ศึกยุทธ์ใต้ขุนเขาเงาจันทรา - บทที่ 167 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-6
บทที่ 167 วันนี้มีฝัน สิ้นเมื่อชรา-6
“ขโมย?”
โอวเสี่ยวเอ๋อคิดอยู่ในใจ
แต่ในใต้หล้าไหนเลยจะมีขโมยที่อุกอาจเช่นนี้
ขโมยทั่วไป เมื่อได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวก็จะรีบไปซ่อน กลั้นหายใจทำเสียงเบาๆ
เหตุใดทั้งที่โอวเสี่ยวเอ๋อยืนทนโท่อยู่ตรงหน้า กลับยังคงขโมยของอยู่อย่างใจเย็นเช่นนี้เล่า
หนำซ้ำโอวเสี่ยวเอ๋อยังรู้อีกว่าในบ้านของหลิวรุ่ยอิ่งนี้ เกรงว่าจะไม่มีของมีค่าอะไร
หากอยากรวยจริงๆ ก็ควรไปขโมยของของตี๋เหว่ยไท่
เพราะพวกของหลิวรุ่ยอิ่งล้วนมาจากข้างนอก แล้วผู้ใดจะหอบหิ้วเอาสมบัติมีค่าหนักๆ วิ่งไปวิ่งมากัน
ต่อให้เป็นโอวหย่าหมิงผู้นำตระกูลก็ยังไม่ทำเช่นนั้นเลย
สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในบ้านของโอวหย่าหมิงก็คือตัวเขาเอง รองลงมาจากนั้นก็คือกระบี่ของเขา
แม้จะบอกว่าการไปขโมยของของตี๋เหว่ยไท่นั้นเสี่ยงอันตรายเกินไป
แต่การเสี่ยงเพื่อให้ร่ำรวยก็เป็นหลักการทั่วไปในแดนมนุษย์อยู่แล้ว
“หากเจ้ายังไม่หยุดมืออีก ข้าจะชักกระบี่!”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าว
เพราะนางแน่ใจแล้วว่าคนประหลาดพันผ้าต้องเป็นขโมยแน่นอน!
ไม่เพียงไม่เกรงกลัวเมื่อมีคนมา
ยิ่งไปกว่านั้น ยังค่อยๆ พลิกค้นข้าวของภายในบ้านอย่างมีแบบแผนหนแล้วหนเล่า
ลำพังแค่ตู้ข้างหัวเตียง โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นว่าเขาเปิดออกมาสามรอบแล้ว
เห็นชัดว่าคำขู่ของโอวเสี่ยวเอ๋อไม่เกิดผลแต่อย่างใด
แต่มือของคนประหลาดพันผ้ากลับชะงักไปเล็กน้อย
สิ่งนี้ทำให้โอวเสี่ยวเอ๋อรู้ว่าเขาได้ยินเสียง
เพียงเพราะความน่าเกรงขามของนางยังไม่เพียงพอ
เขาจึงไม่ได้สนใจก็เท่านั้น
โอวเสี่ยวเอ๋อรู้สึกหิวจนทนไม่ไหวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
“ข้าอุตส่าห์มาชวนพวกเจ้าไปกินข้าว คนไม่อยู่ก็แล้วไป แล้วนี่มันของพิกลอะไร ถึงกับกล้ามองผ่านข้าเช่นนี้!”
กว่าจะหาที่ระบายอารมณ์ได้ โอวเสี่ยวเอ๋อจะปล่อยผ่านไปได้อย่างไร
นางกำลังกลุ้มอยู่ทีเดียวว่าหลายวันมานี้ชีวิตจืดชืดเกินไป
ห่างไกลกับความสะใจครั้งตนเคยท่องยุทธภพมากนัก
ครั้งนั้น มักมีพวกบ้าผู้หญิงหลายคนที่ทึกทักเอาว่าตนเองสูงส่งมาคอยรังควานนางทุกวัน
ลำพังแค่สั่งสอนคนพวกนี้ก็ให้ความบันเทิงแก่โอวเสี่ยวเอ๋อได้ไม่น้อยแล้ว
เวลานี้คนประหลาดพันผ้านี่ก็เป็นเครื่องระบายอารมณ์ชั้นดีไม่ใช่หรือ
โอวเสี่ยวเอ๋อชักกระบี่ชงโคออกมา
คนประหลาดพันผ้าผู้นั้นเห็นโอวเสี่ยวเอ๋อชักกระบี่จึงหยุดมือลง
“ยามนี้รู้จักกลัวแล้วรึ”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าวอย่างได้อกได้ใจ
แต่คนประหลาดพันผ้ากลับไม่พูดจา
จ้องเขม็งไปที่กระบี่ในมือของโอวเสี่ยวเอ๋อ
จากนั้นก็ขว้างอาวุธลับชิ้นหนึ่งเข้าใส่โอวเสี่ยวเอ๋อรวดเร็วปานสายฟ้าฟาดจนตั้งตัวไม่ทัน
โอวเสี่ยวเอ๋อคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงมือจริงๆ
แต่นางก็ยังสามารถใช้กระบี่ปัดออกได้ทัน
เมื่ออาวุธลับร่วงลงกับพื้น
สิ่งที่โอวเสี่ยวเอ๋อเห็นกลับเป็นหมากล้อมเม็ดหนึ่ง!
หมากล้อมสีดำเม็ดหนึ่ง!
ที่ถูกโอวเสี่ยวเอ๋อใช้กระบี่ตัดออกเป็นสองส่วน
“เจ้าเป็นใคร เหตุใดจึงรู้วิธีขว้างหมากเช่นนี้?!”
โอวเสี่ยวเอ๋อตื่นตกใจ
เพราะวิธีขว้างหมากเช่นนี้นางเคยเห็นแค่เบญจลักขีใช้เท่านั้น
เรียกได้ว่าเป็นวิชาเฉพาะของเบญจลักขี
แต่คนประหลาดพันผ้าตรงหน้านี้กลับใช้เป็นด้วย
แม้โอวเสี่ยวเอ๋อไม่เคยประมือกับเบญจลักขีมาก่อน
แต่ตอนใช้กระบี่ปัดเม็ดหมากที่ขว้างมาเมื่อครู่นี้ ด้วยพลังปราณที่ส่งมากับเม็ดหมากกลับทำให้นางต้องตกอยู่ในอันตรายไม่น้อย ถึงขั้นกระบี่ชงโคเกือบหลุดออกจากมือ
นับแต่จากตระกูลโอวมา นางก็ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน
ประการแรก นางไม่เคยพบศัตรูที่แข็งแกร่งมาก่อน
หรือต่อให้มีคนจงใจทำให้นางตกที่นั่งลำบาก แต่เมื่อเห็นกระบี่ชงโคก็ยังไว้หน้าตระกูลโอวอยู่บ้าง
ประการที่สอง ด้วยระดับยุทธของโอวเสี่ยวเอ๋อ นอกจากผู้อยู่ในระดับบรมภูมิขั้นสุดยอดแล้ว คนที่สามารถทำให้นางตกที่นั่งลำบากได้ก็มีไม่มาก
ส่วนผู้ที่อยู่ในระดับสูงกว่านี้ จะมีเหตุผลใดต้องลดตัวลงมาประมือกับแม่นางน้อยผู้หนึ่งเช่นนาง
การล่วงเกินตระกูลโอวนับว่าไม่ฉลาดเอาเสียเลย
พลังยุทธของตระกูลโอวไม่ได้น่ากลัวเท่าไร
แต่ฝีมือของตระกูลโอวกลับเป็นหนึ่งในพื้นฐานสำคัญที่เป็นดั่งโลหิตหล่อเลี้ยงของชาวยุทธ
แม้แต่เหล่าผู้ที่อยู่ในระดับเทพบริราชเก้าทวีปได้พบกับโอวเสี่ยวเอ๋อก็ล้วนอยากช่วยเหลือนางเพื่อผูกสัมพันธ์กันเอาไว้
วันหน้าวันหลังจะได้รับความสะดวกเมื่อไปซื้อกระบี่ที่ตระกูลโอว
หลังจากขว้างหมากใส่นางเม็ดหนึ่ง คนประหลาดพันผ้าก็หันหลังกลับไปค้นหาของต่อ
หมากที่ขว้างมาเม็ดนี้คล้ายเป็นการเตือน
เขากำลังเตือนโอวเสี่ยวเอ๋อว่าอย่ายุ่งเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตน
เจ้าเดินบนเส้นทางสว่างของเจ้า ส่วนข้าก็จะเดินบนสะพานไม้ของข้าแต่ลำพัง
เพราะท้ายที่สุดแล้วก็ต่างคนต่างไป ไม่ต้องเกี่ยวข้องอะไรกันมากมายอีก
โอวเสี่ยวเอ๋อลังเลอยู่ในใจ
จากความรู้สึกที่ได้รับจากกระบวนท่าเมื่อครู่ คนผู้นั้นต้องเป็นผู้ที่อยู่ในระดับบรมภูมิขั้นสุดยอดโดยประมาณ
ยิ่งไปกว่านั้น จากท่าทีเรียบเฉยเป็นปกติของเขา คล้ายว่าเขายังไม่ได้ใช้กำลังทั้งหมดด้วยซ้ำ
แต่หลิวรุ่ยอิ่งเป็นสหายของนาง
ตลอดหลายปีมานี้ เขาเป็นคนที่โอวเสี่ยวเอ๋อให้การยอมรับซึ่งถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง
แม้ไม่ได้ผูกพันกันมามากมาย แต่ก็นับได้ว่าเป็นสหายกันโดยแท้
ชีวิตคนเฉกเรือลำน้อยลอยกลางนทีน้อยใหญ่
ผู้รู้ใจจะหาได้สักกี่คน
แม้มีคนบอกว่ายิ่งเป็นคนที่ใกล้ชิดเท่าใด ยิ่งทำร้ายเราได้ลึกล้ำเท่านั้น
แต่หากปิดกั้นตนเองเอาไว้ด้วยเหตุนี้ ปิดประตูไม่คบหาผู้คน เช่นนี้ก็เหมือนกับเลิกกินเพราะกลัวสำลักอาหารไม่ใช่หรือ น่าขันเป็นที่สุด
ท่าทีที่โอวเสี่ยวเอ๋อปฏิบัติต่อผู้คนนั้นแยกแยะชัดเจนยิ่งกว่าอินและหยางเสียอีก
หากไม่ใช่ศัตรูคู่อาฆาต เช่นนั้นก็คือสหาย
นางและหลิวรุ่ยอิ่งไม่ได้มีความแค้นต่อกัน ยิ่งไปกว่านั้นหลิวรุ่ยอิ่งคอยดูแลนางดีมาก ย่อมไม่นับว่าเป็นศัตรู
ฉะนั้นก็คือสหาย
ต่อให้วันหน้าสหายผู้นี้จะทำให้นางต้องบาดเจ็บ นางก็จะยอมรับ
โอวเสี่ยวเอ๋อยอมรับว่าหลิวรุ่ยอิ่งเป็นสหายของตน
เรื่องของสหาย ก็คือเรื่องของตน
ความปลอดภัยของสหาย สำคัญยิ่งว่าความปลอดภัยของตนอีก
หากคนที่กำลังหิวคือสหายของนาง ต่อให้เหลือแป้งทอดแค่ครึ่งอัน โอวเสี่ยวเอ๋อก็จะแบ่งให้สหายของนางกินโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
แม้โอวเสี่ยวเอ๋อจะเป็นหญิง
สตรีที่ออกท่องยุทธภพ ย่อมต้องเผชิญกับเรื่องไม่สะดวกมากมาย
แต่น้ำใจยิ่งใหญ่ที่โอวเสี่ยวเอ๋อปฏิบัติต่อสหายนั้น แม้แต่บุรุษก็ยังทำได้ไม่เทียบเท่า
หนำซ้ำ เรื่องที่เอ่ยถึงในเวลานี้ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องว่าเป็นเพศใด
สตรีผู้หนึ่งและบุรุษผู้หนึ่งเป็นสหายที่ดีต่อกัน เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์
ต้องบอกอย่างยิ่งว่า สายตาของผู้คนที่วิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ช่างคับแคบเหลือเกิน
สหายอาจแปรเปลี่ยนเป็นคนรัก
มิตรภาพก็สามารถพัฒนาเป็นความรัก
แต่ผู้ใดบอกว่ามิตรภาพจะไม่อาจหยุดยั้งไว้เพียงแค่มิตรภาพ และจากนั้นก็ค่อยๆ ลึกล้ำยิ่งขึ้นเล่า
ระหว่างสหาย มิตรภาพจึงเป็นเส้นทางหลัก ส่วนความรักก็เป็นเพียงแขนงย่อยเท่านั้น
น่าเสียดายที่ผู้คนมากมายล้วนแยกแยะเรื่องหลักกับเรื่องรองได้ไม่ชัดเจน
เพื่อสหาย โอวเสี่ยวเอ๋อจึงยกกระบี่ชงโคขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าบอกให้เจ้าหยุด!”
โอวเสี่ยวเอ๋อกล่าวเสียงเย็นเฉียบ
ในเวลานี้ นางไม่ได้กระหวัดกระบี่เพราะต้องการระบายอารมณ์เหมือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว
ในเวลานี้ นางกระหวัดกระบี่เพื่อปกป้องสหาย
ความรู้สึกต่างกัน เป้าหมายต่างกัน
กระบี่ที่พุ่งออกมาก็ต่างกัน
คนประหลาดพันผ้าได้ยินคำของโอวเสี่ยวเอ๋อและเห็นปลายกระบี่ที่นางชี้มาที่ตนอีกครั้ง
เขาพลันพลิกมือหยิบหมากออกมาขว้างใส่โอวเสี่ยวเอ๋ออีกเม็ดหนึ่ง
หมากเม็ดนี้รวดเร็วยิ่งนัก
รวดเร็วกระทั่งดวงตาของโอวเสี่ยวเอ๋อไม่อาจจับภาพได้แม้แต่น้อย
สายฟ้าแลบแม้จะรวดเร็ว
แต่สายฟ้าแลบส่องสว่าง
ในพริบตาที่กรีดผ่านฟากฟ้า ไม่มีผู้ใดไม่รู้ ไม่มีผู้ใดไม่เห็น
แต่หมากเม็ดนี้กลับรวดเร็วยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ
โอวเสี่ยวเอ๋อมองไม่เห็น
เมื่อมองไม่เห็นหมากที่ขว้างมา แล้วจะตัดมันขาดได้อย่างไร
นางจนปัญญา
ทำได้เพียงใช้กระบี่ป้องกันจุดสำคัญที่ลำตัวท่อนบนของตนเอง
คนประหลาดพันผ้าขว้างหมากเข้าใส่อีกหลายเม็ด
ที่แปลกก็คือ
หมากเหล่านี้กลับไม่ได้พุ่งเข้าใส่ร่างของโอวเสี่ยวเอ๋อสักเม็ด
ทิศทางของมันมีเพียงหนึ่งเดียว
นั่นก็คือกระบี่ของโอวเสี่ยวเอ๋อ
ไม่ว่ากระบี่ของโอวเสี่ยวเอ๋อจะขยับไปป้องกันที่จุดใด
ล้วนมีหมากเม็ดหนึ่งที่สามารถเข้ากระทบกับกระบี่ชงโคนี้ได้อย่างแม่นยำ
ไม่ว่าคนประหลาดพันผ้าจะขว้างหมากออกมาอีกกี่เม็ด
หมากทุกเม็ดล้วนขว้างมาถูกกระบี่โดยไม่คลาดเคลื่อนไปแม้แต่น้อย
โอวเสี่ยวเอ๋อถือกระบี่อย่างยากลำบาก
นางสัมผัสได้ว่าหมากที่ขว้างออกมาทุกเม็ดล้วนมีพลังปราณมากกว่าเม็ดก่อนหน้าอีกส่วนหนึ่ง
ทว่าคนประหลาดพันผ้าผู้นี้ขว้างหมากเข้าหาอย่างรวดเร็วนัก
แม้พลังปราณจะเพิ่มขึ้นเพียงทีละส่วนเช่นนี้ แต่ก็ยังทำให้โอวเสี่ยวเอ๋อยากจะทานไหว
ด้วยอับจนหนทาง นางจึงทำได้เพียงให้สองมือกุมกระบี่ไว้
กระบี่ชงโคของตระกูลโอวเป็นกระบี่สั้น
โอวเสี่ยวเอ๋อจำได้ว่าตอนแรกๆ ที่ตนเริ่มจับกระบี่ชงโคก็ยังเคยโอดครวญมาก่อนเช่นกัน
เพราะกระบี่สั้นนี้ดูไม่สง่างามเท่ากระบี่ยาว
แต่ในเวลานี้ นางกลับแอบยินดีอยู่ในใจว่ากระบี่ที่ตนถืออยู่ในมือเป็นกระบี่สั้น
เพราะหากเปลี่ยนเป็นกระบี่ยาว เวลานี้ก็อาจจะย่ำแย่กว่าเดิม
กระบี่สั้นมีประโยชน์ในการควบคุมกระบี่
ต่อให้เป็นส่วนปลายของกระบี่ก็ไม่ห่างจากด้ามกระบี่เกินไป
โอวเสี่ยวเอ๋อเบิกตากว้าง เม้มริมฝีปากแน่น
พลังอินหยางภายในกายทะยานหมุนวนขึ้นเป็นสองเท่า
พลังปราณหลากไหลไม่ขาดสายเข้าสู่ลำแขนทั้งสองข้างของนาง
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ กลับยังคงไม่เพียงพอ…
เนื่องจากอับจนหนทาง เท้าขวาของโอวเสี่ยวเอ๋อต้องถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
ปลายเท้ายันพื้น พยายามประคองร่างให้มั่นคง
นางไม่มีเวลามาใคร่ครวญว่าเหตุใดหมากของคนประหลาดพันผ้าจึงขว้างเข้าใส่กระบี่ของตนเท่านั้น
“แกร๊ง!”
หมากอีกเม็ดขว้างเข้ามาจู่โจม
โอวเสี่ยวเอ๋อทานรับอย่างสุดชีวิต
แต่เท้าขวาที่ยันอยู่ข้างหลังกลับทำให้อิฐปูพื้นแตกละเอียดไปก้อนหนึ่ง
นางตระหนักอย่างยิ่งว่าขืนเป็นเช่นนี้ต่อไป ก็จะมีแต่ตายสถานเดียว
แต่หมากที่อีกฝ่ายขว้างเข้าใส่กลับไม่หยุดลงสักอึดใจ ไม่ให้โอกาสนางหายใจแม้แต่น้อย
ยามร้อนใจกลับพลิกผัน
โอวเสี่ยวเอ๋อเกิดแผนหนึ่งในใจ
นางขยับกระบี่ชงโคออก ให้จุดสำคัญบนลำตัวท่อนบนของตนเผยออกมาจนหมด
จากนั้นก็ยกกระบี่ชงโคให้สูงเหนือหัว
‘แพ้ชนะอยู่ที่นี่…’
โอวเสี่ยวเอ๋อคิดในใจ
นางหลับตาลง
เพราะต่อให้ลืมตาก็มองไม่เห็นอยู่ดี
ไม่สู้หลับตาเสีย
นิ่งสงบรอรับการตัดสินชี้ขาด
………………………………………