล้วกล่าว
เสิ่นชิงชิวไม่ได้ตอบ
เขาหยิบซองจดหมายขึ้นมาแล้วดีดนิ้ว
ปลายนิ้วปรากฏเปลวไฟเล็กๆ ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ
เสิ่นชิงชิวใช้เปลวไฟนี้เผาซองจดหมายนี้จนกลายเป็นเถ้าถ่าน
เขามองพวกมันเปลี่ยนเป็นเถ้าธุลีทีละน้อย แล้วจึงเป่าลม ‘ฟู่’ เพื่อดับเปลวไฟที่ปลายนิ้ว
ตี๋เหว่ยไท่เพียงแค่นั่งมองเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไร
เพราะเขารู้ว่าเสิ่นชิงชิวจะให้คำอธิบายกับเขา
“ตอนนี้คนเดียวที่รู้เรื่องเหล่านั้น นอกจากฟ้าดินแล้วก็มีแค่เจ้ากับข้า หากมีคนที่สามรู้เรื่องนี้ นั่นเป็นปัญหาของเจ้า”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย
“เหตุใดมันถึงไม่เป็นปัญหาของเจ้าเช่นกัน”
ตี๋เหว่ยไท่ยิ้มถาม
“เพราะข้าได้บอกไปแล้วว่าข้าเก็บความลับได้ดีและข้าไม่ใช่คนชอบนินทา นอกจากนี้เรื่องเหล่านั้นก็ไม่มีอะไรที่ควรโอ้อวด”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย
“ก่อนจะไป พวกเรามาดื่มกันอย่างเต็มที่ได้หรือไม่”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ยถาม
“ไม่ต้องแล้ว เดิมทีเจ้าก็ไม่ชอบดื่มสุรา และข้าก็ไม่ชอบบังคับคนอื่น”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย
“แต่เจ้าก็มักฝืนตัวเองอยู่เสมอ”
ตี๋เหว่ยไท่เอ่ย
เขามีสีหน้าเศร้าหมองเล็กน้อย
เห็นได้ชัดว่าการถูกปฏิเสธไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ใครมีความสุข
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ไม่ต่างกัน
คำพูดของตี๋เหว่ยไท่เมื่อครู่นั้นไม่ได้มีเจตนาจะเอาจริงเอาจัง
เป็นความรู้สึกที่มากจากข้างใน
ที่จริงแล้วเขาเพียงอยากดื่มกับเสิ่นชิงชิวอย่างเต็มที่ก่อนที่เสิ่นชิงชิวจะออกจากหอทรงปัญญา
เมาไม่เมานั้นไม่สำคัญ
แค่ดื่มอย่างมีความสุขก็พอ
เดิมทีตี๋เหว่ยไท่คิดว่าเสิ่นชิงชิวจะตอบตกลง
แม้จะลังเลอยู่บ้าง แต่ถึงอย่างไรก็คงตอบตกลง
ทว่าเสิ่นชิงชิวกลับมั่นคงอย่างยิ่ง
ดูเหมือนไม่มีช่องว่างสำหรับการต่อรองเลย
“ข้าต้องพูดคำเดิมๆ นี้อีกกี่ครั้ง คำว่ายอมรับผลการเดิมพันนี้ ข้าคงไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ประมุขหอทรงปัญญาเข้าใจแจ่มแจ้งกระมัง”
เสิ่นชิงชิวพูดด้วยท่าทีรำคาญอยู่บ้าง
“ข้าจะง้างหูรอฟัง”
“ดี เช่นนั้นข้าจะอธิบายให้เจ้าฟัง ยอมรับผลการเดิมพันหมายถึงไม่มีการบังคับใดๆ และไม่เกี่ยวข้องทางอารมณ์ใดๆ ก็เหมือนกับการแลกเปลี่ยนอย่างหนึ่ง ตกลงซื้อขาย เพียงแค่ปฏิบัติตามข้อตกลงเท่านั้น”
เสิ่นชิงชิวพูดจบก็ลุกขึ้น
“ต้องไปตอนนี้เลยหรือ รีบขนาดนั้นเชียว”
ตี๋เหว่ยไท่ยืนขึ้นพร้อมเอ่ยถาม
“ไม่ ถึงเวลาที่เจ้าควรยอมรับผลการเดิมพันแล้ว”
เสิ่นชิงชิวเอ่ย
ตี๋เหว่ยไท่ชะงักไปครู่หนึ่ง
จากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น
เขาไม่ใช่นักเดิมพันที่ดีจริงๆ
นักเดิมพันที่ดีจะไม่มีวันลืมเงื่อนไขของการเดิมพันและเบี้ยในมือของตัวเอง
แต่เขากลับลืมไปแล้ว
จนกระทั่งเสิ่นชิงชิวพูดขึ้น
ดังนั้น รอยยิ้มที่ปนความเจ็บปวดนี้ไม่ได้เกิดจากความลำบากใจ แต่เกิดจากความรู้สึกผิด
เป็นความรู้สึกผิดทั้งต่อเสิ่นชิงชิวและตัวเขาเอง
เสิ่นชิงชิวเดินไปยังสนามหญ้านอกห้อง
ตี๋เหว่ยไท่ตามเขาออกมา
………………………………………………………………..